ลูกสาวผมเลือกที่จะเรียนโรงเรียนวัด


มันจะเกิดประโยชน์อะไร? ถ้าหากเด็กมีการพัฒนาทางด้าน IQ เพียงอย่างเดียว แต่ขาดการพัฒนาทางด้านอารมณ์ (EQ) อันเนื่องมาจากการถูกพ่อแม่ผลักไสเข้าสู่ระบบของการแข่งขันตั้งแต่ยังแบเบาะ เพียงเพื่อตอบสนองค่านิยมและความมีหน้ามีตาของพ่อแม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

 

 

 

เรื่องของลูกสาว  :

ลูกสาวผมเลือกที่จะเรียนโรงเรียนวัด

 

 

น้องเพียงพอกำลังจะไปเรียน ป.1 วันแรก

 

 

(1)

 

 

 

               “หนูอยากไปเรียนที่โรงเรียนในเมืองหรือเปล่า ลูก?”  ผมถามน้องเพียงพอลูกสาวคนโตของผมเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน หลังจากที่เธอเพิ่งเรียนจบชั้นอนุบาล 3

              “ไม่ค่ะ!  หนูไม่อยากไปเรียนในเมือง หนูอยากเรียนที่โรงเรียนวัดล้านตองมากกว่า”  เธอตอบผมอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก

              “ทำไมหนูถึงไม่อยากไปเรียนในเมือง? แล้วทำไมหนูถึงอยากเรียนที่โรงเรียนวัดล้านตองล่ะ?”  ผมถามเธอ เพราะอยากทราบถึงเหตุผล

               “หนูไม่อยากตื่นแต่เช้ามืด และไม่อยากกลับมาถึงบ้านตอนมืดค่ำค่ะ  ถ้าให้หนูไปเรียนในเมือง หนูคงนอนไม่อิ่ม  เครียด และคงไม่มีความสุขแน่ๆ เลย  ส่วนที่หนูอยากเรียนที่โรงเรียนวัดล้านตอง ก็เพราะเป็นโรงเรียนที่แม่และน้าเบิร์ด(นพ.ธงชัย  อุดคำ  น้องชายของภรรยาผม)เคยเรียน และอยู่ใกล้บ้านดี  มีเพื่อนๆ และพี่ๆ จากบ้านแม่ตาดเรียนอยู่หลายคน  น่าจะดีกว่าไปเรียนในเมืองตั้งเยอะ เพราะในเมืองหนูไม่รู้จักใครเลย  เรียนที่นี่สนุกกว่าเยอะเลยค่ะ”  เธอบอกเหตุผลให้ผมฟัง

               “แน่ใจน่ะ ว่าหนูจะเรียนที่นี่?”  ผมถามเพื่อความแน่ใจ

              “แน่ใจค่ะ”

              “แน่ใจนะว่าเวลาหนูโตขึ้นแล้วจะไม่เสียใจภายหลังที่ไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนในเมืองเหมือนคนอื่น?”  ผมถามย้ำอีกครั้ง

               “แน่ใจค่ะ  และขอรับรองว่าหนูจะไม่เสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน”  เธอตอบด้วยความมั่นใจ

              “งั้นก็ตามใจหนูน่ะ  พ่อสนับสนุนหนูทุกอย่าง ไม่ว่าหนูจะเรียนที่ไหนก็ตาม  ขอเพียงให้หนูตั้งใจเรียนและเป็นคนดีก็พอแล้ว”

              “ขอบคุณคุณพ่อมากๆ เลยค่ะ  ที่คุณพ่อเข้าใจหนู”

              พูดจบเธอก็เข้ามากอดเอวผม โดยผมเอามืดลูบศีรษะเธอเล่นด้วยความเอ็นดู

 

 

 

(2)


 

                ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน เรื่องที่ผมมักจะถูกคนอื่นถามอยู่บ่อยๆ หนึ่งในนั้นก็คือ “จะให้ลูกไปเรียน ป.1 ที่ไหน?”  ซึ่งผมก็บอกเขาไปว่า  “แล้วแต่ลูกสาวครับ”

                คนส่วนมากมักแนะนำผมว่าควรจะส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนในเมืองจะดีกว่า เพราะโรงเรียนในเมืองมีการเรียนการสอนและเทคโนโลยีที่ทันสมัย  จะทำให้ลูกเรียนดีและเก่งขึ้น  ซึ่งผมก็ได้แต่รับฟังด้วยความเคารพ หากแต่ไม่ได้ตัดสินใจใดๆ ...ด้วยว่าคนที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ก็คือ “น้องเพียงพอ” ลูกสาวคนโตของผมนั่นเอง  เพราะเธอคือคนที่จะต้องไปเรียนหนังสือที่นั่นด้วยตนเอง  หาใช่ตัวผมแต่อย่างใดไม่

                สำหรับผมแล้ว  ผมเลี้ยงลูกแบบประชาธิปไตย เวลาจะทำอะไรก็จะถามลูกก่อนเสมอ ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของเธอเองแล้ว  ก็ยิ่งจะต้องระมัดระวังและต้องถามเธอมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เธอได้ตัดสินใจด้วยตนเอง

                ในกรณีของโรงเรียนก็เช่นกัน ผมให้ลูกสาวเลือกโรงเรียนด้วยตัวเอง เพื่อให้เธอได้มีส่วนในการรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง  โดยที่ผมและครอบครัวจะทำหน้าที่คอยให้การสนับสนุนเธออย่างเต็มที่ทุกอย่าง  ไม่ว่าเธอจะเลือกเรียนที่โรงเรียนใดก็ตาม

                เมื่อลูกสาวคนโตของผมเลือกที่จะเรียนที่โรงเรียนวัดล้านตองแล้ว  ผมและครอบครัวต่างก็เคารพในการตัดสินใจของเธอและให้การสนับสนุนเธออย่างเต็มที่เช่นกัน

                โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว  ในใจลึกๆ แล้ว ผมคิดว่า  การเรียนที่ไหนไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ตัวของผู้เรียนเองต่างหาก

                มีเด็กๆ ในหมู่บ้านแม่ตาดหลายคนที่พ่อแม่หวังดี(รวมทั้งเป็นค่านิยมส่วนตัว)ส่งไปเรียนในเมืองตั้งแต่เด็กอยู่ชั้นอนุบาล ซึ่งต้องตื่นตั้งแต่ตี 5  และกลับมาถึงบ้านเกือบ 1 ทุ่ม แทบจะทุกวัน เมื่อมาถึงบ้านแล้วก็ไม่มีโอกาสได้เล่นสนุกกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันเลย กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันในหมู่บ้าน แถมยังรู้สึกว่าเด็กค่อนข้างจะเครียดอีกต่างหาก  ซึ่งแตกต่างจากเด็กอีกหลายคนที่เรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน

                ที่จริง ผมเองก็อยากจะให้ลูกสาวผมเรียนเก่งเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เช่นกัน  แต่ในขณะเดียวกันผมก็อยากให้ลูกสาวของตัวเองมีพัฒนาการที่ดีทางอารมณ์ควบคู่ไปด้วย           

                มันจะเกิดประโยชน์อะไร?   ถ้าหากเด็กมีการพัฒนาทางด้าน  IQ  เพียงอย่างเดียว  แต่ขาดการพัฒนาทางด้านอารมณ์ (EQ)  อันเนื่องมาจากการถูกพ่อแม่ผลักไสเข้าสู่ระบบของการแข่งขันตั้งแต่ยังแบเบาะ เพียงเพื่อตอบสนองค่านิยมและความมีหน้ามีตาของพ่อแม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

                ในอีกด้านหนึ่ง....ผมกลับแอบดีใจลึกๆ  ที่ลูกสาวของผมเลือกที่จะเรียนที่โรงเรียนวัดล้านตอง ซึ่งมีฐานะเป็นเพียงโรงเรียนระดับประถมศึกษาบ้านนอกๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น  ด้วยเหตุผลที่ว่า ....อยู่ใกล้บ้าน  ลูกสาวไม่ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดเกินไป  มีเพื่อนๆ หลายคน  มีพี่ๆ จากหมู่บ้านเดียวกันหลายคนช่วยดูแล  ประหยัดค่าใช้จ่ายลง  ผมสามารถไปรับ-ส่งได้ด้วยตนเอง  ลูกสาวของผมมีโอกาสได้กินอิ่มและนอนอุ่นตามพัฒนาการของวัย  ฯลฯ  ซึ่งจะเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทางด้านอารมณ์ของเธอ

                ในอดีต.....กว่าที่ผมจะก้าวเดินมาถึงตรงจุดนี้ได้  ผมก็เคยผ่านการศึกษาเล่าเรียนและผ่านกระบวนการขัดเกลาจิตใจมาจากโรงเรียนของวัดมาเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ชั้น ม.1 จนกระทั่งจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยสงฆ์

               แม้แต่ภรรยาของผมซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ นพ.ธงชัย  อุดคำ (น้องชายของภรรยาผม) ต่างก็เรียนจบชั้น ป.6 จากโรงเรียนวัดล้านตองแห่งนี้ จากนั้นจึงค่อยไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนอื่น  ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า..... “นักเรียนสำคัญกว่าโรงเรียน”

               และการเรียนในโรงเรียนวัดนั้น  ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด  หากแต่ “มีดีมากกว่าที่คิด” เสียอีก

 

 


(3)

    

 

               วันที่ 8 พ.ค.2555 ที่ผ่านมา ผมพาน้องเพียงพอไปปฐมนิเทศที่โรงเรียนวัดล้านตอง ซึ่งเป็นวันแรกที่น้องเพียงพอไปโรงเรียนอย่างเป็นทางการ โดยเธอจะเรียนอยู่ชั้น ป.1 ซึ่งมีเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมด 28 คน

               เวลา 10 โมงเช้า ผมไปรับเธอกลับบ้าน เธอบอกผมว่า   “คุณพ่อขา! หนูได้เป็นหัวหน้าชั้น ป.1 ด้วย นะค่ะ”

               คำบอกเล่าของเธอ ทำให้ผมอมยิ้มและคิดอยู่ในใจว่า " อะฮ่ะ! ....เอาแล้วไหมล่ะ ลูกสาวชั้น มาเรียนวันเดียวก็ได้เป็นหัวหน้าชั้นเลย ยอดเยี่ยมจริงๆ "

               เธอเล่าให้ฟังว่า ตอนที่นักเรียนชั้น ป.1 เข้าห้องครบทุกคนแล้ว ครูประจำชั้นถามว่า "มีใครอยากจะเป็นหัวหน้าชั้น ป.1 บ้าง? ขอให้ยกมือขึ้น"

               เธอบอกว่าคนอื่นๆ ไม่มีใครยกมือขึ้นเลยสักคน เธอก็เลยยกมือขึ้น และบอกคุณครูว่า "หนูขออาสาเป็นหัวหน้าห้องชั้น ป.1 เองค่ะ"

               แล้วเพื่อนๆ ก็พากันยกมือสนับสนุน เลยทำให้เธอได้เป็นหัวหน้าชั้น ป.1 ไปโดยปริยาย ซึ่งฉายแววของ "ความเป็นผู้นำ" ออกมาตั้งแต่เด็กๆ เลย.....เป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าภาคภูมิใจไม่น้อยเลยทีเดียว

               เห็นหรือยังละครับว่า การเรียนในโรงเรียนวัดนั้น   “มีดีมากกว่าที่คิด” เสียอีกนะครับ   555

 

 

 

 

สู้ๆ ค่ะ

ป้ายของโรงเรียนวัดล้านตอง

รั้วโรงเรียน

 

อาคารเรียน

ห้องสมุดของโรงเรียน

สนามฟุตบอลของโรงเรียน

 

 

 

 

 

เพลง      "ลูกหิน"

ศิลปิน         "คาราบาว"

 

 

หมายเลขบันทึก: 487598เขียนเมื่อ 10 พฤษภาคม 2012 12:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 กรกฎาคม 2012 07:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

ดูเหมือนโรงเรียนอินเตอร์จังครับ...หลานเปิดเทอมแล้วหรือครับ....น่ารักยิ้มแย้มสดใสจังครับ....ขอให้มีความสุขในการเรียน และประสบการณ์ และความทรงจำในโรงเรียนนะครับ....สบายดีนะครับ

สถานที่ไม่สำคัญเท่าความมุ่งมั่นตั้งใจ น้องน่ารักมากค่ะ ชื่นชมค่ะ

ให้ดอกไม้ ส่งความสุข ต้อนรับวันเปิดเทอม สำหรับหลานที่น่ารักของป้ากระติก

มีความสุขกับการเรียนทุกๆ วันนะคะ

อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจมากค่ะ ในต่างประเทศ เด็กๆ ก็เข้าโรงเรียนใกล้บ้าน ให้เด็กได้ "กินอิ่มและนอนอุ่นตามพัฒนาการของวัย" เข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น เสียก่อน เรื่องวิชาการ เมื่อรู้ความถนัดตนเองแล้ว จับให้ถูกทาง ก็เก่ง ดี มีสุขได้ไม่ยาก ชื่นชมเป็นกำลังใจให้หลานพอเพียงเสมอค่ะ :)

สวัสดีครับ คุณหมออดิเรก(ทิมดาบ)

 

* โรงเรียนวัดล้านตองเป็นโรงเรียนอินเตอร์นะครับ เพราะ 50 % ของนักเรียนทั้งหมดเป็นไทยใหญ่และพม่าครับ 555

** โรงเรียนของลูกสาวจะเปิดเทอมอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 พ.ค.นี้ครับ

*** ผมและครอบครัวสบายดีทุกคนนะครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่กรุณาถามไถ่มา

**** ขอให้คุณหมอและครอบครัวมีความสุข และเบิกบานกายใจตลอดเวลานะครับ

สวัสดีครับ คุณพี่ถาวร

 

ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาทักทายและให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ

สวัสดีครับ เอื้อยกระติก~natachoei ที่ ~natadee

 

* ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับดอกไม้สวยๆ ที่มอบให้กับลูกสาวเพื่อต้อนรับการเปิดเทอมใหม่

** ขอให้เอื้อยมีความสุข สนุกกับการทำงาน เบิกบานกายใจ และพบแต่สิ่งที่ดีๆ ตลอดเวลานะครับ

สวัสดีครับ คุณหมอแต้ / ป.

 

* ผมให้อิสระแก่ลูกสาวในการเลือกที่เรียนนะครับ พอลูกสาวเลือกที่จะเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน ก็รู้สึกว่ามีข้อดีๆ หลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดก็คือ อยากให้ "ลูกกินอิ่มและนอนอุ่น" เสียก่อน พอโตขึ้นหรือจบ ป.6 แล้วค่อยให้เข้าไปเรียนในเมือง และถึงตอนนี้ก็คงจะปล่อยให้ลูกได้เรียนในสิ่งที่เขาอยากจะเรียนอย่างเต็มที่เลย

** ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ

  • สวัสดีจ้ะ
  • " วัด" สร้าง บัณฑิต มหาบัณฑิต มาเยอะแล้วจ้ะ
  • คุณมะเดื่อก็เรียนชั้นประถมโรงเรียนวัดเหมือนกันจ้ะ
  • ชื่นชมผู้ปกครองที่เคารพการตัดสินใจของลูก
  • ปัจจัยที่ส่งผลความสำเร็จทางการเรียนไม่ได้อยู่ที่ชื่อโรงเรียน แต่ตัวผู้เรียนและผู้ปกครองก็มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก
  • ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในครอบครัว ครับ

ชอบบันทึกเรื่องนี้ของคุณอักขณิชมากเลยครับ
มันสะท้อนวิถีทรรศนะต่อการศึกษาอยู่ในระหว่างบรรทัดไปด้วย ของการศึกษาที่ไม่ได้แยกส่วนมองแต่องค์ประกอบด้านโรงเรียนและความงอกงามของชีวิตจากหลักสูตรที่ดำเนินการในโรงเรียน แต่แสดงให้เห็นถึงการเห็นคน(ลูก)กับความสัมพันธ์ในความเป็นทั้งหมดของเขาอย่างเป็นองค์รวม วิธีคิดและทำของคุณอักขณิช ทำให้เห็นความใส่ใจและความฉลาดของพ่อแม่ รวมทั้งการสร้างความตระหนักถึงบทบาทของครอบครัวพ่อแม่ต่อการพัฒนาชีวิตและการส่งเสริมกระบวนการศึกษาเรียนรู้ ที่จะมีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเลือกสูตรสำเร็จจากโรงเรียน ขอบคุณครับ

ขอเป็นกำลังใจให้หลานพอเพียงค่ะ

โรงเรียนเป็นเพียงส่วนหนึ่งค่ะ คุณครูที่โรงเรียนก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ผู้ปกครองและตัวนักเรียนเองก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มาประกอบกัน ความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับวาเราจะเรียกอะไรว่าความสำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งใดสิ่หนึ่งเท่านั้น

ตอนเป็นเด็กไม่มีโอกาสไปเรียนในเมืองเพราะครอบครัวยยายยากจนมาก แต่โรงเรียนใกล้บ้านที่มีคุณครูที่ดีก็เป็นจุดเริ่มต้นในการเติบโตมมาจนถึงวันนี้ค่ะ จนกระทั่งวันนี้ถึงแม้เราจะพอมีเงินส่งลูกหลานในครอบครัวให้เรียนในเมืองได้ แต่ครอบครัวเราก็ส่งหลานๆเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน ตอนนี้หลานๆ ก็เรียนในมหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว เพราะมันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าโรงเรียนใกล้บ้านที่มีคุณภาพก็มีเหมือนกัน

ที่สิงคโปร์ผู้คนส่งนักเรียนเข้าโรงเรียนใกล้บ้านเพราะความสะดวกทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง โรงเรียนจะมาเปิดในแถบชุมชนที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากกว่าที่ผู้คนจะเดินทางนำลูกไปส่งโรงเรียนไกลๆ...

เป็นกำลังใจให้น้องเพียงพอ ผู้นำที่เก่งในอนาคตครับ...

สวัสดีครับ คุณมะเดื่อ

 

*เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ ที่คุณมะเดื่อกล่าวว่า " วัด" สร้าง บัณฑิต มหาบัณฑิต มาเยอะแล้วจ้ะ"

**ผมเองก็เป็นหนึ่งในผลผลิตจากโรงเรียนของวัดนะครับ ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่ให้ได้ทั้งเรื่องวิชาการและคุณธรรมสำหรับนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน....รู้สึกภูมิใจมากๆ เลยละครับ

สวัสดีครับ คุณสันติสุข สันติศาสนสุข

 

ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจผมและครอบครัว

สวัสดีครับ อาจารย์ ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์

 

* ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่อาจารย์กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจ

** แถวๆ หมู่บ้านของผม ค่านิยมเรื่องการส่งลูกๆ ไปเรียนในเมือง กำลังกลายเป็นกระแสหรือแฟชั่นฮิตเลยนะครับ ซึ่งผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะส่งลูกหลานของตนไปเรียนในโรงเรียนในเมืองหรือโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ซึ่งบางคนส่งลูกไปเรียนตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาลเลยทีเดียว เพื่อให้ลูกของตนเองเรียนดีและเรียนเก่ง โดยมองข้าม "อารมณ์" และ "ธรรมชาติของวัยเยาว์" ที่มีอยู่ในตัวของเด็กๆ ไปเสีย

มีเด็กหลายคนในหมู่บ้านที่ไปเรียนหนังสือในเมือง ซึ่งเรียนหนังสือเก่งสมใจ แต่กลับไม่รู้จักเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันในหมู่บ้านเลย รู้จักเพียงแค่หน้าบ้านของตัวเอง ทางไปโรงเรียน และโรงเรียนของตัวเองเท่านั้น....หลายคนเมื่อเรียนจบแล้ว พอไปทำงานที่อื่น ไปแล้วก็ไปลับ โดยไม่มีได้มีความผูกพันกับบ้านเกิด และไม่เคยกลับมาช่วยดูแลหรือพัฒนาบ้านเกิดของตนเองเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากพอสมควร

ที่่น่าเศร้ามากไปกว่านั้น ก็คือ บางครอบครัวมีฐานะยากจน หาเช้ากินค่ำ แต่ต้านกระแสไม่ไหว ก็ส่งลูกไปเรียนโรงเรียนในเมืองกับเขาด้วย ทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้น มีภาระหนักขึ้น และลำบากมากขึ้นตามไปด้วย โดยที่เขาไม่ได้คิดถึงคำว่า "พอดี" เลย

 

*** ในความเป็นจริงแล้ว ครอบครัวของผมมีฐานะที่มั่นคงและสามารถส่งลูกสาวไปเรียนในเมืองได้อย่างสบายๆ นะครับ แต่เมื่อลูกสาวเลือกที่จะเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ผมและครอบครัวก็เคารพในการตัดสินใจของเธอและจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจลึกๆ ที่ผมและครอบครัวจะได้มีเวลาดูแลและให้ความอบอุ่นกับเธอได้อย่างเต็มที่

 

**** ข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่เกิดจากการที่ลูกสาวผมเลือกเรียนที่โรงเรียนวัดล้านตอง ก็คือ ทำให้ "ครู" ที่โรงเรียนนี้รู้สึกภูมิใจที่จะได้สอน "ลูกสาวของอาจารย์มหาวิทยาลัย" (ภรรยาผมสอนที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ส่วนผมสอนพิเศษที่มหาวิทยาลัยสงฆ์) ซึ่งนอกจากจะเป็นการให้ความสำคัญกับโรงเรียนใกล้บ้านแล้ว ก็ยังให้ความสำคัญกับ "ครู" ซึ่งเป็นคนในพื้นที่อีกด้วย

**** ผมเป็นคนชอบคิดและทำอะไรนอกกรอบนะครับ ก็เลยค่อนข้างจะคิดต่างจากคนอื่น และชอบทำอะไรแปลกๆ อย่างที่เห็นนี้แหละครับ 555

สวัสดีครับ คุณ ...ปริม pirimarj...

 

* ขอบคุณน้องสาวมากๆ เลย ที่แวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ

** อ้ายและหลานๆ สบายดีทุกคนนะครับ

*** พวกเราทุกคน(รวมทั้งเยาวชนที่น้องสาวให้ทุนการศึกษาด้วย) คิดถึงน้องสาวเสมอน่ะ ยังไงๆ ก็ขอให้ดูแลและรักษาสุขภาพให้ดีๆ โตยเน้อเจ้า

สวัสดีครับ คุณ พ.แจ่มจำรัส

 

*ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่คุณพิชัยกรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังน้องเพียงพอ

** ขอให้มีความสุข เบิกบานกายใจ สุขภาพแข็งแรง และพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ ตลอดเวลานะครับ

แถวบ้านผมมีโรงเรียนวัดหลายที่ เพื่อให้เด็กๆได้เรียนโรงเรียนใกล้ๆบ้านแต่ตอนนี้สำหรับผมแล้วเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่งครับโรงเรียนแต่ละที่มีเด็ก35-50 คนเท่านั้นรวมตั้งแต่ ป.1-ป.6 พ่อแม่ทุกคนส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนในเมืองกันหมดเลยหลานผมต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนกลับถึงบ้านถ้าไม่มีเรียนพิเศษต่อก็อย่างต่ำก็ห้าโมงเย็นค่าใช้จ่ายก็เยอะตามไปด้วยความผูกพันธ์และกิจกรรมของคนในครอบครัวที่ผมเห็นแถวบ้านมันขาดหายไปเยอะหลานผมเค้าก็บ่นว่าเหนื่อยเพราะต้องเดินทางไกล(ไกลกว่าสมัยผมเรียนเยอะเพราะผมเรียนโรงเรียนวัดแถวบ้าน)ตอนนี้ลูกสาวผมอยู่อนุบาล 3 ผมถามเค้าเหมือนกันครับว่าลูกอยากไปเรียนในเมืองมั้ยเหมืนกับคนอื่นๆลูกสาวผมตอบว่าเรียนที่ใหนก็ได้ที่อยู่ใกล้ๆบ้านจะได้ไม่เหนื่อยและจะได้มีเวลาเล่นเยอะๆด้่วย.ผมดีใจครับที่ลูกผมคิดแบบนั้นทำให้ผมคลายความกังวลลงไปเยอะเลยทีเดียวเพราะผมอยากเห็นลูกผมมีความสุขครับ.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท