บทวิเคราะห์วิจารณ์ในแง่มุมต่างๆ ของกฎหมาย มังรายศาสตร์ฉบับใบลานวัดหย่วน ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
ได้มีโอกาสอ่านกฎหมายมังรายศาสตร์ซึ่งเป็นอักษรล้านนาฉบับใบลานวัดหย่วนปริวรรตเป็นอักษรไทยโดยพระมหาสุเมธ สุเมโธพร้อมกับคณะ จัดทำเป็นรายงานวิชาคติชนวิทยาซึ่งบรรยายโดยท่านอาจารย์วิมล ปิงเมืองเหล็ก อาจารย์พิเศษในสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน วิชาเอกสังคมศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา
ความเป็นมา มังรายศาสตร์เป็นกฎหมายในสมัยของพระเจ้ามังรายกษัตริย์ผู้สร้างเมืองเชียงรายและนครเชียงใหม่ ซึ่งก็มีหลายสำนวน เพราะมีผู้เขียนขึ้นหลายเล่ม แต่ในฉบับที่พระมหาสุเมธพร้อมกับคณะ นำมาปริวรรตนี้ เขียนโดย เจ้าหน้อยนามวงษา บ้านประตูเชียงใหม่ เขียนเมื่อศักราชได้ 1252 ตัวปี กดยี (หรือ) เดือนยี่เหนือ ขึ้น 5 ค่ำ เมื่อเทียบศักราชดูแล้ว คงเขียนขึ้นในราวสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ (น้อยอินทนนท์) ซึ่งเป็นเจ้าเมืององค์ที่ 7 ในราชวงศ์ของเจ้ากาวิละผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าอินทวิชยานนท์นี้ครองเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่ศักราช 1232 – 1262 นาน 26 ปี และเมื่อเทียบกับปีพุทธศักราชก็ราว ปีพุทธศักราช 2433
กฎหมายมังรายศาสตร์ ฉบับที่พระมหาสุเมธพร้อมกับคณะ นำมาปริวรรตนี้[1] เขียนในใบลานด้วยอักษรล้านนา มีทั้งหมด 178 หน้า ในส่วนของเนื้อหาตอนต้นและตอนท้ายหายไปหลายหน้า จึงทำให้เนื้อความไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไร แต่ก็เขียนด้วยสำนวนเนื้อหาที่อ่านง่าย เพราะตัวหนังสือสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย
ส่วนเนื้อหา กฎหมายมังรายศาสตร์เป็นการกล่าวถึงวิธีพิจารณาความและตัดสินความในแง่มุมต่าง ๆ ของคนในสมัยนั้น ซึ่งแตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละรูปคดี คล้ายกับเป็นคู่มือการพิจารณาของศาลมากกว่าการตัดสิน โดยมีบทกำหนดโทษตั้งแต่เบาที่สุด ถึงหนักที่สุด โทษเบาที่สุดก็ให้ขอขมาซึ่งกันและกัน โทษหนักที่สุดก็ให้ประหารชีวิต ส่วนโทษขนาดกลางก็คือให้ปรับหรือริบทรัพย์สิน ในคัมภีร์ใบลานฉบับนี้ไม่ได้แยกประเภทของกฎหมายออกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจนนัก คงกล่าวปะปนกันไปเป็นเรื่อง ๆ ติดต่อกันไป นอกจากจะบอกวิธีตัดสินพิจารณาความแล้วยังมีการยกตัวอย่างจากคัมภีร์ต่าง ๆ ของพระพุทธศาสนามาเปรียบเทียบตัดสินด้วย
ส่วนสำนวนภาษา ลักษณะของสำนวนภาษาที่ใช้เขียนนี้ มีลักษณะเป็นพื้น ๆ ง่ายต่อการอ่านทำความเข้าใจ ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ในบางตอนจะอ้างคำบาลีมาประกอบด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนมีความรู้เกี่ยวกับภาษาบาลี และคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาอย่างชึกซึ้งแตกฉาน ประการสำคัญในการศึกษาเปรียบเทียบก็พบภาษาที่ใช้ในการเขียนนี้ทำให้เราทราบว่าสำนวนภาษาและศัพท์บางศัพท์มีใช้กันมานานแล้วและยังตรงกับภาษาไทยกลางด้วย ซึ่งแสดงว่า ภาษาถิ่นและภาษากลางมีการยืมคำกันไปใช้ด้วย
ส่วนลักษณะการเขียนหรือแต่ง ที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งก็คือในการกล่าวถึงลักษณะตัดสินคดีหรือการพิจารณาความ จะอ้างถึงหลักธรรมและตัวอย่างจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามาเป็นตัวอย่างด้วย และบอกที่มาอย่างชัดเจน ไม่ได้มีการอ้างขึ้นมาลอย ๆ อันแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนต้องมีความรอบรู้ในเรื่องของลักษณะกฎหมายและหลักธรรมต่าง ๆ ตลอดจนถึงมีความแตกฉานในพระไตรปิฎกมากพอสมควร และทีสำคัญยังแตกฉานทางอักษรศาสตร์โดยเฉพาะภาษาบาลี
ส่วนศัพท์เกี่ยวกับกฎหมาย จากการสังเกตและวิเคราะห์รูปศัพท์ที่ใช้เกี่ยวกับกฎหมายแล้วก็ไม่ต่างกับปัจจุบันเท่าไร ซึ่งบางศัพท์แสดงว่ามีการบัญญัติใช้กันมานานแล้ว เช่น คำว่า การตัดสินคดีความ ไต่สวน มาตรา อุทธรณ์ โจทก์ ศาล ปรับไหม พิจารณาความ มาติกา ชำระคดี โรงศาล บทลงโทษ ครุโทษ ลหุโทษ ริบทรัพย์ สินสมรส ฯลฯ
ส่วนวิธีเปรียบเทียบพิจารณาความและตัดสินคดีความ เพื่อความยุติธรรม เมื่อเกิดคดีขึ้น ก็จะมีการไต่สวนพิจารณาความกันอย่างรอบคอบ มีการอ้างสักขีพยานบุคคล หรือพยานวัตถุ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มีการเปรียบเทียบตัดสินโดยอาศัยหลักธรรมและตัวอย่างในคัมภีร์ทางศาสนาเป็นหลัก มีการแนะนำหลักของพิจารณาตัดสิน และกำหนดลักษณะของผู้ไต่สวนหรือตัดสินด้วย นั้นก็คือผู้ตัดสินไต่สวนต้องมีคุณธรรมประจำใจ ฉลาดทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม โดยในกฎหมายมังรายศาสตร์ ได้ใช้คว่า เป็นผู้ฉลาดในศาสตระศิลป์ทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม โดยในกฎหมายมังรายศาสตร์ ได้ใช้คำว่า เป็นผู้ฉลาดในศาสตระศิลป์ทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม และที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าในสมัยนั้นจะมีการซื้อขายทาสกันอยู่ แต่สังคมในสมัยนั้นก็ยังให้เกียรติและเคารพสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตัดสินพิจารณาบทลงโทษหรือการแบ่งทรัพย์สินจะมีการให้เกียรติและเห็นความสำคัญของผู้หญิงมากเป็นกรณีพิเศษ เพราะถือว่าผู้หญิงเป็นเพศแม่และเป็นเพศที่อ่อนแอ
ส่วนคุณค่าที่แสดงให้เห็นความเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น กฎหมายฉบับนี้ ถือเป็นกฎหมายฉบับชาวบ้านอย่างแท้จริง เพราะจากสำนวนเนื้อหาที่อ่านเข้าใจง่ายแล้ว ยังใช้ภาษาง่าย ๆ พื้น ๆ ตรงไปตรงมา อันแสดงออกและสื่อให้เห็นความเป็น วิถีประชา (folk) อย่างแท้จริง
ส่วนที่เป็นเศรษฐกิจ ถ้าพิจารณาถึงกฎหมายมังรายศาสตร์นี้ ก็มีการกู้ยืมหรือมีการเข้าหุ้นลงทุนกับค้าขาย เป็นหุ้นส่วน และมีนิติกรรมอื่น ๆ อีกพอสมควร ทำให้ทราบว่าในสมัยเมื่อประมาณ 700 ปี ก็มีการทำนิติกรรมสัญญาต่าง ๆ ที่ซับซ้อนพอสมควร คือเข้าหุ้นเพื่อค้าหากำไร การกู้ยืม การคิดดอกเบี้ย เป็นต้น เพราะว่ากฎหมายพระเจ้ามังรายก็มีอายุรุ่นเดียวกับกฎหมายของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือ ประมาณ 700 ปีผ่านมา
กล่าวโดยสรุป กฎหมายมังรายศาสตร์ เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยพระเจ้ามังรายเจ้าผู้ปกครองนครเชียงใหม่ เป็นบทบัญญัติที่เขียนขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองประชาชนให้อยู่เย็นเป็นปกติสุข เพราะว่าเนื้อหาสาระในกฎหมายควบคุมไปทุกส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องด้านสังคม ด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ และด้านการศึกษา เป็นกฎหมายที่พระเจ้ามังรายใช้ปกครองในลักษณะพ่อปกครองลูกเป็นลักษณะการปกครองแบบธรรมาธิปไตยคือใช้ความถูกต้อง เที่ยงธรรมและเป็นธรรมมากกว่าที่จะใช้ลักษณะการปกครองแบบอัตตาธิปไตย คือใช้ระบบการปกครองแบบเผด็จการ มุ่งใช้นิติศาสตร์ มากกว่ารัฐศาสตร์.
ท่านทำงานได้ดีมาก