บันทึกนี้อาจไม่ถูกใจนักการศึกษายุคใหม่บางท่าน
ที่รังเกิยจการเรียนการสอนแบบท่องจำ... แต่คนโบราณอย่างผม
ผ่านยุคการเรียนแบบท่องจำมาตั้งแต่เด็ก..ทำไมบทอาขยาน
บทกลอนต่างๆที่ท่องจำมาจึงติดตราตรึงใจมาจนเกษียณไปแล้วก็ยังจำได้
พอนึกถึงทีไรใจก็มีความสุข เห็นภาพ
เกิดจินตนาการที่สวยงามขึ้นมาทันที
"
แสนเสียดายนันทาที่น่ารัก ชะล่านักวิ่งออกนอกถนน
มัวแต่เพลินปลาบปลื้มจนลืมตน ถูกรถยนตแล่นทับดับชีวา
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นทุกเยนเช้า กลับเหลือแต่กรงเปล่าไม่เห็นหน้า
เคยวิ่งเล่นด้วยกันทุกวันมา
ช่างทิ้งข้าเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจเอย"
อ.สรร
อินทุเวศ....ผู้แต่ง
ใครเคยเรียนบทเรียนนี้บ้าง...ยังจำได้ไหม?
บางคนอาจเคยเรียนเรื่องราวของ
"ปัญญา เรณู"
บางคนอาจเคยได้เรียนเรื่อง "นกกางเขน"
บางคนอาจเรียนเรื่องราวของ "มานี มานะ
ปิติ ชูใจ" บางคนอาจได้เรียน "ชุดรถไฟ"ฯลฯ
ยังซาบซึ้งอยู่ไหม?
ที่เราอ่านออกเขียนได้มาจนทุกวันนี้เพราะเรื่องราวเหล่านี้หรือเปล่า?
เพราะบทเรียนเหล่านี้มันมีชีวิต มีมนต์ขลัง
มันมีพลัง บูรณาการทั้งความรู้
ทักษะและเจตคติให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนอย่างประหลาด
นักการศึกษาอย่างบลูมยังพูดถึงเรื่อง
"จำ ใจ ใช้ วิ สัง ประ"(ความจำ
ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์
และการประเมินค่า" ซึ่งจุดเริ่มต้นคือความจำ
จนเรายอมรับทุกวันนี้ว่าเรียนเลขต้องเริ่มจากท่องสูตรคูณ
ไม่อย่างนั้นจะคิดวิเคราะห์สังเคราะห์อย่างกลวงๆ
รู้เหมือนเป็ด
ผมยังเชื่อนะว่า "แน่นในเนื้อหา
ลีลาจะมาเอง" ซึ่งลีลาเหล่านี้ผู้เรียนจะค้นพบด้วยตนเอง
ที่พูดนี้คงไม่ได้ปฏิเสธการสอนให้คิด
วิเคราะห์ สังเคราะห์
แต่อยากให้แต่ละคนมีฐานที่แน่นในความรู้ก่อน
และที่สำคัญคือมีจุดดึงดูดให้มีพลังในการเรียน และเกิดจินตนาการ
ซึ่งจะเป็นพลังมหาศาลนำไปสู่การใฝ่รู้ใฝ่เรียนที่ยั่งยืน
แต่สมัยนี้แหล่งเรียนรู้
สื่อที่จะเข้าถึงข้อมูลความรู้มีมากมาย
ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปจะมาเรียนท่องจำบทเรียนอย่างเดียวคงไม่ทันโลกแน่
แต่ก็ต้องไม่ทิ้งบทเรียนที่มีความหมายต่อชีวิตและจิตใจ เกิดความทรงจำที่เป็นสุขเช่นเดียวกับ
"แสนเสียดายนันทาที่น่ารัก..."มิใช่หรือ?
วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่ง! ย่ำค่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียว เอย.
นี่เป็นกลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า ที่ผมยังจำได้อยู่ครับ และยิ่งไปตามชนบทที่เจอสภาพฝูงวัวควายพากันเดินกลับเข้าคอก ในช่วงเย็น ๆ ในช่วงอายุของผมทำให้รู้สึกได้ทันทีว่า ที่ใด ๆ ก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเรา ครับ
ใช่เลยครับ...ผมก็ยังจำกลอนดอกสร้อยนี้ได้ตั้งแต่มัธยม พอนั่งรถผ่านท้องทุ่งตอนเย็นๆให้ความรู้สึกมากเลย...อาจารย์สบายดีนะ ปีนี้ผมไม่ได้ไปพิษณุโลก แต่ไปเพชรบูรณ์ แม่ฮองสอน และลำพูนครับ
เรียนอาจารย์ ธเนศ.... ผมรุ่ตาคำแกทำนากับเมียแก แกมีวัวห้าตัว วัวตัวสีดำ ตาคำมุทะลุตีวัวเผี๋ยะๆ.....
เจ้าเป้าพออายุได้เก้าปี บิดาก็เสียตา......
พ่อหลีหี่หนูหล่อพ่อเขาชื่อหมอหลำแม่ชื่อแม่หยา อยู่แพอยู่ที่สำเหร่.......
ยังพอจำได้ครับท่าน
ผมก็คุ้นเคยกับบทเรียนที่กล่าวถึงข้างต้น พอมีคนย้อนยุคเล่ามก็ดีใจมากเลย
วรรคที่ ๔ ถูกรถยนต์
วรรคที่ ๕ ทุกเย็นเช้า
น่าจะถูกต้องกว่านะครับ
ด้วยความเคารพ
เสริมสูรย์
(พยายามส่งข้อความทางอีเมล์แล้ว
ปรากฏว่าไม่ไปครับ
จึงย้อนกลับมาโพสท์ที่นี่)
ขอบคุณมากครับ ผมคงจำคลาดเคลื่อนไปบ้าง และขออภัยที่ผมไม่สามารถพิมพ์เครื่องหมายบางตัวได้