น้องชายของคนใกล้ตัว สมัยเรียนวิศวะฯอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อครั้งไปตั้งแคมป์ไฟสังสรรค์ระหว่างเพื่อนด้วยกัน
ได้พูดถึงภาพถ่าย 2 ใบที่ถ่ายไว้ช่วงเวลาไล่เรี่ยกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเวลาค่ำคืนของวันที่ไปตั้งแคมป์ไฟว่า มีภาพของใครบางคนที่ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่ม ถูกถ่ายติดมาด้วย ภาพของใครคนนั้นนั่งอยู่ข้างหลังเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่ง
มันเป็นความบังเอิญหรืออะไรมิทราบได้? ขณะถ่ายภาพข้างหลังเพื่อนคนนี้ มิได้มีใครแอบอยู่ด้านหลังจริง ๆ ภาพที่ปรากฏมาให้เห็น เมื่อมองแล้วมิใช่ภาพที่มีความน่าสะพรึงกลัว แต่เป็นความประหลาดใจที่ชวนคิดมากกว่าว่า.. ทำไมสิ่งที่มองไม่เป็นด้วยสายตาของเรา แต่กลับมองเห็นได้จากกล้องถ่ายรูปที่ถ่ายไว้
ในทางวิทยาศาสตร์ มีคำตอบหักล้างความเชื่อในเรื่องนี้ได้หลายเหตุผล ที่อ่านแล้ว หรือได้ฟังแล้วมันก็สมเหตุสมผลตามหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์นักเชียว
วิญญาณความเชื่อความรู้สึกของแต่ละคน มันย่อมแตกต่างกันไป
มีทั้งเชื่อ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หรือ ไม่เชื่อเลย
หากเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มันก็มีทั้งความกล้า ๆ กลัว ๆ หรือมันจะเป็นสิ่งขาดเขลาเบาปัญญา หากเชื่อโดยสนิทใจ
สิ่งที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่พูดกัน เห็นกัน อยู่บ่อยครั้งนัก มันจึงมิใช่เป็นเรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด
เมื่อเราใช้สติจับความรู้สึกนี้ได้ เราจึงเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง
ชีวิตคนเรามีเกิด มีแก่ มีเจ็บและมีความตายเป็นที่ตั้ง
เมื่อคิดได้ จึงไม่คิดถึงความกลัว เรากลัวความตายหรือไม่ กลัวสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร
ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปโดยธรรมชาติ ธรรมชาติที่เรามิอาจหลีกพ้นได้
หากเราอยากค้นหาชีวิตหลังความตายว่าจะเป็นเช่นไรนั้น มันสุดที่จะคาดเดาได้
แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่พึงรู้อย่างสม่ำเสมอว่า วันนี้เราได้ทำประโยชน์ให้ถึงพร้อมกับที่ชีวิตที่เกิดมาแล้วหรือยัง ต่างหาก
การทำสิ่งดี ดี ให้เกิดขึ้นกับตัวเองและผู้อื่นจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ใจคิดดี บุญก็เกิด กุศลก็มา
กายทำดี บุญก็ส่ง กุศลก็หนุน มีเหลือติดตัวไว้ใช้ในภพหน้า ภูมิหน้า แม้นว่าภพหน้า ภูมิหน้าจะมิรู้ได้ว่าเป็นเช่นไร แต่สิ่งดีงามที่ทำไว้ มันไม่เคยจืดจางไปจากจิตใจของเราเลย มันคอยวนเวียน อยู่รอบ ๆ ตัวเราเสมอ
เชื่อมั้ย!!
หากไม่เชื่อ ลองนึกถึงสิ่งดีงามที่เราเคยทำไว้ซิ เปรียบได้ดั่งสายฝนที่หยดลงมาจากฟากฟ้า ช่างเย็นชื่นใจนัก ความเชื่อแบบนี้ซิ น่าส่งเสริม น่าเกื้อหนุน โดยที่เรามิต้องพะวักพะวงว่า ชีวิตหลังความตายนั้นเราจะเป็นเช่นไร มันจะน่ากลัวหรือไม่?
หากร่างกายเราละสังขารจากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยความอิ่มเอมในหัวใจกับสิ่งดีงามที่ได้ทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
สิ่งใดก็ตามทั้งที่มองเห็น หรือมองไม่เห็น จึงเป็นเพียงมโนทัศน์ที่ทำให้เราตระหนักซ้ำว่าวันเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปนั้น มันช่วยให้ชีวิตของเรามีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นหรือไม่? หรือจะเป็นเพียงแค่ภาพมายาแห่งชีวิต ที่สูญเปล่าไปวัน ๆ
ภาพที่ปรากฏมาให้เห็นนี้. คืออาหารทางจิตวิญญาณที่ช่วยเตือนสติของเราได้เป็นอย่างดีมิใช่หรือ?
เห็นกันจะๆ ชัดมากเลยนะคะ เตือนสติให้หมั่นทำดีไว้ค่ะ
พระุพุทธองค์ ตรัสว่า เรื่องเหล่านี้มันเป็น "อจินไตย" ที่มนุษย์เราหาได้ควรใช้เวลาในการสนใจมากมายไม่ เพราะหากเราสนใจมากเกิดไป อาจจะทำให้เราใช้ชีวิตมนุษย์ในชาตินี้ได้ไม่คุ้มค่าในสิ่งที่ควรเป็นและควรทำ
หากพระพุทธองค์มิได้เคยตรัสว่า เรื่องแบบนี้ไม่มีจริง
ขอบคุณสำหรับสติที่มอบให้ครับ ;)...
ขอบคุณดอกไม้กำลังจที่ส่งมอบมาให้นะครับ
Keng | |
Poo | |
Wasawat Deemarn | |
ดร. จันทวรรณ ปิยะวัฒน์ | |
นาง นงนาท สนธิสุวรรณ |
อาจารย์จันทวรรณครับ
ผมมองภาพ 2 ภาพนี้ อยู่นาน และอยากถ่ายทอดความคิดอะไรบางอย่างให้สังคมได้รับรู้ นะครับ
ไม่ใช่เพียงแค่การอยากดู อยากเห็น แล้วมันเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้าง นอกจากความบันเทิง ความขลาดกลัว ในสิ่งที่เห็น
การย้อนกลับมามองว่า...อีกหน่อยเราก็คงเป็นเช่นนั้น
แต่หากว่า...เรามีสิ่งดีงามในชีวิตให้เราระลึกถึงก่อนละสังขารจากโลกนี้ไป
เราจะมีความรู้สึก เช่นไร
(ภพหน้า...เรามิอาจรู้ได้ รู้แต่ว่า สิ่งดีงามที่เราระลึกถีงได้นั้น คือ ความปิติที่จะตามเราไป)
ขอบคุณอาจารย์จันทวรรณมากนะครับ
ตอนแรกมองไม่ออก มองไปมองมา ก็โอ้..
อย่างไรก็ตาม ชอบประโยคนี้ค่ะ
เมื่อคิดได้… จึงไม่คิดถึงความกลัว เรากลัวความตายหรือไม่ กลัวสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร
อ.วัตร พูดถึง "อจินไตย"
น่าสนใจมากนะครับ
ขอบคุณครับ
อจินไตย หมายถึงสิ่งที่ไม่ควรคิด หรือเกินกว่าที่ความคิดเราจะไปถึง
ขอบคุณที่ช่วยเผยแพร่ GotoKnow ไปยังสื่ออื่นๆ ค่ะอาจารย์ :)
ขอบคุณมากนะคะ นำอาหารอร่อยมาฝากด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะ
อ่านแล้วได้ข้อคิดดีจังค่ะ
ขอบคุณค่ะ