บทบรรณาธิการ
(391 คนอ่าน)
พิพิธภัณฑ์กับจินตนาการ
ปัจจุบันมีความก้าวหน้าในเรื่องการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกันมาก
ทั้งของรัฐ องค์กรท้องถิ่น และเอกชน
โดยหวังว่าจะเป็นที่รวบรวมบรรดาสิ่งของที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ข้อมูล
ความรู้ และภูมิปัญญาของท้องถิ่น
เพื่อให้คนภายในได้เรียนรู้และถ่ายทอดแก่คนในรุ่นหลังๆ
และในขณะเดียวกัน
ก็เพื่อให้คนภายนอกได้เรียนรู้ว่าแต่ละท้องถิ่นต่างก็มีความหลากหลายทางชีวภาพ
วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์สังคมที่แตกต่างกันไป
อันจะมีผลให้เกิดความเข้าใจในการที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมกันในชาติบ้านเมือง
และในโลกได้อย่างสันติสุข
ข้าพเจ้าคิดว่าความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่เกิดขึ้นใหม่และเป็นแนวใหม่
กับบรรดาพิพิธภัณฑ์ทั้งของรัฐและเอกชนที่มีมาแต่ก่อน
ก็คือการเน้นให้ผู้มาดูพิพิธภัณฑ์ได้รับสิ่งที่เป็นความหมายและความรู้จากสิ่งของที่จัดแสดงขึ้นในพิพิธภัณฑ์นั้นๆ
เพราะพิพิธภัณฑ์แบบก่อนนั้นมักไม่ให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างความรู้และให้ความรู้
หากโชว์แต่รูปแบบและสิ่งของที่ตั้งแสดง ว่าสวยงาม เก่าแก่
และมีคุณค่าอย่างไรเป็นสำคัญ
ข้าพเจ้าและมูลนิธิเล็ก – ประไพ วิริยะพันธุ์
ได้มีส่วนในการร่วมมือกับชาวบ้าน วัด และองค์กรท้องถิ่น
ในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ มาไม่น้อยในช่วงกว่า ๑๐
ปีที่ผ่านมา ได้ตระหนักว่า
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นคือกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่งของทั้งคนภายในท้องถิ่น
และคนที่มาจากภายนอก เช่นข้าพเจ้าและคณะ จึงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้
แก้ไข ต่อเติมอยู่ตลอดเวลา
เพื่อทำให้พิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่ที่ไม่หยุดนิ่ง จนทำให้คนที่มาดู
มาเพียงครั้งเดียวแล้วไม่มาอีก
แต่การที่จะคิดอะไรใหม่ๆ แล้วนำมาแก้ไขเพิ่มเติมให้เกิดสิ่งใหม่ๆ
และการเคลื่อนไหวได้นั้น
ถ้าหากอาศัยประสบการณ์จากการไปเห็นการจัดการและการจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ตามที่ต่างๆ
ทั้งในและนอกประเทศด้วยก็จะดี
เผอิญเมื่อเร็วๆ นี้
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปทัศนศึกษาในเรื่องภูมิวัฒนธรรมในประเทศเพื่อนบ้าน
ที่เขมร พม่า เวียดนาม และลาว
เพื่อดูการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของประเทศเหล่านี้
ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ของเขาในบางแห่ง
ทำให้เกิดความเข้าใจและการเรียนรู้ใหม่ๆ ขึ้นมา
บรรดาพิพิธภัณฑ์ของประเทศเพื่อนบ้านที่เห็นนี้
ก็ยังคงเป็นแบบเดิมที่ทำกันมานานแล้ว
ไม่มีอะไรที่วิลิศมาหราในเรื่องเทคนิคของการจัดแสดงอย่างของเราแต่อย่างใด
อีกทั้งก็เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยได้ไปเห็นมาก่อนแล้วด้วย
แต่ว่าครั้งนั้นไม่ได้สังเกต หรือเกิดสะกิดใจอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา
แต่ในครั้งนี้
โดยเหตุที่มุ่งศึกษาในเรื่องของการให้ความหมายและความรู้จากสิ่งที่แสดงในพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องสำคัญ
จึงได้พบว่าท่ามกลางความล้าหลังทางเทคนิคในการจัดแสดงสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ของประเทศเพื่อนบ้านนั้น
ปรากฏว่าเขามีอะไรที่ให้ทั้งความรู้ ความหมาย และ
ความเพลิดเพลินทางจินตนาการ ได้ดีกว่าพิพิธภัณฑ์หลายๆ
แห่งของเรา
นั่นคือเขาสามารถนำเอาเรื่องราวในตำนาน เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
และความรู้ทางประวัติศาสตร์มาผูกเป็นเรื่อง อธิบายด้วยภาพเขียน
รูปจำลอง และการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งแสดงในหนังสือนำชมได้ดี
พิพิธภัณฑ์ในประเทศเวียดนามมีความถนัดเป็นพิเศษในเรื่องการจำลองเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
เช่นการทำสงครามป้องกันบ้านเมืองกับจีน
มาจัดแสดงด้วยภาพเขียนสีอย่างพาโนรามา (Panorama)
ที่สามารถสร้างความเพลิดเพลินและจินตนาการในเรื่องความรักชาติได้อย่างดียิ่ง
ในขณะที่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นส่วนใหญ่อยู่ในวัด และเป็นส่วนหนึ่งของวัด
มักแสดงการเล่าเรื่องเหตุการณ์ในตำนาน และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
ด้วยภาพจิตรกรรมบนฝาผนังและบนแผ่นคอสองของศาสนสถาน
หรือไม่ก็แสดงด้วยหุ่นจำลองในอาคารภายในวัด
ทำให้แลเห็นความเป็นมาของท้องถิ่น ผู้คน ความเชื่อ
และสภาพแวดล้อมได้ดี
เพราะบรรดาภาพหรือรูปจำลองเหล่านั้น
สามารถนำไปจินตนาการเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อม
และสังคมวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่นได้ไม่ยาก
ข้าพเจ้าแลเห็นความสำคัญในเรื่องตำนานเป็นอย่างมาก
เพราะเป็นสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลิน ตื่นเต้น
และจินตนาการให้กับเด็กๆ ได้ไม่น้อย ทำให้นึกถึงพระราชนิพนธ์เรื่อง
พระมหาชนก ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ทรงให้มีลักษณะคล้ายการแสดง บรรยายเรื่องด้วยภาพ
แลเห็นพายุที่ทำให้เรือแตก พระมหาชนกกำลังแหวกว่ายในทะเลหลวง
และนางมณีเมขลามาช่วย ดูคล้ายกันกับภาพแสดงประวัติของวัดและท้องถิ่น
ในตำนานที่กล่าวถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์
ที่ต้องผจญกับการกระทำของพญานาค ยักษ์ และอสูร อะไรทำนองนั้น
ทั้งหลายนี้ทำให้ข้าพเจ้าตาสว่างขึ้นมาในเรื่องที่ว่าพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นไม่ควรเป็นสถานที่ให้ความรู้
ความหมายในลักษณะที่แห้งแล้ง
ด้วยการเสนอให้เห็นความรู้และความเป็นจริงแบบวิชาการมากเกินไป
ควรมีการผูกเรื่องในตำนาน ความเชื่อ
หรือเหตุการณ์ในท้องถิ่นให้มีลักษณะเพลิดเพลิน จนเกิดจินตนาการได้
เพราะจะทำให้พิพิธภัณฑ์กลายเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนสามารถมาหาความรู้ได้อย่างเพลิดเพลิน
แตกต่างจากการไปหาความรู้ที่โรงเรียนและตามสถาบันการศึกษาต่างๆ
ดังนั้น
การทำให้ผู้มาชมพิพิธภัณฑ์เกิดจินตนาการจึงเป็นเรื่องสำคัญ
แต่จินตนาการจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีความเพลิดเพลินก่อน เพราะฉะนั้น
การแสดงบางอย่างในพิพิธภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องเป็นการแสดงความเป็นจริงเสมอไป
ถ้าพิพิธภัณฑ์ใดเน้นในเรื่องการเสนอความรู้ ความเป็นจริงแต่อย่างเดียว
ก็จะได้รับความสนใจเฉพาะแต่จากผู้คนที่กระหายความรู้เพียงกลุ่มเดียว
จะไม่เป็นที่สนใจของคนกลุ่มอื่นๆ
โดยเฉพาะพวกเด็กๆ
เพราะคนเหล่านี้จะแลเห็นความจริงและความรู้ที่นำมาแสดงในลักษณะแห้งแล้งและเป็นเสี่ยงๆ
แต่ถ้าหากภาพแสดงในลักษณะที่เป็นตำนานจนเกิดความเพลิดเพลินแล้ว
ก็จะเป็นสิ่งที่จุดประกายความสนใจในเรื่องความจริงและความรู้ได้
ความเพลิดเพลินก่อให้เกิดจินตนาการในเรื่องอยากรู้ อยากเข้าใจ
และเป็นกลไกที่สำคัญในการเชื่อมโยงบรรดาความรู้และความจริงที่เป็นเสี่ยงๆ
นั้น ให้เป็นองค์รวมแห่งความรู้และความจริงได้
ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงพนมเปญนั้น ข้าพเจ้าเคยไปหลายหน
และเห็นว่าเป็นสถานที่แสดงศิลปวัตถุเช่นเดียวกับบรรดาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในเมืองไทย
แต่ครั้งนี้มีการปรับปรุงขึ้นนิดหนึ่ง
เพราะมีการนำเอาโบราณวัตถุสมัยฟูนัน – เจนละ มาตั้งแสดงเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะรูปสลักหินพระนางทุรคาในศิลปะแบบพนมดา
ซึ่งนับเนื่องเป็นของในสมัยฟูนันตอนปลายต่อสมัยเจนละ
รวมทั้งมีการนำรูปเทวสตรีในศาสนาฮินดูและพุทธมหายานในสมัยหลังๆ
ทั้งยุคก่อนเมืองพระนคร
และสมัยเมืองพระนครมาแสดงให้แลเห็นความต่อเนื่องด้วย
แต่ที่สำคัญ
คือได้พิมพ์หนังสือนำชมสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ขึ้นใหม่เล่มหนึ่ง
มีชื่อว่า พระนางเทวี (Preah Neang Tévi)
ผู้เขียนและผู้รวบรวมเป็นนักวิชาการเขมร
ทว่าทั้งเรื่องสื่อด้วยภาษาฝรั่งเศส
แต่ที่ทำให้ผู้อ่านที่มีความรู้ภาษาฝรั่งเศสงูๆ ปลาๆ
แบบข้าพเจ้าพอจับความได้
ก็เนื่องจากมีภาพประกอบขาวดำช่วยเสริมให้
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดี
ทำให้เกิดความเข้าใจและจินตนาการแก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก
เพราะทำให้เข้าใจสิ่งที่ตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์อย่างเชื่อมโยงได้ชัดเจน
ตั้งแต่ชื่อ “พระนางเทวี”
ก็เป็นสิ่งแสดงให้เห็นการเน้นประเด็นในเรื่องของเทวสตรี
ซึ่งเข้ากันได้กับการนำรูปเคารพของนางทุรคาและระบบสัญลักษณ์ของแต่ละสมัยมาแสดงต่อกับรูปเคารพของพระอุมา
พระลักษมี และนางปรัชญาปารมิตาในสมัยต่างๆ ของสมัยเมืองพระนคร
แต่ในที่สุดแล้ว ก็มาจบลงที่รูปเคารพของพระลักษมีและนางปรัชญาปารมิตา
อันเป็นตัวแทนของพระนางศรีชัยราชเทวี
ผู้เป็นมเหสีของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
คำว่า
“พระนางเทวี” อันเป็นชื่อของหนังสือเล่มนี้
จึงหมายถึงศรีชัยราชเทวีนั่นเอง
นอกจากการแสดงสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ด้วยรูปเคารพที่มาจากศาสนสถานในสมัยต่างๆ
แล้ว ก็ยังมีการนำศิลาจารึกมาจัดแสดง
เพราะเป็นประเพณีของนักปราชญ์เขมรที่สืบทอดมาจากพวกฝรั่งเศส
ที่ใช้เรื่องราวในศิลาจารึกมาผูกให้เป็นความรู้และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
จารึกสำคัญที่ให้ความรู้เกี่ยวกับศรีชัยราชเทวีก็คือจารึกที่ปราสาทพิมานอากาศ
อันเป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่กลางพระบรมมหาราชวังของกรุงยโสธรปุระ
เป็นจารึกที่พระนางศรีอินทรเทวี
ผู้เป็นพระเชษฐภคินีของศรีชัยราชเทวีโปรดฯ ให้จารึกเล่าเรื่องไว้
โดยมีความสำคัญที่ว่า
ศรีชัยราชเทวีเป็นพระมเหสีพระองค์แรกของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ตั้งแต่ครั้งดำรงพระยศเป็นเจ้าชายวรมัน
และยังไม่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ในช่วงเวลาดังกล่าว
พระองค์เสด็จไปทำสงคราม ณ ดินแดนจามเป็นเวลาช้านาน
พระนางศรีชัยราชเทวีทรงเป็นห่วงและเป็นทุกข์ถึงพระสวามี
จึงทรงบำเพ็ญศีลภาวนาเป็นกุศลให้พระสวามีปลอดภัย
แต่เมื่อพระเจ้าชัยวรมันเสด็จกลับมาและได้ครองราชย์ไม่นาน
ศรีชัยราชเทวีก็สิ้นพระชนม์
ต่อมา
พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ก็ทรงสถาปนาศรีอินทรเทวี
ผู้เป็นพระเชษฐภคินีเป็นพระมเหสี
พระนางทรงมีความรู้ปราดเปรื่อง เป็นปราชญ์ของแผ่นดิน
ได้ทรงบำเพ็ญกุศลถวายแก่ศรีชัยราชเทวี
สร้างจารึกเล่าเรื่องราวของพระนางไว้
การบำเพ็ญกุศลให้ด้วยความรักของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
และพระนางอินทรเทวีนี้เอง
คงทำให้เกิดการสร้างภาพเหมือนของศรีชัยราชเทวีให้เป็นทั้งนางปรัชญาปารมิตา
อันเป็นศักติของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และพระลักษมี
อันเป็นชายาของพระวิษณุ
สิ่งนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการนับถือทั้งพุทธมหายานและฮินดูที่ดำรงอยู่ร่วมกันในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่
๗
แต่สิ่งสำคัญก็คือการสะท้อนให้เห็นความรักสามเส้าที่งดงาม
ระหว่างพี่สาวกับน้องสาว และระหว่างสามีกับภรรยา
ในความรับรู้ของข้าพเจ้าจากการได้เห็นและได้อ่าน
ทำให้เกิดจินตนาการเชื่อมโยงได้หลายเรื่อง
เรื่องแรก คือเชื่อมกับภาพเหมือนของพระเจ้าสูรยวรมันที่ ๒
ที่พบบนผนังระเบียงปราสาทนครวัด
ข้าพเจ้าคิดว่าภาพเหมือนของพระองค์มีปรากฏถึงสามภาพ ภาพแรก
ทรงประทับบนพระราชอาสน์ ภาพที่สอง ทรงยืนบนหลังช้าง และภาพที่สาม
ทรงเป็นพระวิษณุในการกวนเกษียรสมุทร ซึ่งก็มีบางท่านเพิ่มอีกภาพหนึ่ง
คือภาพที่ทรงเป็นพระยม ที่เรียกว่าธรรมราชา ประทับบนหลังควาย
การเกิดการสร้างภาพเหมือนให้พระมหากษัตริย์เป็นเทพเจ้านี้
คงย้อนหลังขึ้นไปถึงรัชกาลของสูรยวรมันที่ ๒
และต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลชัยวรมันที่ ๗
ส่วนเรื่องที่สอง เกี่ยวกับปราสาทพิมานอากาศอันเป็นสถานที่พบศิลาจารึก
ทำให้ต้องคิดคำนึงไปถึงปราสาทแห่งนี้ว่าน่าจะเป็นศาสนสถานที่ไม่เหมือนกับเทวาลัยอื่นๆ
ของเมืองพระนครเป็นแน่
คือเป็นศาสนสถานที่มีความสัมพันธ์กับสตรีค่อนข้างโดดเด่น
นั่นก็คือกระเดียดไปทางลัทธิตันตริกค่อนข้างมาก
ลัทธิตันตริกนั้นมีที่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว
เมื่อเกิดศาสนาใหญ่ๆ ขึ้น คติและลัทธิตันตริกก็หาได้หมดไปไม่
ยังแทรกซึมอยู่ในศาสนาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นฮินดูหรือพุทธมหายาน
จึงเป็นสิ่งขับเคลื่อนให้สตรีกลายเป็นเทวสตรีที่มีบทบาทในการจรรโลงโลก
ทั้งพระนางทุรคา พระนางกาลี พระลักษมี และนางปรัชญาปารมิตา
คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจน
ดูเหมือนมีศิลาจารึกของขอมเอง ทั้งในสมัยยโศวรมัน
ผู้สร้างเมืองพระนครในพุทธศตวรรษที่ ๑๕ และในสมัยชัยวรมันที่ ๗
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ที่กล่าวถึงการแต่งงานของพระนครกับแผ่นดิน
เพื่อทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ขึ้น
เนื้อความเช่นนี้ได้สะท้อนให้เห็นในบันทึกของโจวต้ากวน
ที่เข้ามาเมืองพระนครใน พ.ศ.๑๘๓๙ อันเป็นปีที่สร้างนครเชียงใหม่
ว่าพระมหากษัตริย์ขอมจะต้องไปบรรทมกับนางนาคที่ปราสาททองในพระราชวังทุกคืน
ถ้าหากวันใดที่ไม่ไปหลับนอน
ก็หมายถึงวันนั้นเป็นวันสวรรคตของพระมหากษัตริย์
ปราสาททองนี้คือพิมานอากาศอย่างไม่ต้องสงสัย
คงเป็นศาสนสถานสำคัญในคติทางตันตริกที่แทรกอยู่ในทั้งฮินดูและพุทธมหายาน
ที่มุ่งเน้นความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมืองที่เคยมีมาแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว
ถ้าหากข้าพเจ้าจะต้องจัดแสดงอะไรในพิพิธภัณฑ์ให้เป็นที่สะดุดตาสะดุดใจ
และจุดประกายความสนใจของคนชมแล้ว
ข้าพเจ้าคงไม่มานั่งอธิบายความรู้ความจริงในคติทางศาสนาแต่อย่างใด
แต่จะนำเอาเรื่องกษัตริย์สมสู่กับนางนาคมาสร้างภาพให้เห็น
ก็จะทำให้สื่อไปถึงความหมายที่แท้จริงได้
เรื่องกษัตริย์สมสู่กับนางนาคนี้
ไม่พบเฉพาะจดหมายเหตุของโจวต้ากวนเท่านั้น ในตำนานไทยก็มีแพร่หลาย
เช่นเรื่องกำเนิดพระร่วงสุโขทัย
ที่เกิดจากการสมสู่ของกษัตริย์กับนางนาค เป็นต้น
นี่แหละคือเรื่องของจินตนาการ