เรื่องของ“มิ่งขวัญ”


หลังชมพูพันธุ์ทิพย์ร่วงพราวที่พื้น ก็เป็นตาเบบูญ่าสีเหลืองสดทิ้งดอกโรยเกลื่อนงดงามที่โคนต้น สัญญาณการปิดเทอมมาถึงอีกปีแล้ว ทุกปีจะมีนักเรียน ม.3 และ ม.6 จบการศึกษาตามหลักสูตร บรรยากาศการล่ำลาเป็นความปกติของครู แต่มักเป็นอารมณ์ซึมเหงาในโอกาสที่ต้องจากเพื่อนของเด็กๆ

ม.6/1 เป็นนักเรียนที่ผมสอนประจำทุกปี และสอนมาตั้งแต่ ม.4 แล้ว เป็นห้องซึ่งเน้นเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ปีหนึ่งจะมี 20 กว่าคน ปีนี้ก็เช่นกัน รู้สึกประทับใจความมีน้ำใจและจิตอาสาของห้องนี้ ดังที่เคยกล่าวถึงมาแล้ว ลักษณะโดยรวมของนักเรียนที่นี่ การเรียนอาจไม่เก่งกาจนัก ยกเว้นบางคนที่น่าจะเทียบเคียงกับโรงเรียนอื่นได้อย่างไม่น้อยหน้า หนึ่งนั้นคือมิ่งขวัญ

ผมเห็นมิ่งขวัญมาตั้งแต่ชั้น ม.ต้นแล้ว ช่วงนั้นเธอมักจะไปไหนมาไหนกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งใครที่โรงเรียนก็รู้ว่ากลุ่มนี้บิ๊กไซส์ทั้งนั้น(ฮา) เธอมักทักทายครูทุกคนรวมทั้งผม ด้วยการไหว้อย่างอ่อนน้อม แม้การไหว้ทักทายครูจะเป็นธรรมเนียมของนักเรียน แต่ผมกลับสะดุดตากลุ่มของมิ่งขวัญ เพราะโดยทั่วไปนักเรียนหลายคนมักจะไม่ไหว้ทักทายครูที่ไม่ได้สอนเขา

ขณะกลุ่มนี้เลื่อนชั้นมาอยู่ ม.4 ซึ่งต่อไปผมจะสอนพวกเธอจนจบ ม.6 และแล้ววันหนึ่งความผิดหวังกลุ่มของมิ่งขวัญก็มาถึงอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะความคาดหวังที่เคยเห็นกิริยาพวกเธอมาก่อนหน้าแล้วก็ได้ ผมวานให้นักเรียนกลุ่มนี้ช่วยเก็บข้อมูลความคิดเห็นคณะครูด้วยแบบสอบถาม แต่แล้วนักเรียนทั้งหมดก็เงียบหายไป จนวันรุ่งขึ้นทวงถาม จึงได้แบบสอบถามคืนมาบ้าง ในใจขณะนั้นอธิบายให้ตัวเองฟังว่า คงเป็นเพราะเธอยังเด็ก การเปรียบเทียบความรับผิดชอบกับนักเรียนที่โตกว่า น่าจะไม่ถูกต้อง

จนมาถึง ม.5 ผมได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นครูที่ปรึกษาห้องนี้พอดี ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น วันประชุมผู้ปกครองก็มาถึง ครูที่ปรึกษาต้องไปพูดคุยเพื่อให้ข้อมูลผู้ปกครองในชั้นเรียน พร้อมรับฟังปัญหาหรือข้อคิดเห็นต่างๆ วันนั้นจึงรู้ว่า การทะเลาะเบาะแว้งแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายของห้องนี้รู้ถึงหูผู้ปกครองแล้ว แต่ที่น่าห่วงกว่าก็คือ ผู้ปกครองทำท่าจะร่วมวงความขัดแย้งนี้เองเสียเลย วันนั้นผมประกาศกับทุกคน เรื่องทะเลาะกันของเด็กๆเป็นเรื่องเล็ก ผมมีประสบการณ์ในการจัดการมาแล้ว รุนแรงกว่านี้ด้วยซ้ำ ขออย่างเดียวผู้ปกครองต้องวางเฉย อย่าไปเข้าข้างหรือให้ท้าย วางตัวให้เป็นผู้ใหญ่ของลูกหลานทุกคน ผมเชื่อว่านักเรียนห้องนี้มีเหตุมีผล รับรองว่าคุยกันรู้เรื่อง

ผมซักและรู้เรื่องนี้มาก่อน สองฝ่ายมีหัวขบวนใหญ่ฝ่ายละคนสองคน ฝ่ายหนึ่งเป็นมิ่งขวัญนั่นเอง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน กระแนะกระแหนกันตลอด ทั้งในและนอกเวลาเรียน สาเหตุไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อยที่ค่อยสะสมมาเรื่อย จนกระทั่งเรื่องราวก้าวเข้าสู่ความตึงเครียดอย่างที่รู้ แต่พอได้พูดคุยกันอย่างจริงจัง ก็เป็นดั่งที่ผมคิด นักเรียนละลายความโกรธและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาใหม่ในเวลาไม่นานนัก ยิ่งช่วงก่อนจบ ม.ด้วยแล้ว ได้เห็นมิตรภาพอันแน่นแฟ้นของลูกศิษย์ห้องนี้ ความสุขอันยิ่งใหญ่ของครู ไม่ได้ปรารถนาอะไรมากกว่านี้เลย..บอกตัวเองอย่างนั้น

ช่วงโรงเรียนจัดให้ครูสอนติว GAT และ PAT ให้กับชั้น ม.6 ทั้งหมด มิ่งขวัญเป็นหนึ่งในไม่กี่คนของ ม.6/1 ที่เข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอ เอาใจใส่ต่อเรื่องที่ครูสอนอย่างน่าชื่นชม ขณะเพื่อนอีกหลายคนขาดความมุ่งมั่น เข้าเรียนบ้างไม่เข้าเรียนบ้าง ทั้งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองแท้ๆ พวกเธออาจคิดว่า มีที่เรียนต่อล่วงหน้ากันแล้วก็ได้ แต่ในมุมของครูหรือตัวผมเองก็ยังน่าสงสัย ในเมื่อมีโอกาส ให้เลือก ให้ลอง หรือให้พิสูจน์ตัวเอง ที่เรียนที่ดีกว่า อนาคตที่น่าจะสดใสกว่า ทำไมไม่ขวนขวาย ก็มีที่เรียนแล้ว” “เท่านี้ก็พออย่างนี้ไม่ใช่พอเพียงตามหลักปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแน่ แต่น่าจะเป็นความพ่ายแพ้ ความไม่สู้ หรือเป็นความสยบยอมเสียมากกว่า ช่วงนั้นบ่นนักเรียนในห้องสอนติวไว้ในทำนองนี้

ถัดจากนั้นระหว่างสอนติวโอเน็ต วิชาชีววิทยาพื้นฐาน เรื่องการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต ให้กับ ม.6 ทั้งหมด ผมตั้งคำถามที่มักจะถามเพราะอยากรู้ทัศนคติของเด็กรุ่นใหม่ ในเรื่องการปรับตัวของคนเราที่ถือว่า น่าจะทำได้ยอดเยี่ยมกว่าสัตว์หรือพืชอื่นๆทั้งหมด ไม่อย่างนั้นมนุษย์เราจะครองโลกมาจนทุกวันนี้หรือ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ใช่ปรับตัวมั้ย? เธอเห็นว่ายังไง?” ทุกคนตอบว่าใช่ รวมถึงแทบทุกคนบอกว่าดี แต่มิ่งขวัญคนเดียวที่แสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง อีกทั้งหลุดปากก็ไม่ได้ดีเสมอไปซึ่งตรงใจผมเหลือเกิน ผมถามเหตุผลต่อและช่วยเสริมเติมความคิดคนที่ปรับตัวเก่งมากๆก็คือ คนกะล่อนที่สังคมเรามักรังเกียจใช่หรือไม่

ตัวผมเองมักจะคิดถึงแม่อยู่บ่อยๆครับ แม้ท่านจะเสียชีวิตไปนานแล้วก็ตาม ความรักของแม่ที่มีให้ลูก มากมายเพียงใดทุกคนรู้ดี แม่ให้กำลังใจลูกตลอด แม่เป็นฝ่ายลูกทุกเรื่อง เสียดายที่แม่จากผมไปเร็ว ยังไม่ทันเห็นความสำเร็จของลูกหลานเท่าไหร่เลย ความรักระหว่างแม่กับลูกเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมชื่นชมมิ่งขวัญยิ่งขึ้น พี่คนหนึ่งที่โรงเรียนเล่า มิ่งขวัญใช้ชีวิตอยู่กับแม่เพียงลำพัง ฐานะครอบครัวเธอจึงไม่ค่อยดีนัก

ก่อนหน้าจะติว GAT PAT และโอเน็ตแล้ว มิ่งขวัญถามเชิงปรึกษาผม ผ่านมาทางสื่อออนไลน์ เธอบอกได้รับการคัดเลือกให้เข้าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาอะไรจำไม่ค่อยได้แล้ว ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ผมไม่ได้ตอบ พอพบกันที่ห้องเรียนเธอจึงถามอีก ครูว่าดีมั้ย” “แล้วตรงใจเรามั้ยล่ะ อยากเรียนมั้ย ที่บ้านเรามีสอนสาขานี้หรือเปล่า ครูว่าไกลไปนิด เดินทางไปมาลำบาก แต่ถ้าชอบหรือตรงใจจริงๆ ก็เอาสิ

แต่คำตอบที่ได้ทำให้ผมต้องเงียบงัน พูดอะไรต่อไม่ออก น้ำตารื้นขึ้น รีบเบือนหน้าหลบสายตาเธอ คาดไม่ถึงว่าเด็กวัยนี้จะคิด..

“แต่แม่จะต้องอยู่คนเดียว หนูเป็นห่วงแม่”

เห็นพัฒนาการของเธอครับ..เธอโตมากแล้วมิ่งขวัญ

หมายเลขบันทึก: 483299เขียนเมื่อ 26 มีนาคม 2012 18:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กันยายน 2015 16:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

อ่านแล้วพลอยเศร้าบนความยินดี ของใครหลาย ๆ คนเลยนะครับครูธนิตย์ครับ

สิ่งดีงามในชีวิตตนเรา บางครั้ง เราไม่อยากที่จะเลือกเลยนะครับ

แต่ผมเชื่อนะครับครู ..ทุกสิ่งต้องมีทางออกของมันเสมอ

ครูเชื่อเหมือนผมมั้ยครับครูครับ

...

ชอบคุณมากนะครับครู

ความเอาใจใส่ของครูดีๆเช่นนี้ เป็นกำลังใจอย่างยิ่งของลูกศิษย์ค่ะ

  • ทุกสิ่งมีทางออกจริงๆครับ บัดนี้เธอตัดสินใจจะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยนเรศวรแล้วครับ 
  • ขอบคุณคุณแสงแห่งความดีครับ
  • การหล่อหลอมจากครอบครัวที่ดี ทำให้ความรับผิดชอบและความคิดเธอเหนือเด็กๆวัยเดียวกัน ซึ่งน่าชื่นชมมากครับ 
  • ขอบคุณกำลังใจจากพี่ใหญ่ นงนาทครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท