ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาของมนุษย์เป็นพื้นฐานสำคัญของการทำความเข้าใจกระบวนการพัฒนาการสื่อสาร
มาร่วมสร้างประชาคมการสอนภาษาไทยให้มีหลักการ
มีทฤษฎีและมีชีวิต
เฉลิมลาภ ทองอาจ
คำว่าการได้มาซึ่งภาษาเป็นคำที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า
language acquisition
ซึ่งหากจะใช้คำอื่นก็คงเทียบได้กับคำว่า “การรู้ภาษา”
หรือ “การเกิดภาษา” หมายถึง
กระบวนการที่บุคคลคนหนึ่งเรียนรู้และพัฒนาความเข้าใจภาษาแม่
ทั้งในเรื่องเสียงและโครงสร้างไวยากรณ์
กระทั่งสามารถที่จะใช้ภาษาในการสื่อสารได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ
ในสังคม แม้ว่าองค์ความรู้ในเรื่องนี้จะค่อนข้างซับซ้อน
แต่ครูภาษาไทยก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี
การได้มาซึ่งภาษาในเด็ก
ซึ่งจะช่วยให้สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ
เกี่ยวกับการใช้ภาษาของผู้เรียนได้
การศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการได้มาซึ่งภาษาทำให้เราทราบว่า
เด็กได้มาซึ่งภาษาหรือเกิดภาษาขึ้นใช้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง ผู้ใหญ่คนอื่นๆ
หรือแม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกัน ด้วยเหตุนี้
เด็กที่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวหรือสิ่งแวดล้อมที่พูดภาษาในลักษณะหนึ่ง
ย่อมรับรู้และใช้ภาษาในลักษณะเดียวกันกับบุคคลรอบข้าง
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดสมมติฐานว่า
เด็กสามารถเรียนรู้ได้หลายภาษาในขณะเดียวกัน
ตราบเท่าที่พวกเขายังมีปฏิสัมพันธ์ด้วยการสื่อสารกับเจ้าของภาษา
การทำให้เด็กได้มาซึ่งภาษาอย่างรวดเร็วนั้น
จากการวิจัยพบว่า ควรใช้การสนทนาของผู้ปกครองกับเด็กหรือ “baby
talk” ซึ่งหมายถึง การใช้คำศัพท์ง่ายๆ
และนำมาเรียบเรียงเป็นประโยคที่ไม่เคร่งครัดไวยากรณ์
ทั้งนี้การพูดซ้ำ การให้เด็กสังเกตและจดจำเสียง
จะทำให้เด็กทราบความหมายของเสียง ซึ่งพวกเขาจะค่อยๆ
สร้างมโนทัศน์เกี่ยวกับวัตถุ สิ่งของหรือสภาพนามธรรม
ตลอดจนเกิดมโนทัศน์เกี่ยวกับกระบวนการอื่นๆ ต่อไป
(Birner, 2010: online)
การศึกษาของนักจิตวิทยาพบว่า ทารกแรกเกิด - 2
ปี จะเรียนรู้ความหมายของสิ่งต่างๆ
ที่อยู่รอบตัวได้จากประสาทสัมผัส
ดังนั้นความรู้ที่เด็กสร้างขึ้นในระยะนี้
จึงเป็นความรู้จากประสบการณ์ตรง
หรือเป็นประสบการณ์ที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติ กล่าวคือ
เด็กได้สัมผัสจับต้อง ได้ลิ้มรสชมชิม
ได้ฟังเห็นเล่นสนุก อย่างไรก็ตาม
ความรู้หรือประสบการณ์นั้นจะอยู่ในการรับรู้ของพวกเขาเพียงระยะสั้นๆ
หรือไม่มีการจัดเก็บอยู่ในรูปของข้อมูลที่เป็นสัญลักษณ์
เพราะพวกเขายังไม่มีพัฒนาการเรื่องภาษา แต่เมื่อเด็กมีอายุได้ 2
ปีไปแล้ว
ก็จะเป็นช่วงที่เริ่มพูดได้และสามารถใช้สัญลักษณ์นามธรรมในการสร้างมโนทัศน์และชุดความคิดต่างๆ
(Slavin, 2003: 68) การพูดหรือ
การสื่อสารของเด็กในระยะนี้จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่พวกเขาจะได้มาซึ่งภาษาแม่
การได้มาซึ่งภาษาประกอบด้วยคุณลักษณะที่สำคัญ ได้แก่
การได้มาซึ่งภาษาพูด (oral language)
และการได้มาซึ่งภาษาเขียนในการสื่อสาร (written communication)
โดยทั่วไป เด็กอายุประมาณ 3 ปี
จะมีความพร้อมในการพูดหรือมีความสามารถสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำ
(verbal abilities) แล้ว
และเมื่อถึงช่วงท้ายของการเรียนปฐมวัยหรืออนุบาล
ผู้เรียนจะสามารถสร้างประโยคในการพูดสื่อสารได้สมบูรณ์ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว
อัตรานี้อาจจะแตกต่างกันไปใน แต่ละบุคคล
แต่โดยเฉลี่ยแล้วพบว่า
เด็กจะมีพัฒนาการเรื่องการได้มาซึ่งภาษาในอัตราที่ใกล้เคียงกัน
กล่าวคือ เด็กอายุ 1 ปี สามารถที่เข้าใจและใช้คำ 1 พยางค์หรือ 1
คำ เช่น “พ่อ” “แม่” “กิน”
เพราะคำเหล่านี้จะเป็นคำที่แสดงถึงสิ่งที่สำคัญต่อพวกเขามากที่สุด
และเมื่ออายุได้ราว 2 ปี
เด็กก็จะเรียนรู้ที่จะนำคำสองคำมาเรียงต่อกันในลักษณะกลุ่มคำสั้นๆ
เช่น “ไป-นอน” “หนม-อีก”
“กิน-นม”
และเมื่ออายุได้ประมาณ 3 ปีดังที่ได้กล่าวแล้ว
เด็กก็จะสามารถพูดข้อความหรือประโยคที่ยาวขึ้น
เนื่องจากมีความรู้เกี่ยวกับความหมายของคำที่ระบุถึงสิ่งต่างๆ มากขึ้น
นอกจากนี้ จากการสื่อสารกับคนรอบข้าง
โดยเฉพาะบิดามารดาหรือผู้ปกครอง
ก็จะทำให้เด็กเริ่มเรียนรู้กฎไวยากรณ์ของภาษาแม่
(grammatical rules of language)
ไปโดยอัตโนมัติด้วยเช่นกัน
สำหรับการได้มาซึ่งภาษาพูด (oral/spoken language) นั้น
ไม่ได้หมายถึงแต่เฉพาะการเรียนรู้ความหมายของถ้อยคำแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ยังรวมถึงการเรียนรู้กฎหรือวิธีการประกอบคำ
การเรียบเรียงคำและการสร้างประโยคอีกด้วย
สำหรับในภาษาอังกฤษ Berko (1985 อ้างถึงใน
Slavin, 2003: 69)
ได้ทำการทดลองด้วยการให้เด็กปฐมวัยดูภาพนกสมมติที่ชื่อว่า
“Wug” 2 ตัว จากนั้นถามนักเรียนว่า “They are
two …….” ซึ่งเด็กก็สามารถตอบได้ว่า
“Wugs” การเติม s ท้ายนามดังกล่าว
แสดงให้เห็นว่าเด็กเรียนรู้กฎไวยากรณ์เกี่ยวกับการใช้คำพหูพจน์
ส่วนในภาษาไทยก็เช่น เด็กปฐมวัยสามารถที่จะใช้เรียงคำนาม
กริยาและคำวิเศษณ์แสดงการถามแบบง่ายๆ เช่น
“เเม่เหนื่อยไหม”
หรือ “กินขนมไร”
เป็นต้น ประโยคในลักษณะดังกล่าวเป็นประโยคสั้นๆ
ที่ประกอบด้วยคำประมาณ 2-3 คำ ซึ่งเรียงตามกฏไวยากรณ์ที่ถูกต้อง
และผู้ใช้ภาษาสามารถที่จะเข้าใจได้ตรงกัน
ในภาษาอังกฤษ
เด็กในช่วงปฐมวัยอาจจะยังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้ “a”
“the” ทำให้เด็กพูดโดยไม่ใช้ article เหล่านี้
เช่นเดียวกับเด็กไทยที่จะเห็นขวดน้ำอยู่บนโต๊ะ ก็อาจจะพูดว่า
“น้ำ-โต๊ะ” โดยยังไม่สามารถที่จะใช้คำบุพบท “บน”
เพื่อบอกความสัมพันธ์ระหว่างคำนามทั้งสองคำ เป็นต้น
ข้อคิดที่ได้จากการศึกษาทฤษฎีเกี่ยวกับการได้มาซึ่งภาษาพูด
ทำให้เราเห็นบทบาทและความสำคัญของบิดามารดา
ในฐานะที่เป็นต้นแบบการใช้ภาษา
ผลจากการวิจัยในต่างประเทศมีประเด็นที่น่าสนใจว่า
เด็กที่เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง
ซึ่งผู้ปกครองมักจะสนทนากับบุตรหลานของตนมากกว่าผู้ปกครองในชนชั้นแรงงาน
มักจะเรียนรู้หรือพูดได้เร็วว่าเด็กที่มาจากครอบครัวที่เป็นแรงงาน
ด้วยเหตุนี้
จึงกล่าวได้ว่า
ปริมาณเวลาของกิจกรรมการสนทนาระหว่างผู้ปกครองและบุตรนั้นเป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการได้มาซึ่งภาษาของเด็ก
การได้มาซึ่งภาษาในลักษณะต่อมาคือการรู้ภาษาเขียน นักจิตวิทยาพบว่า
เด็กมีเกิดการเรียนรู้ภาษาเขียนในช่วงอายุประมาณ 3 ปี
ซึ่งใกล้เคียงกับภาษาพูด
เด็กในวัยนี้สามารถที่จะแยกความแตกต่างระหว่างการเขียนตัวอักษรและการวาดรูปได้
โดยจะค่อยๆ สังเกตรูปอักษรว่าตรง โค้ง มน เหลี่ยม อย่างไร
การสังเกตดังกล่าวจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างตัวอักษรได้
อย่างไรก็ตาม
ในระยะแรกพวกเขาจะยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการวางตัวอักษรในอยู่ในระนาบหรือบรรทัดเดียวกัน
ทำให้เขียนอักษรโย้หรือไม่ตรงบรรทัด
การเขียนอักษรและการสะกดคำของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการรับรู้เรื่องเสียงของอักษร
กล่าวคือ เมื่อเด็กได้ยินเสียงของคำใดคำหนึ่ง
พวกเขาจะนึกถึงตัวอักษรที่แทนเสียงนั้น
จากนั้นก็จะพยายามเขียนหรือสื่อสิ่งที่ตนเองได้ยินออกมาโดยใช้ตัวอักษรไปตามความเข้าใจ
สำหรับการพัฒนาการเขียนของผู้เรียนในต่างประเทศ
ครูจะเริ่มให้ผู้เรียนเขียนตามเสียงอ่าน
ซึ่งส่วนใหญ่เด็กมักจะเขียนรูปอักษรที่ทำหน้าที่เป็นพยัญชนะต้นได้
เช่น ครูออกเสียงคำว่า “Dinosaur” เด็กก็จะเขียนว่า
“D N S R”
เพราะได้ยินเสียงอักษรที่เป็นพยัญชนะต้นชัดเจนกว่าอักษรที่เป็นสระ
จากนั้นครูก็จะพยายามให้นักเรียนออกเสียงคำและเขียนคำที่ถูกต้องต่อไป
แนวคิดเกี่ยวกับการสอนเรื่องเสียงนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า
เมื่อผู้เรียนสามารถจำแนกเสียงของอักษรได้ถูกต้อง
ก็จะช่วยให้สามารถสะกดคำได้ถูกต้องด้วย อย่างไรก็ตาม
ในภาษาไทยมีชุดของคำที่อ่านออกเสียงเหมือนกันที่เรียกว่า
“คำพ้องเสียง” อยู่หลายคำ
ซึ่งอาจทำให้เด็กไทยประสบปัญหาเรื่องของการเขียนคำเมื่อเรียนในระดับที่สูงขึ้น
แม้ว่าทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการได้มาซึ่งภาษาจะมุ่งศึกษาพฤติกรรมของเด็กในระดับปฐมวัย
แต่ครูผู้สอนภาษาไทยในระดับมัธยมศึกษาสามารถที่จะนำหลักการของการพัฒนาการสื่อสารของเด็กในวัยนี้มาเป็นแนวทางในการออกแบบการเรียนการสอน
(instructional design) ได้ ตัวอย่างเช่น
การใช้กิจกรรมสนทนาพูดคุยกับผู้เรียน
แทนที่จะเน้นการบรรยายซึ่งเป็นวิธีการสอนที่ลดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและผู้เรียนด้วยกัน
กิจกรรมการสื่อสารอย่างกระตือรือร้น (active communication) เช่น
การสนทนา การอภิปราย การทำงานกลุ่ม การโต้วาที
หรือการถกเถียงด้วยเหตุผล
ถือว่าเป็นกิจกรรมที่สามารถพัฒนาการได้มาซึ่งภาษาทั้งสิ้น
แม้ว่าผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษา
จะได้มาซึ่งภาษาโดยเฉพาะภาษาพูดแล้วก็ตาม
แต่การได้ภาษาด้านภาษาเขียนนั้นยังต้องได้รับการพัฒนาอีกมาก
กิจกรรมการสื่อสารและการสร้างปฏิสัมพันธ์จะช่วยให้เกิดการสร้างมโนทัศน์ใหม่และขัดเกลามโนทัศน์เดิมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
กล่าวได้ว่า การได้มาซึ่งภาษานั้น
หาได้สิ้นสุดเมื่อเด็กสามารถพูดได้ไม่
เพราะการได้มาซึ่งภาษาย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต
การรับรู้โครงสร้างภาษาใหม่ๆ หรือการเรียนรู้ภาษาที่สอง
จึงยังคงเป็นกิจกรรมที่มีการศึกษาและค้นคว้าพัฒนา
ทั้งนี้ก็เพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจปรากฏการณ์ทางภาษาซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่สัมพันธ์กับความนึกคิดของมนุษย์มากที่สุด
_______________________________________________
รายการอ้างอิง
Birner, Betty. (2010). Language
acquisition[Online]. Available from:www.lsadc.org/info/pdf_
files/Language_Acquisition.pdf[2010, June 9]
Slavin, R. (2003). Educational psychology: Theory and
practice. 7th ed. Boston: Allyn & Bacon.
การนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปเผยแพร่หรือดำเนินการใดๆ
ควรทำตามหลักวิชาการ จรรยาบรรณและความเป็นมนุษย์