สภาพัฒน์..ธ่อ..นี่หรือกุนซือประเทศไทย


ไม่ดูแลพลเมืองตนเองให้ดี แถมยังเอางบไปละเลงช่วยต่างชาติอย่างนั้น แล้วเราจะมีรัฐบาลไปทำหอกอะไรไม่ทราบ

ได้อ่านข่าววันนี้พบว่าสภาพัฒน์ได้ออกนโยบายประเทศไทย จะอัดเงิน 2.27  ล้านล้านบาท เพื่อหนุนการพัฒนาห้าด้านคือ

 

การรักษาพยาบาลคน ”ต่างชาติ”  ...การท่องเที่ยว....อาหารและเกษตร...พลังงาน...การสื่อสารโทรคมนาคม

จะเปิดตัวไอเดียนี้ในช่วงการประชุม WEF นี้แหละ (เดาว่าคือ world economic forum ..เพราะข่าวเขาคิดว่าคนอ่านเก่ง เลยไม่ยอมให้คำเต็ม....สนใจอ่านเพิ่มได้ที่นี่

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1337912876&grpid=00&catid=&subcatid=)

 

อ่านไปอ่านมาระหว่างบรรทัด อ้าว..ไม่ได้เอาเงินมาหนุนห้าด้านนี้โดยตรง แต่หนุนโดยอ้อมด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ประเทศ   (เอาห้าด้านมาบังหน้าหรือเปล่า)  เช่น ระบบการคมนาคม  สนามบิน ท่าเรือ (แว่บๆว่ามีท่อก๊าซด้วย  จะเอาภาษีเราไปช่วยสร้างให้บริษัทยักษ์ใหญ่หรือเปล่าหนอ)  ลงทุน 2.27 ล้านๆ บาทในเวลา 4 ปี อุแม่เจ้า และก็บอกด้วยว่าการลงทุนพื้นฐานนี้ก็เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ  ...เฮ้อ.. ก็ยังโง่เหมือนเดิม กุนซือเราเอ๊ย 

 

 

ผมวิจารณ์มาได้ยี่สิบปีแล้วว่า มันคุ้มกันไหมที่เอาเงินมหาศาลไปลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติใช้ ฟรี หรือในราคาถูกๆ  ทั้งที่สิ่งที่เราได้ตอบแทนมาเป็นเพียงค่าแรงขั้นต่ำ แต่ความเสียหายตามมามหาศาลรอบด้านแบบบูรณาการทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ความมั่นคง   อีกทั้งทำให้ขาดเม็ดเงินในการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น การศึกษา สุขภาพ  ....ประเทศไทยเรานี้ใจดีโนะ  อะไรก็แถม แจกฟรีให้ต่างชาติหมด ภาษีต่างๆ ก็งดเว้นให้มาก และนาน

 

 

นโยบาย ๕ ด้านของ สภาพัฒน์นั้น อย่างกะขานรับนโยบายที่ท่านยิ่งลักษณ์ไปตกลงกับการ์ตาร์ เช่น สุขภาพ พลังงาน อาหาร ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ส่วนที่เห็นด้วยก็ไม่เต็มที่

 

ด้านธุรกิจสุขภาพ ผมได้เคยวิจารณ์ไว้แล้วว่า  คนในชาติตัวเองยังรักษาไม่ทั่วถึงและด้อยมาตรฐาน แล้วจะไปรักษาคนต่างชาติ แบบนี้ไม่โง่ก็บ้าก็เลว (คาดว่าทั้งสามอย่างรวมกันเสียมากกว่า)

 

การท่องเที่ยวผมก็วิจารณ์ไว้แล้วว่า รายได้ 100 บาทตกอยู่ในมือคนไทยไม่น่าถึง 10 บาท ที่เหลืออยู่ในมือสายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร บริษัทนำเที่ยวต่างชาติ  ส่วนประเทศไทย “โทรม” จากการท่องเที่ยวของคนพวกนี้ ไม่น่าคุ้มค่า แต่ถ้ารัฐบาลฉลาดสักหน่อยสามารถเพิ่มรายได้มาเป็น 50% ได้ไม่ยาก อีกทั้งหาทางกรองคนหน่อยได้ไหม เอาแต่นักท่องเที่ยวชั้นดี ไอ้พวกขี้ยามาเฟียช่วยเขี่ยๆออกไปให้พ้นประเทศหน่อยเถอะ

 

อาหารและเกษตร ...ก็ดีแต่พูดไม่เห็นมีการทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน  แถมส่งเสริมให้บริษัทปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลงเข้ามาสร้างอาณาจักรใหญ่ มอมเมายาพิษคนไทยอยู่นั่น งานวิจัยด้านอาหารและเกษตรก็ไม่ทำอะไรจริงจัง  เกษตรชีวภาพก็ไม่ส่งเสริมอย่างจริงจัง ไม่มีนโยบายชาติมารองรับ

 

พลังงาน...ทำไมต้องไปส่งเสริมพิเศษไม่ทราบ ทั้งที่เอกชน (ปตท.) รัฐวิสาหกิจ (กฟผ.) เขาก็ทำเองได้ดีมีกำไรมหาศาลอยู่แล้ว หรือว่ามีอะไรที่อึมครึม

 

สื่อสารโทรคม (ict)  ...คำถามเดียวกับพลังงาน

 

ถ้าผมเป็นสภาพัฒน์นะ  5 ด้านหลักที่ผมจะให้ความสำคัญด้านงบประมาณก่อนคือ

การศึกษาวิจัย

สุขอนามัยประชาชน

กระบวนการยุติธรรม

อาหารและยา (สมุนไพรไทย)

อุตสาหกรรมการเกษตร

 

คุณจะบ้าไปเชื้อเชิญต่างชาติเข้ามาในขณะที่คุณอ่อนแอ  ไร้ภูมิต้านทาน แบบนี้  เขาก็เข้ามาแด็กซ์คุณหมดแหละ ก็เป็นขี้ข้าเขาได้ลูกเดียว คุณต้องสร้างประเทศให้เข้มแข็งด้วยการศึกษาก่อนซิ่ ถึงไปเชิญต่างชาติเข้ามา ทำอย่างไรจะให้มาตรฐานการศึกษาดีเท่าเทียมกันทั่วประเทศ หากการศึกษายังเหลื่อมล้ำ สังคมก็ยังจะเหลื่อมล้ำ ช่องว่างไม่มีทางแคบลงไปได้ และประเทศก็ไม่มีวันพัฒนาได้อย่างยั่งยืนหรอก เป็นถึงสภาพัฒน์ไม่รู้หรือไร

 

ผมวิเคราะห์ให้คุณเลย สภาพัฒน์ ยิ่งคุณดึงต่างชาติเข้ามามากเท่าไหร่ ประเทศคุณจะยิ่งด้อยพัฒนาปานนั้น เหตุผลผมมี แต่ตอนนี้อมภูมิก่อน ยังไม่บอก 

 

สุขอนามัยประชาชน ก็สำคัญมาก โดยเฉพาะสารปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหาร ที่กำลังเป็นฆาตกรเงียบที่ทำร้ายคนไทยทุกระดับชั้นอย่างเหี้ยมโหด ภายใต้การรับรู้ยินยอมของรัฐโดยอ้อมอีกต่างหาก เช่น การส่งเสริมให้บริษัทปุ๋ย สารเคมีต่างชาติเข้ามากุมนโยบายการผลิตสินค้าเกษตรเราโดยปริยาย (ผ่านการตลาดอันแยบยล) แถมไปให้ BOI มันเสียอีกด้วย (ช่วยฝรั่งให้มาฆ่าประชาชนของตนเอง)

 

กระบวนการยุติธรรม ..โดยเฉพาะตำรวจ ที่เป็นโจรเสียเองก็มาก เมื่อตำรวจไม่ยุติธรรมเสียแล้ว กระบวนกฎหมายทั้งประเทศก็รวนเร เหมือนเครื่องยนต์น็อตหลวม ไม่มีวันวิ่งไปไหนได้พ้นหัวแม่ตีนตนเองหรอก มีไหมประเทศไหนที่ตำรวจไม่ยุติธรรมแล้วประเทศเจริญ

 

อาหารและยา ...แน่นอนว่าต้องทำ ก่อนอื่นทำให้คนไทยกินก่อน ทำให้สะอาด มีคุณค่า เหลือกินก็ส่งขาย ด้วยการเพิ่มมูลค่าให้ดีที่สุด ไม่ใช่ส่งขายดิบๆ เหมือนที่ผ่านมา (แล้วภูมิใจว่าเป็นครัวโลก แต่แท้จริงแล้วเป็นชาวนาโลกมากกว่า) ส่วนยานั้นไทยเรามีศักยภาพมาก ถ้ามีการศึกษาวิจัยรองรับ  เป็นการต่อยอดภูมิปัญญาบรรพชนที่สั่งสมไว้ให้เรามาหลายพันปี หาได้ยากในโลกนี้ที่จะมีใครเทียมเท่า แต่วันนี้ลูกหลานมันโง่ มองไม่เห็นคุณค่า

 

อุตสาหกรรมการเกษตร...ไม่ต้องพูดมาก แหล่งรายได้หลักของเรา แต่วันนี้นอกจากจะขายดิบเป็นส่วนใหญ่แล้ว (ยาง ข้าว กุ้ง มัน ) ยังปล่อยให้บริษัทต่างชาติเข้ามากินหัวคิวไปเสียมาก ปล่อยให้เกษตรกรไทยจนเหมือนเดิม

 

ไม่ดูแลพลเมืองตนเองให้ดี แถมยังเอางบไปละเลงช่วยต่างชาติอย่างนั้น แล้วเราจะมีรัฐบาลและสภาพัฒน์ไปทำหอกอะไรไม่ทราบ

 

...คนถางทาง (๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕)

 

 

หมายเลขบันทึก: 489134เขียนเมื่อ 25 พฤษภาคม 2012 19:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 16:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

อ่านบทความ ของท่านแล้ว พูดไม่ออก บอกไม่ถูก

ไม่รู้ว่า มันเป็นอะไร ณ. ประเทศไทย

_ ขอบคุณค่ะ

I agree that medi-business and fossil-based energy NEED NO SUPPORT from government other than legislative regulation to ensure "world class quality of services".

What NEEDED MORE are - reculturization to weed out CURRUPTION and MISUSE of government instruments - restructuring of agri-business and food processing industries (to ensure balanced distribution of incomes) - land and water management infrastructures (to ensure balanced usage and sustainability) - environment recreation and protection (include flora, fauna and geomorphologic features) - promotion of healthy and balanced life style (include learning, earning, believing and relationships)

เห็นด้วยอย่างแรงครับท่านอาจารย์...

เมื่อเรามีบ้านมีพ่อแม่..แต่พ่อแม่เราไปลงทุนตกแต่งบ้านเพื่อนบ้าน..ให้เขาได้มีความสุขมากๆ..สะดวกมากๆ..โดยหวังว่าเขาจะ..มาจ้างลูกของเราไปทำสวนให้เขาครับ..เพื่อลูกเราจะได้มีงานทำครับ...

....

บ้าไหม... ...

เห็นด้วยอย่างแรงอีกคน

เห็นด้วย(กับผู้เขียน)จริงๆ ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท