ตั้งแต่มีการเริ่มตระหนักว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมน่าจะเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ทำให้มีการผลักดันให้ตั้งสำนักงานสิ่งแวดล้อม ประมาณเกือบ ๔๐ ปีมาแล้ว จนพัฒนามาเป็นการก่อตั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ผมก็เริ่มมีความหวังจะเห็นประเทศไทย
มีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดี
ทั้งดิน ที่ดิน น้ำ แหล่งน้ำ อากาศ ต้นไม้ ป่าไม้ และสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ
มี การพัฒนาและฟื้นฟูให้ดี "ดังเดิม"
แต่หลังจากนั้น จนถึงปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็น
ดิน และที่ดิน
ทรัพยากรน้ำ และแหล่งน้ำ
ต้นไม้ ป่าไม้
อากาศ
ที่เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนจะเกิดมาจาก
การมุ่งเน้นการจัดการสิ่งแวดล้อมแบบปลายเหตุ โดยมองข้ามระบบทรัพยากร และการจัดการในระดับต่างๆ ที่ย่อมนำมาของความล้มเหลวและผิดพลาดในการดำเนินงาน
แต่ถ้าเราหันกลับมาใช้ชื่อกระทรวงอย่างครบถ้วน
ทั้ง "ทรัพยากรธรรมชาติ" และ "สิ่งแวดล้อม" แบบคู่ขนานและผสมผสาน
โดยการวิเคราะห์ระบบทรัพยากร ที่ไป ที่มา ให้ครบวงจรแบบ "บูรณาการ" ที่ทั้งครบถ้วน สมบูรณ์
ก็น่าจะทำให้เราทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ทั้งนี้เพราะ
เมื่อเราสามารถดูแล และจัดการ "ทรัพยากรธรรมชาติ" อย่างพร้อมสรรพแล้ว "สิ่งแวดล้อม" ก็เป็นเรื่องที่จัดการแบบต่อเนื่องได้ไม่ยาก
นี่คือสิ่งที่ผมเข้าใจ และอาจเป็นต้นแนวคิดของวิธีการจัดการ "สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน"
การทำงานแบบ "รักษาอาการ" วิ่งตามกระแส แม้จะหนักหนาสาหัสและจริงจังขนาดไหน ก็ยากที่จะยั่งยืน
น่าจะลองมาแก้ไขปัญหา
ผมเห็นมาอย่างนี้ คิดอย่างนี้ และพยายามทำในส่วนที่ผมทำได้ไปแล้ว
หวังว่าจะมีคนเห็นด้วยและทำจริงๆสักสองสามคน ก็พอใจแล้วครับ
สวัสดีครับ
เรียนท่านอาจารย์ครับ
ดูเหมือนจะวิกฤติลงเรื่อยๆใช่เเล้วครับ...
สิ่งหนึ่งที่ผมมองก็คือ นอกจากเราจะมีกระทรวงที่ทำหน้าที่ดังกล่าวเเล้ว การสร้าง An effective citizen ก็สำคัญยิ่งกว่า ตรงนี้เองครับที่อาจารย์บอกว่า "เริ่มที่ตนเอง"
ตอนนี้อาการเรียนรู้ตนเองของสังคมเราก็ไม่ค่อยมี หากจะรื้อกระบวนการเรียนรู้ขึ้นมาทั้งหมด ก็เกี่ยวข้องกันไปหมด ส่วนกระทรวงทรัพยากรฯ ก็คงทำได้เท่าที่ทำได้...อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
An effective citizen
น่าสนใจทั้งคำและแนวคิดครับ ได้มาจากไหนครับ
น่าจะลองนำไปขยายผลดูนะครับ
ผมเคยได้ยินแค่ "การเกิดของผู้รู้ นำความสุขมาให้สังคม"
ก็มีอะไรคาบเกี่ยวกันพอสมควรนะครับ
ขอบคุณครับ
สิ่งที่อาจารย์ทำ เเละ ทุกท่านทำก็ให้ความรู้เพื่อพัฒนาคนครับ
วันก่อนที่ไป บรรยาย+WS ที่ ม.ขอนแก่น
ก็มีการใช้คำนี้ เพื่อเป็นผลลัพธ์สุดท้ายในการทำรายวิชาการศึกษาทั่วไป
Sci. of learning ครับ
Yes, we do have to do --for oneself-- --by oneself-- and
yes, we do have to do --for ourselves-- --by ourselves-- and (these days)
we also have to stop some bastards (money mongers) from destroying what we are doing.
We spend years to grow things and make them better. Our work can be destroyed in minutes!
We have to be active in protection too. ;-)
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์และขอสนับสนุนความคิดของอาจารย์ ครับ
ผมเรียนจบ วิทย์-สิ่งแวดล้อม มข. ปัจจุบัน ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา ร่วมกับ หลากหลายสถาบัน
เคยคิดว่า การรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่พอมาอยู่ในสังคมที่ไม่ได้อยู่ในวงการอนุรักษ์
ทุกอย่าง เป็นเรื่องไกลตัวมากครับ เพราะ ถ้าไม่เกี่ยวกับปากท้องตนเองแล้ว การอนุรักษ์ ถือว่าเป็นเรื่องยากครับ
ต้วมเตี้ยม....แมนส์
นั่นคือ ความจริงเสมือนของคนที่ความรู้ไม่พอใช้ครับ
เพราะเขาจะไม่เข้าใจ มองอะไรไกลกว่าหัวแม่เท้าตัวเองไม่เป็น
พอต้องมองให้ไกลกว่านั้น เขาก็จะบอกว่ามองไม่ได้ เพราะกลัวเท้าจะเหยียบหนาม หรือตกหลุม ต้องมองและระวังหัวแม่เท้าไว้ก่อน
ที่ไม่ผิดครับ
แต่ถ้าทำอย่างนั้น เขาจะข้ามถนนโดยปลอดภัยได้ไหม
ปล่อยเขาไปก่อน เราที่มีความรู้มากกว่า
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคน
เราจะได้ไม่ทุกข์ครับ
คงพอจะมองเห็นแนวทางนะครับ
ขอบคุณครับที่มาแสดงข้อคิดเห็นจากบางมุม (ที่ความรู้ไม่พอใช้)ของสังคมไทย ที่น่าสงสาร
นี่คือเป้าหมายสำคัญของการเขียนเรื่องนี้ครับ
ขอบคุณครับ
ผมเห็นวิดีโอใน Youtube ว่าใช้แกลบปลูกข้าวได้ มีรายละเอียดทำอย่างไร พอจะบอกเป็นวิทยาทาน ได้หรือเปล่าครับ
ขอบคุณครับ
http://www.youtube.com/watch?v=A1ECkugz4-Y
ถ้าไม่สะดวก บอกต้องนี้แจ้ง mail ไ้ด้ครับ
ลองเลยครับ
จากเครื่องสีข้าวกล้องนะครับ
แล้วจะรู้ว่าได้จริงๆ
อ่านในช่วงต้นเรื่องนั้นผมรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้วงความฝันว่ากำลังอ่านประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อมไทยที่เกิดขึ้นหลายสิบหลายร้อยปีมาแล้ว แต่มันไม่ใช่ความฝัน มันคือความจริงที่เห็นได้ชัดทั่วไปและการทำลายล้างกำลังดำเนินอยู่และแผ่ขยายในอัตรารวดเร็วขึ้นทุกวัน
ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนวคิดของอาจารย์และมั่นใจว่าได้ทำจริงมาแล้วและจะทำจริงต่อไปครับ