ผมและทีมงานเพียงไม่กี่ชีวิตตัดสินใจที่จะจัดกิจกรรมฟื้นฟูชุมชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ภายใต้ชื่อกิจกรรม "บรรเทาทุกข์บำรุงสุขชุมชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม"
การฟื้นฟูดังกล่าวประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งดนตรีบำบัด ตรวจสุขภาพกาย สุขภาพใจ ปรับภูมิทัศน์ บูรณะซ่อมแซมสถานที่สำคัญๆ ในชุมชน ส่งเสริมอาชีพ และอื่นๆ อีกจิปาถะ โดยยึด "ชุมชน" เป็น "โจทย์"
สำหรับกิจกรรมการเกี่ยวข้าวนั้น เป็นการหยิบจับกิจกรรมเมื่อหลายปีที่แล้วมาปัดฝุ่นใหม่ ซึ่งก่อนนั้นนิสิตในกลุ่มวิทยาลัยการเมืองการปกครองได้บุกเบิกนำร่องไว้ในมหาวิทยาลัยฯ โดยที่ผมมีโอกาสได้รับรู้ความเป็นไป รวมถึงแอบขยับตัวเกื้อหนุนในบางกระบวนกการอยู่อย่างเงียบๆ จนกระทั่งในที่สุดก็กระโจนลงไปเต็มตัวด้วยการจัดหางบประมาณในราวๆ ๔ หมื่นบาทเพื่อนำข้าวเปลือกไปมอบให้กับชาวบ้านผู้ประสบภัยที่จังหวัดอุตรดิตถ์
การเกี่ยวข้าวฯ ในครั้งนี้ ผมมุ่งที่จะนำพานิสิตไปสู่การ "ลงแขกเกี่ยวข้าว" เป็นสำคัญ เสมือนการฟื้นฟูวิถีวัฒนธรรมและกระตุ้นให้ชาวบ้านหันกลับมาร่วมรำลึกภาพอันแสนงามของชุมชนร่วมกัน
ไม่เพียงเท่านั้นหรอกนะครับ เรายังจะมีกิจกรรม "หมอลำขอข้าว" ด้วยเช่นกัน โดยการนำนิสิตลงสู่ชุมชนเพื่อแสดงดนตรีในรูปแบบต่างๆ ให้ชาวบ้านได้ดูได้ชม เพื่อแลกกับข้าวเปลือกตามแรงศรัทธา ซึ่งก็เป็นกระบวนการหนึ่งในการช่วยเหลือ "ชาวนาผู้ประสบภัยฯ" ในครั้งนี้
...
ล่าสุดวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา-
ผมนัดพบแกนนำของนิสิต ทั้งที่เป็นองค์กร และนิสิตอิสระที่ไม่ขึ้นตรงต่อองค์กรใดๆ มาร่วม "โสเหล่" กันแบบกันเองๆ
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าการนัดหมายมีความคลาดเคลื่อน ทั้งการสื่อสารและภารกิจการสอนของผมเอง พลอยให้นิสิตส่วนใหญ่เดินทางกลับไปทำธุระส่วนตัว ได้แต่ฝากฝังผู้แทนมาร่วมโสเหล่กันแทน
หลักๆ ในวันนั้น- ผมนำวีดีทัศน์ที่เกี่ยวกับกระบวนการ "ทำนา" มาให้นิสิตได้ดู พอเสร็จจากนั้นก็ชวนให้นิสิตได้บอกเล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อเรื่องราวที่ได้ชมอย่างสดๆ ร้อนๆ ...พร้อมๆ กับการขยับรุกเสริมพลังเชิงบวกด้วยเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับตำนาน "ข้าว" ที่ผมศึกษาและเก็บเกี่ยวมาโดยสังเขป เช่น ตำนานควายสอนคนปลูกข้าว,สุนัขเก้าหางปลูกข้าวให้คนกิน, ตำนานอันเป็นคติชนของข้าวก่ำที่เป็น "พญาแห่งข้าว", เมล็ดข้าวในตำนานไตรภูมิพระร่วง, ประวัติศาสตร์ความเก่าแก่ของข้าวเหนียวที่พบในอีสาน,ความสัมพันธ์ของพระแม่โพสพกับข้าวในท้องทุ่ง...
ครับ,เรื่องราวที่ว่านั้น ผมไม่เน้นการบรรยาย หากแต่เล่าเรื่องง่ายๆ เพื่อให้ทุกคนได้มี "องค์ความรู้" แบบสังเขปๆ จะได้มีแรงผลักจากภายในเพื่อออกเดินทางค้นหา "ขุมทรัพย์" (ความรู้) ด้วยตัวเอง
นอกจากนั้นยังมอบหมายให้คุณสุริยะ สอนสุระ ได้พบปะพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการลงเกี่ยวข้าวในชุมชน พร้อมๆ กับการชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น พื้นที่ในการเกี่ยว,กำหนดการ,จำนวนนิสิตที่ลงชื่อร่วมขับเคลื่อนในครั้งนี้
อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งสื่อวีดีทัศน์และเรื่องเล่าที่ผมนำมาสื่อสารนั้น ทั้งนิสิตและเจ้าหน้าที่ก็ล้วนไม่เคยฟังและไม่เคยดูมาก่อนทั้งสิ้น จึงพลอยให้ผมอุ่นใจและสุขใจเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ผมจะไม่รู้มาก (รู้ลึก) ในเรื่องเหล่านั้น แต่ก็ยังเก็บกำเอาสาระในบางมุมมาเป็น "โจทย์" แบบองค์รวมของการเรียนรู้ในครั้งนี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน
ครับ,ประเด็นนี้นิสิตเงียบกริบ...!!!
ดังนั้น ผมจึงขยับรุกเพื่อปลดเปลื้องความเงียบนั้นด้วยตนเองในทำนองว่า "...นี่แหละคือโอกาสของการจะได้พิสูจน์ด้วยตนเองว่าชาวนายิ่งใหญ่ด้วยกระบวนการใด และเพราะเหตุใดท้องทุ่งจึงเป็นห้องเรียนอันแสนกว้างใหญ่ของมนุษย์"
และท้ายที่สุดก่อนลาจากในค่ำคืนนั้น ผมได้ให้นิสิตเขียนความรู้สึกที่ได้จากการเรียนรู้ร่วมกันในวันนี้ รวมถึงพันธะสัญญากับตัวเองว่า "ถัดจากนี้ไป จะทำอะไรบ้าง..."
...
"......จะดำเนินชีวิตโดยเคารพต่อภูมิปัญญาชาวบ้าน
Notebook ใครหนอ ??? ;)...
อาจารย์พนัสคะ
• บันทึกนี้ อ่่านเพียงคร่าวๆ รู้สึกหัวจิตหัวใจถูกบีบรุนแรงเหลือเกิน
• ขออนุญาตระบายความในใจ ในพื้นที่นี้นะคะ
• พี่ชายสองคน เสียชีวิตไล่ๆกันด้วยโรคไหลตาย
ครอบครัวเรามัก "โสเหล่" แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันกลางทุ่ง และวงข้าว
ห้องเรียนนั้น เหมือนจะหายไป
ไม่คาดคิดว่า จะมีใคร "นิรมิต" ฝันของเราแบบ "เกินจินตนาการ" เช่นนี้ได้
(หมายถึง ในพื้นที่อันเป็นท้องถิ่น ที่มิใช่สังคมอุดมการณ์เช่นที่ตนเองเข้าไปฝังตัวอยู่นะค่ะ)
• ดิฉันเป็นคนแรกของหมู่บ้านเล็กๆที่มีโอกาสเรียนต่อระดับชั้นมัธยม
• จึงเป็นความหวังของชุมชน หลายคนเรียกขาน "คุณครู,คุณหมอ" สุดแต่ใครอยากให้เป็นอะไร
•ช่วงอยู่ม.ปลาย มีงานลงแขกดำนาในวันเสาร์พอดี เรามีหน้าที่หาบกับข้าวกับปลาไปส่ง
• ขณะพักกินข้าว เกิดอยากลองวิชาไถนา ลุงป้า น้าอา จึงชี้ไปที่เจ้าทุยตัวที่ "งามสง่า เป็นงาน"ที่สุดในหมู่บ้าน
• จับเจ้าทุยเทียมไถ และแล้วอาจารย์ทุยก็ลากเราไปรอบทุ่งได้สามรอบ เริ่มรอบที่สี่ เจ้าทุยฟาดหางเล็กน้อย เหมือนส่งสัญญาณว่า รำคาญเกินจะพาเดินต่อ ก่อนจะล้มตัวลงนอนเขลง ปล่อยเราเคว้งกลางท้องนาซะงั้น เสียงลุงป้าน้าอา เฮฮาขำขันกันลั่นทุ่ง แต่วินาทีนั้น เราได้คำตอบชัดเจนว่า "การศึกษา พาเราออกห่างจากหมู่บ้านยิ่งขึ้นเรื่อยๆเสียแล้ว"
• นั่นคือจุดหักเห ที่หันหลังให้การศึกษาอย่างสิ้นเชิง เที่ยวตามฝันด้วยหนึ่งสมองสองขาตน จนพบแล้วหละ...โครงสร้าง...ใช่เลย แต่รายละเอียดภายใน ต้องจัดสรร บูรณาการเดินหน้า ฝ่าอุปสรรคอันระอุ ทุกย่างก้าว ที่วางเท้า...
• หลายๆครั้ง ที่อยากปลีกตน ไปนิรมิตฝัน ที่มิต้องผ่านหินเกร็ดหินกรวดให้ปวดเจ็บมากมายเช่นวันนี้ แต่ผู้รู้มักให้สติเสมอ "จะมีคนที่เก่งกว่าเรา ไปทำ ไม่ต้องห่วง" จึงยังประคองตนอยู่ใน "ดินแดนคนจนที่รุ่มรวยหวัง"อย่างต่อเนื่องเสมอมา
• ขอบคุณเหลือเกิน ขอบคุณอย่างยิ่ง ขอบคุณทุกๆสิ่ง ที่สร้างให้มี "ครูพนัส"ในแผ่นดินนี้
• จากหัวใจอันรู้สึกลึกซึ้ง ในสิ่งที่ท่านทุ่มเท ทุกหยาดเหงื่อ แรงกายแรงใจค่ะ
แอบเข้ามาศึกษาองค์ความรู้เดิมๆ
ที่รู้ว่าชาวนา สำคัญที่สุดคนหนึ่ง
ทั้งๆที่พี่เองก็ไม่เคยลงมือ ได้ทำจริง
.........
ตั้งแต่ฮับผิดชอบเป็นเจ้าคนนายคนมีงานนักขึ้น
บ่อได้เข้ามาทัก มาอู้โตยเมิน
ยังคึ๊ดเติงหาจั๊ดนัก
สบายดีก่อเจ้า
อาจารย์ไม่เพียงช่วยชาวนาให้มีข้าวปลูกหลังน้ำท่วม แต่ได้ช่วยจุดแสงสว่างให้จิตวิญญาณคนรุ่นหนุ่มสาวให้เข้าใกล้ ให้ได้สัมผัส ลงมือใช้ความรู้ที่เป็นรากของตนเอง
เป็นการทำคุณตอบแทนแผ่นดินอย่างน่านับถือจริงๆ ดีใจที่แผ่นดินมีคนอย่างอาจารย์เป็นพลเมืองและดีใจที่ได้รู้จักคนดีของแผ่นดินเช่นอาจารย์ค่ะ
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
ได้ข้อคิดสะกิดใจ
เชื่อว่าชาวนาสำคัญต่อชาติเพราะอะไร
..มีใครเชื่อเพราะได้ลงมือเกี่ยวข้าวด้วยตนเอง ?
ร่วมกับ ความเห็นของคุณหญ้า@แสนฝน
..
น่าเสียดาย หากการศึกษาทำให้คนหันหลังให้กับสังคม ส่วนรวม
ทว่า เราก็ไม่สามารถต้านกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
จาก สังคมเกษตรกรรม สู่อุตสาหกรรม สู่ยุคข่าวสารข้อมูล
จาก งานใช้แรง สู่งานใช้ทักษะ สู่งานใช้ความรู้จินตนาการ
ยังแหลมคมด้วยปัญญา และนำพาด้วยหัวใจ เหมือนเคยเลย อ.พนัส..เจ๋ง
* มาร่วมชื่นชมบันทึกสะท้อนความสำคัญของชาวนาและบุญคุณของข้าวที่เปิบทุกคำตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ค่ะ
* หลายมหาวิทยาลัยได้จัดกิจกรรมปลูกจิตสำนึกเช่นนี้แก่นักศึกษาบนแปลงนาสาธิตด้วยเช่นกัน
* พี่ใหญ่เคยไปร่วมด้วยทุกขั้นตอนจนถึงการกินข้าวที่ปลูกเอง
* ได้ซึมซับแรงบันดาลใจดีๆมากมายค่ะ
สวัสดีค่ะ
ชื่นชมมากค่ะ และอยากชมหมอลำขอข้าวมาก หากมีภาพนำไปฝากพี่ดาบ้างนะคะ