เหมือนนอนหลับไปนานและตื่นขึ้นมาพบกับใครบางคนที่ชวนให้สมองสั่งการให้สร้างมโนสำนึกเป็นภาพเรื่องราวในอดีต หลายเรื่องในวัยเด็กผมเลือนหายไปหมดแล้วโดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลต่างๆที่ผมได้มีโอกาสรู้จักในเวลานั้นซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆช่วงวัยปฐมวัยเท่านั้นเอง
จะจำได้บ้างก็แต่ในเรื่องที่เป็นเรื่องของตัวเองเท่านั้นเองกระนั้นก็ตามบางเรื่องถ้าไม่มีใครมากระตุ้นหรือเห็นภาพอะไรบางอย่างก็จะยังนึกไม่ออกว่ามีลายละเอียดของเรื่องว่าอย่างไร หรือเป็นเพราะว่าผมไม่ผูกพัน
9 มีนาคม 2555 ได้มีโอกาสไปงานแต่งงานญาติ ที่ต.บางระกำ อ.บางเลน จ.นครปฐม ซึ่งเป็นธรรมดาที่งานแต่งงานเจ้าภาพก็ต้องเชื้อเชิญบรรดาญาตพี่น้องรวมถึงคนรู้จักทั้งหลายไปทั่วเพื่อวัตถุประสงค์จะบอกต่อสาธารณชนเพื่อให้มาร่วมกันแสดงความยินดีและร่วมเป็นเกียรติ์กับเจ้าภาพที่ได้เสียสตางค์จัดงานแต่งให้ใหญ่โตตามธรรมเนียมของคนในท้องทุ่งชนบท
ธรรมดางานแต่งงานย่อมต้องมีคนมาร่วมงานกันมาก ในบรรดาแขกของเจ้าภาพเหล่านั้นหลายคนที่ผมเห็นก็คือผู้ที่มีถิ่นฐานอยู่ข้างเคียงกับบ้านของพ่อผมที่อยู่ในวัยเด็กของผมบ้างก็อยู่เลยคลองขึ้นไป บ้างก็อยู่เคียงๆกัน เมื่อเห็นแล้วความรู้สึกว่าเคยคุ้นเคยก็เกิด ถ้าจำหน้าได้ผมจะรีบยกมือไห้สวัสดีครับ แม้บางคนจะจำชื่อไม่ได้ เหมือนเป็นการเตือนความจำของผู้ถูกทัก ผมได้รอยยิ้มและคำทักทายกลับมาแต่เป็นปฏิสันฐาน
ใครคนนั้นจะยินดีด้วยใจจริงๆหรือเพียงมารยาทไม่ควรคำนึง ผมพยายามสำรวจดูว่ามีใครบ้างที่ผมเคยเห็นเคยรู้จัก เคยพูดคุยด้วยหรือมีการกระทำที่เคยเกี่ยวข้องกันไม่จะเป็นทางกายหรือด้วยการพูดคุย ความแปลกแยกแตกต่างมันย่อมเกิดขึ้นได้ คนเคยอยู่ในสถานที่เดียวกันกลายเป็นคนที่มาจากอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งรู้ว่าคนนี้เคยอยู่ในบริเวณแถวๆนี้
ความแปลกแยกหรืออีกนัยหนึ่งคือความต่างกันด้วยพื้นฐานสภาพแวดล้อม ก็เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปแล้วคนๆนั้นได้เปลี่ยนแปลงอะไรไป คนยังเป็นเป็นคนเดิมแต่ไม่ได้อยู่ในท้องทุ่ง ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองและเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ30ปีบัดนี้ชีวิตของเขาเป็นอย่างไรบ้าง
การที่ชีวิตของผมต้องเป็นไปในลักษณะต่างๆ นั้นเป็นเพราะว่าสภาพของครอบครัวที่ไม่สามารถดำรงรักษาสภาพครอบครัวชาวนาที่ต้องมีพื้นที่นาในการเพาะปลูกถูกขับไล่และพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพ พ่อผมพ่ายแพ้ต่อคำสั่งศาล การขึ้นศาลต่อสู้เป็นชะตากรรมที่จำใจสู้ สู้แล้วแพ้แต่พ่อก็สู้อย่างถึงที่สุด
ผมจำวันที่มีหลายคนนำรถเกี่ยวข้าวลงมาเกี่ยวข้าวที่พ่อผมปลูกทุกคนทำเหมือนว่าข้าวในนานั้นเป็นของเขา สิ่งนั้นเป็นชัยชนะสิ่งนั้นคือการลงโทษคนที่ถือดีอวดดีอย่างพ่อ หลายคนล้วนเป็นคนที่เคยพบเคยพูดคุยกับพ่อแล้วทั้งสิ้น ผมเห็นสายตากริยาท่าทีที่ล้วนยินดีที่ได้กระทำ พ่อแม่ถูกฟ้องขับไล่ถูกยึดข้าวในนาผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในใจของพ่อได้เพราะพ่อก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผมเวลานั้นผมอายุ 13 ปี น้องสาว 12 ปี น้องชาย8 ปี น้องคนเล็กอายุไม่ถึงขวบ
แต่ที่คาใจและไม่เข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้คือพ่อมีญาติพี่น้อง แต่ไม่เห็นมีใครช่วยเหลืออะไรเหมือนพ่ออยู่ตัวคนเดียว เหลียวหน้าแลหลังไหนเพื่อนของพ่อมิตรที่ดีของพ่ออยู่ไหน ไม่มี พ่อผมไม่มีเพื่อนมีมิตรจริงใจ คงไม่มีใครเขาอยากอยู่ข้างคนยากจนที่พ่ายแพ้ ผมสงสารพ่อและปฏิญาณว่าจะต้องไม่พ่ายแพ้เหมือนที่พ่อแพ้
ความรู้สึกนึกขึ้นได้ของคนในท้องทุ่งในวันนี้ที่ได้พบกับผมก็คงจำได้ในเรื่องต่างๆนาๆ หรือในแง่มุมใดก็ตามหรือตามที่พวกเขารู้จักพ่อผม สำหรับผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าโกรธเคืองอะไรใครเลยเพียงแต่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ต่างในวัยเด็กช่วงเวลาสิบกว่าปีก็มีเรื่องที่ยังคงจำได้อยู่มากมาย ผมคิดว่าผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่เป็นอีกคนอยู่มาวันหนึ่งเมื่อกลับไปยังสภาพแวดเดิมๆที่เคยคุ้น ฉับพลันก็มองเห็นภาพเก่าๆในอดีตเรียงรายให้เราให้ได้ละลึกถึงมัน เพียงแต่การเกิดใหม่ของผมนั้น ลมหายใจของผมยังคงมีอยู่
หากจะวัดกันด้วยฐานะทางเศรษฐกิจในวันนี้ของผมคิดว่าสำหรับตัวผมแล้วผมคงยังดูด้อยกว่าหลายคนแต่ผมก็คิดว่าหากวัดด้วยฐานะทางสังคมผมเองก็ไม่ต้องก้มหน้ามองดิน หากว่าผมจะต้องอยู่ในท้องทุ่งนั้นต่อไปในเวลานั้นจนถึงเวลานี้ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าผมจะอยู่อย่างไร ในฐานะใด
ไม่มีความเห็น