ในการเขียนเพื่อการจัดการความรู้ หรือแม้แต่การเขียนเพื่อการสื่อสารนั้น หากจะให้ยืนยันว่าขั้นตอนใดเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ผมเองคงไม่สามารถระบุ หรือชี้ชัดได้เลย เพราะไม่ว่าจะเป็น (1) ขั้นการเตรียมการเขียน (2) ขั้นการเขียน และ (3) ขั้นปรับแก้ ก็ล้วนสำคัญไม่แพ้กัน เพราะขั้นตอนทั้งสามล้วนมีความสำคัญไม่หยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ต่างมีสถานะเป็น “พระเอกและนางเอก” ของเรื่องเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ในทุกๆ ขั้นตอนของการเขียน ผู้เขียนจึงจำต้องพิถีพิถันและใส่ใจ ราวกับปลูกต้นไม้ที่แสนรักนั่นแหละ
การเตรียมดินให้มีสภาพพร้อมและเหมาะสมกับพันธุ์ไม้ที่จะนำมาปลูก ย่อมง่ายต่อการช่วยให้กล้าไม้หยั่งรากและเติบโต
หากเป็นเช่นนั้นจริง การเตรียมดินที่ว่านั้นก็คล้ายกับการได้วางรากฐานที่ดี เหมือน “เริ่มต้นดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง”
ฉะนี้แล้วเมื่อเตรียมการเขียนได้เป็นอย่างดี ย่อมส่งผลให้ผลงานที่เขียนขึ้นมีคุณค่าต่อผู้อ่าน และสังคมไปโดยปริยาย
เฉกเช่นกับการบรรยายในที่ต่างๆ ผมก็มักสะท้อนประเด็นการเขียนที่ว่าด้วยขั้นเตรียมการเขียนไว้ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) สร้างทัศนคติที่ดีแก่ตัวเอง (2) สั่งสมประสบการณ์ผ่านการฟัง การอ่าน (2) ฝึกเขียนให้เป็นกิจวัตร/วัฒนธรรม (4) เลือกประเด็นที่จะเขียน
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า “ทัศนคติ” เป็นเสมือนเข็มทิศในการกำหนดทิศทางของชีวิต เพราะทัศนคติจะเป็นตัวกำหนดการกระทำของผู้คน
การเขียนเพื่อการสื่อสาร หรือการเขียนเพื่อการจัดการความรู้ก็เช่นเดียวกัน ก็ควรต้องเริ่มต้นจากการสร้าง "ทัศนคติเชิงบวก" ที่เกี่ยวกับการเขียนให้กับตัวเองเสียก่อน มิเช่นนั้นหากมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเขียน ก็คงยากยิ่งต่อการที่จะ “เขียน” หรือ “ลงมือที่จะเขียน”
ด้วยวิธีคิดเช่นนั้น ในเวทีต่างๆ ผมจึงมักเริ่มต้นจากการโยนคำถามง่ายๆ ให้ผู้ร่วมกระบวนการทั้งหลายได้ลอง "ทบทวน" ที่จะ "ตอบคำถาม" กับตัวเองเสมอว่าแต่ละคนมองการเขียนในความหมายใด? เขียนเพื่ออะไร? หรือมีความเชื่อเกี่ยวกับการเขียนในทำนองใดบ้าง ?
คำถามเหล่านั้น เป็นเสมือนการ BAR เพื่อการสำรวจทัศนคติที่มีต่อการเขียนของผู้เข้าร่วมกระบวนการ เพื่อให้รู้ว่าแต่ละคนคิดอย่างไร? เขียนเพื่ออะไร? เชื่อมั่นกับการเขียนแค่ไหน? หรือแม้แต่การพยายามส่องกล้องสำรวจว่า “ทำไมถึงไม่เขียน” !
การคิดในทำนองนี้เป็นความคิดเชิงบวก โดยมีนัยสำคัญสองอย่างควบคู่กันไป นั่นก็คือ (1) ทุกหย่อมหญ้าเป็นแหล่งความรู้ (2) มนุษย์เป็นผู้มีความรู้ ...
โดยเฉพาะประเด็นหลังนั้น ผมถือว่าสำคัญมาก เพราะมันสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ามนุษย์คือสัตว์โลกที่มี “ศักยภาพ” มี “การเรียนรู้” มี “ความรู้” เป็น “นักถอดบทเรียน” หรือ “นักจัดการความรู้” ชั้นเลิศของโลกเลยทีเดียว ซึ่งการถ่ายทอดความรู้ของมนุษย์นั้นก็ถือเป็นหัวใจ หรือกลไกของการพัฒนาตนเองและสังคมอย่างมหัศจรรย์เลยทีเดียว !
ดังนั้น หากคนเราเชื่อในประเด็นเหล่านี้ ก็เป็นเสมือนการปลุกเร้าให้เกิด "แรงบันดาลใจ" ที่จะเขียนอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะมุมมองที่ว่านั้น คือการย้ำให้รู้สึกว่าเราต่างล้วนมี “ทุน” ที่จะ “เขียน” อยู่ในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น โดยอาจเริ่มต้นจากการเขียนในมุมเล็กๆ ของตัวเอง เช่น การเขียน "บันทึกประจำวัน" อันเป็นจดหมายเหตุชีวิตของตัวเองนั่นแหละ
ในทำนองเดียวกันนั้น นอกจากจะชวนให้ผู้เข้าร่วมกระบวนการได้สะท้อนทัศนคติเกี่ยวกับการเขียนแล้ว ผมก็ไม่ลืมที่จะ “เปิดเปลือยทัศนคติของตัวเอง” ที่มีต่อการเขียนด้วยเหมือนกัน เป็นการเปิดเปลือยเพื่อนำไปสู่การ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้” ร่วมกับผู้เข้าร่วมกระบวนการ เพื่อก่อให้เกิดการสื่อสารสองทางและเกิดสภาวะการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
ครับ, ทัศนคติหรือมุมมองของผม ฟังดูเป็นมุมบวกล้วนๆ ซึ่งก็ด้วยวิธีคิดเช่นนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเพื่อการสื่อสารธรรมดาๆ หรือการเขียนเพื่อการจัดการความรู้ ผมจึงไม่รู้สึกหวั่นวิตกกับการที่จะ “เขียน” หรือ “ลงมือที่จะเขียน”
และเพราะเชื่อและศรัทธาเช่นนั้นเอง ผมจึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดผ่านการเขียน ... มิหนำซ้ำยังย้ำเน้นอย่างหนักแน่นแถมท้ายเสมอว่า การเขียนคือกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของชีวิต (Transformation) เลยทีเดียว เพราะการเขียนจะก่อให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า Presence หรือ “สติรู้อยู่กับปัจจุบัน” อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งถ้ามีเวลาคงได้วกกลับมาพูดถึงสองประเด็นนี้อีกครั้ง
เพราะหากคุณมีคำตอบในคำถามเหล่านั้น คุณก็จะรู้และไม่กังขาเลยว่า ทัศนคติย่อมมีสถานะเป็นเข็มทิศในการเขียนอย่างแน่นอน
ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่ว่าด้วยการ สั่งสมประสบการณ์ผ่านการฟัง การอ่าน,ฝึกเขียนให้เป็นกิจวัตร/วัฒนธรรม และการเลือกประเด็นที่จะเขียนนั้น เอาเป็นว่าค่อยติดตามในบันทึกต่อไปก็แล้วกัน
ชัดเจน แจ่มแจ้ง ทรงพลัง
ยังติดใจ...การฝึกเป็นกิจวัตร และเลือกประเด็น
รออ่าน ๆ นะคะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ ทพญ.ธิรัมภา
ขอบพระคุณที่แวะมาให้กำลังใจในกลางดึกที่คล้อยไปสู่วันใหม่นะครับ
โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าคนราจะทำอะไรสักอย่างนั้น เกี่ยวโยงกับวิธีคิด และทัศนคติอย่างชัดเจน การเขียนก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน หากเรามีทัศนคติที่ไม่ดีกับการเขียน เช่น ยาก,ซับซ้อน, ก็เหมือนพรากตัวเองออกห่างไปจากการจะ "ลงมือเขียน" ...
แท้ที่สุดเรามี "ทุน" อันเป็น "วัตถุดิบ" ที่จะเขียนกันทุกคน แค่เปลี่ยนมุมคิดเป็นเชิงบวกสักนิด ก็สามารถเขียนอะไรๆ ได้อย่างง่ายดาย อย่างน้อยก็เริ่มจาก "บันทึกประจำวัน" เลยก็ได้ เพราะถือเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นการสื่อสารกับตัวเอง ทบทวนตัวเอง และเป็นมุมมองของเราที่มีต่อโลกและชีวิตด้วยเหมือนกัน...
ขอบพระคุณครับ
ส่วนใหญ่พี่จะเขียน เพื่อทบทวนชีวิต และบันทึกไว้เพื่อความทรงจำค่ะ
อรุณสวัสดิ์ค่ะ..เป็นแนวคิด แนวปฎิบัติที่น่าสนใจมากค่ะ..พี่เองจะเน้นการบันทึกเพื่อการสร้างแรงบันดาลใจด้วย ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของรูปธรรมที่ไม่ใกลเกินเอื้อมค่ะ :)
"ทำงาน ทบทวน คิด ลิขิต สร้างนิมิตร พัฒนา" มาคารวะ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ ครับ
สวัสดีครับ พี่แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
ไม่ว่าจะเขียนเพื่อ "ทบทวน" หรือ "ความทรงจำ" ใดก็ตาม ที่สุดแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่วันยังค่ำ ยิ่งเขียนบ่อยๆ ผมก็ยิ่งเชื่อว่ายิ่งเติบโต ยิ่งเขียนโกทูโนบ่อยๆ ยิ่งเห็นกระบวนทัศน์ตัวเองไปชัดเจนขึ้น
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
การเขียนเรื่องราวกิจกรรมที่อาจารย์ได้จัดขึ้นนั้น เป็นการ "ทบทวน" ความรู้และแนวปฏิบัติและปัญญาไปในตัว ขณะเดียวกันก็เป็นการบันทึกเป็นจดหมายเหตุชีวิตตัวเองไปด้วย มิหนำซ้ำยังกลายเป็นข้อมูลในการแลกเปลี่ยนกับผู้ที่เกี่ยวข้อง บางทีครูอาจารย์ต่างๆ ก็ได้นำกลับไปปรับประยุกต์ใช้ต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์กลับไปลงแรงกระบวนการอีกก็ยังได้เลยนะครับ เรียกได้ว่า บันทึกของอาจารย์เป็นคัมภีร์ที่มอบไว้ให้กับโรงเรียนนั่นแหละ
ชื่นชมและเป็นกำลังใจให้เสมอ นะครับ
ครับ พี่นงนาท สนธิสุวรรณ
การเขียนบนพื้นฐานรูปธรรมที่สามารถเป็นไปได้นั้น ผมถือว่าสำคัญมาก ผมเรียกมันว่าการเขียนในระยะสุดสายตา ซึ่งเดี๋ยวจะเขียน หรือเล่าในครั้งหน้าครับ
สวัสดีครับ อ.JJ
การเขียนสามารถนำไปใช้กับกระบวนการประกันคุณภาพและการจัดการความรู้ได้เป็นอย่างดีครับ เพราะเป็นการบันทึกเชิงสังเคราะห์ หรืออย่างน้อยก็บันทึกว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร...และพบเจออะไร ขับเคลื่อนอย่างไร
ขอบพระคุณครับ
การเขียนคือการทำแผนที่อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการเดินทาง
เรียกร้องให้เราจารึกเส้นทาง
คริสตินา บอล์ดวิน
มีงานเคลื่อน KM. กับสถาบันธรรมรัฐ. และ สกว. สสส. ที่บ้านเปร็ดใน จ.ตราดครับ. งานนี้ยาวเลย ๒ปี อาจต้องอาศัยพึ่งพาแรงจากกัลยาณมิตรไปช่วยชุมชนในการ training ในทักษะบางทักษะด้วยครับ
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
เรียนท่านอาจารย์
เมื่อมองบล็อกที่เขียน
จากอดีตถึงปัจจุบัน
แล้วเห็นพัฒนาการทางสังคมของตัวเองคะ..
ขอบคุณสังคม G2K ที่ทำให้คนคนหนึ่งได้กลับตัวกลับใจ (สังคมยังให้อภัย :-)
สวัสดีครับคุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
เห็นด้วยตามนั้นครับ การเขียนคือการจารึกเรื่องราวแห่งการเดินทาง, เรื่องราวในเส้นทางมักชวนหลงใหลและเก็บกำมาจารึกไว้เป็นความทรงจำและการเติบโตของผู้คนเสมอ
ส่วนการลงพื้นที่ หรือเวทีอื่นใดระหว่างเรานั้น ผมยินดีร่วมเรียนรู้ครับ เพราะมันคือกระบวนการของการเติบโตของผมและทีมงานไปในตัว สำคัญก็คือมันคือกระบวนการเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน "บางสิ่งบางอย่าง" ...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ
สิ่งที่เขียนยังน้อยนิดมากครับ ดูจะไม่เป็นวิชาการเอาซะเลย แต่ก็เขียนจากสิ่งที่ตนเองค้นพบ จึงพยายามเล่าในสไตล์ที่ตนเองถนัด มีอะไรแนะนำก็ยินดีรับฟังนะครับ
สวัสดีครับ พี่มนัสดา
ตอนนี้ผมพยายามนำแนวคิดทำนองนี้เข้าไปบูรณาการในการเขียนประกันคุณภาพและ กพร.เน้นการเขียนคล้ายสารคดี อ่านสนุก มีสาระ และย้ำในสิ่งที่มี ...เสนอในสิ่งที่ทำ
ยินดีมากครับหากบันทึกนี้พอจะมีประโยชน์ต่อใครๆ บ้าง...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ CMUpal
โกทูโน เป็พื้นที่ดี หรือพื้ีนที่คุณภาพในทางปัญญามากเลยครับ
นอกจากในทางวิชาการแล้ว เรื่องราวมิตรภาพของผู้คนก็โดดเด่นและมีค่าไม้แพ้เจตนาดั้งเดิมของการ "แลกเปลี่ยนเรียนรู้" ในเรื่อง "การงาน" ...
ผมเองก็เคยเขียนกลอนนิยามความหมายถึงสิ่งบางสิ่งในโกทูโนเหมือนกัน ซึ่งลิงค์ในบันทึกนี้ นะครับ http://www.gotoknow.org/blog/pandin/449429
โกทูโนสอนให้รู้ (เอง) ว่า
เขียนให้รู้ค่าการสั่งสม
เขียนให้รู้ค่าการชื่นชม
เขียนเพื่อความสุขอุดมแห่งปัญญา
เขียนเพื่อชำระตัวตนอันหม่นเศร้า
เขียนเพื่อผ่อนเบาความเหนื่อยล้า
เขียนเพื่อให้รู้การพึ่งพา
เขียนเพื่อศรัทธาของชีวิต
ต่างคนต่างเขียนต่างนิยาม
ต่างเขียนต่างก้าวข้ามพรหมลิขิต
การเดินทางของถ้อยคำย้ำความคิด
สื่อพันธกิจทางใจไร้พรมแดน ...
...
เป็นกำลังใจให้นะครับ
สวัสดีครับ มะปรางเปรี้ยว
ขอบคุณที่เกาะติดบันทึกนะครับ สัญญาว่าจะพยายามเขียนให้ดีที่สุดและต่อเนื่องที่สุด ขอบคุณครับ
ไม่ได้มีโอกาสไปเรียนรู้กับครู(คน)ไหน
ที่เขียนไปแค่เพราะใจบอกให้เขียน
หากจะมีโอกาส..........ได้ร่ำเรียน
หรือว่าใครชวนแลกเปลื่ยนก็ยินดี
"ขอบคุณ...นายแผ่นดินที่แบ่งปันค่ะ"
เรียนท่านอาจารย์
สวัสดีค่ะอาจารย์ การเขียนเป็นสิ่งที่ฝึกความกล้าในทางความคิดค่ะ เพราะถ่ายทอดความทรงจำอันล้ำค่า..และฝึกความอดทน เป็นอย่างดีค่ะ ขอบคุณค่ะที่ช่วยเสริมแรงใจให้คนที่กำลังเริ่มต้นนะคะ
สวัสดีครับ Oraphan
ผมเองก็ไม่มีโอกาสได้อบรม หรือเรียนว่าด้วยการเขียนโดยตรงครับ เพียงแต่ใช้ทุนภายในตัวเองที่สะสมไว้มาใช้นำทางเท่านั้นเอง นั่นก็คือ การอ่าน, ซึ่งเดิมผมเป็นคนติดหนังสือมาก ขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ก็พกหนังสือติดตัวไปเสมอ อ่านจบเล่มบ้างไม่จบเล่มบ้าง แต่หนังสือก็ทำให้เราเพลิน..เพลิดเพลินและไม่โดดเดี่ยว อ่านมากๆ ก็อยากเขียนโน่นนี่ขึ้นมาครับ
ยินดีนะครับหากจะมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกันต่อไป
สวัสดีครับ พี่มนัสดา
ขอบพระคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะครับ
และก็ขอให้กำลังใจเช่นกันครับ
เราต่างล้วนเป็นอิฐคนละก้อนที่เป็นส่วนประกอบของผืนแผ่นดินนี้...
สวัสดีครับ อ.Rinda
การเขียน เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องฝึกฝนและอดทน แต่เมื่อสิ้นสุดกระบวนการ หรือทะลุกำแพงแห่งการเริ่มต้นได้แล้ว ความหนักที่ว่านั้น จะกลายเป็นความงดงามที่เราและคนรอบกายได้รับกำนัลคืนกลับมานะครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ...
ถูกต้องเลย
ทุกๆสถานที่มีความรู้ทั้งนั้น ไม่มีที่ใดไม่มีความรู้ แม้แต่ในพื้นหญ้าก็ยังให้ความรุ้ได้
มนุษย์เป็นผู้ที่ต้องเรียนรู้ในสิ่งนั้นๆ ไม่มีที่ไหนจะละสิ่งที่ไม่รู้ได้