มังคุด ได้ชื่อว่าเป็น "ราชินีแห่งผลไม้ " ที่ชาวต่างประเทศสั่งซื้อปีหนึ่งๆเป็นจำนวนมากและผลผลิตไม่พอขายให้กับต่างประเทศ ช่วงนี้ถึงฤดูกาลของมังคุดแล้ว ปกติเรากินแต่เนื้อในลูกมังคุด เปลือกทิ้งหมด เราลองชวนทุกคนในครอบครัวมาทดลองทำการวิจัยเล็กๆจากผลมังคุดกันสักครั้ง หรือ ให้นักเรียนทดลองทำในห้องเรืยนทั้งห้องก็ได้นะคะ
การใช้ประโยชน์จากมังคุด
1. เปลือกผลมังคุด เหลือทิ้งจากการรับประทานผลสด ผลมังคุดสดหลังรับประทานเนื้อในแล้วให้นำเปลือกผลร้อยด้วยเชือก แบบร้อยพวงมาลัย จากนั้นนำไปแขวนผึ่งลมให้แห้ง คล้ายๆเหมือนตากกระเทียม และควรร้อยขณะที่เปลือกยังคงนิ่มอยู่ จะร้อยได้ง่าย เพราะถ้าแห้งแล้วจะแข็งมาก และเมื่อแห้งแล้วสามารถเก็บไว้ใช้ได้นานต่อเนื่องจนถึงฤดูกาลที่ผลผลิตใหม่ออกมา วิธีการนำมาใช้ประโยชน์
1.1 เปลือกผลมังคุดแห้งฝนหรือต้มกับน้ำปูนใส ดื่มแก้อาการ ท้องเสีย บิด มูกเลือด ทาแก้แผลพุพอง แผลเน่าเปื่อย ถ้ารับประทานเด็ก ½ ช้อนชาทุกๆ 4 ชม. ส่วนผู้ใหญ่ 4 ช้อนโต๊ะทุก 4 ชม.จนกว่าจะหายเป็นปกติ
1.2 เปลือกผลมังคุดแห้ง นำมาทุบให้เป็นชิ้นเล็กๆหนัก 1 ขีด แล้วดองกับเหล้าขาว 1 ขวด 7 วัน นำมาใช้ได้อย่างเดียวกับข้อ(1.1) ข้างต้น แต่ถ้าต้องรับประทานเพื่อรักษา แค่เพียง 1-2 ช้อนชา ครั้งเดียวพอ ข้อนี้ดีที่ไม่ต้องทำบ่อยๆ
1.3 เปลือกผลมังคุดแห้ง ทุบเป็นชิ้นเล็กๆ 1 ขีด หมักกับแอลกอฮอล์ ล้างแผล70% 1 ขวด (450 วี.ซี.) 7 วัน กรองเอาแต่น้ำใสเก็บไว้ใช้ สำหรับฉีดพ่นป้องกันกำจัดเชื้อราโรคพืช อัตรา1-2 ซี.ซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร ล้างน้ำฝน ล้าหมอก ทั้งใช้กำจัดสาหร่าย ดะไคร่น้ำ โรคยางไหล ตามกิ่ง ลำต้นพืชได้ดีมาก โดยอาจผสมกับสารสกัดสมุนไพร จุลินทรีย์หน่อกล้วย จุลินทรีย์ปรามโรค ฮอร์โมนไข่ ฮอร์โมนไส้กล้วย ไคโตซาน ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยเคมีน้ำทางใบ ฉีดพ่นไปพร้อมกันได้ด้วย ใช้ทารักษาผิวภายนอกเหมือนอย่างข้อที่ (1.2)ได้ แต่ห้ามรับประทานเด็ดขาด
นอกจากนั้นถ้านำสารสกัดเปลือกผลมังคุดชนิดนี้ ไปรวมกับสารสกัดจากผงขมิ้นชัน (ผงขมิ้นชัน 1 ขีด+ แอลกอฮอล์ ล้างแผล 70% 1 ขวด (450 ซี.ซี.)+น้ำยาจับใบ 20 ซี.ซี หมัก 7วัน กรองเอาแต่น้ำใสๆเช่นกัน) จะได้วัคซีนสำหรับฉีดพ่นกระตุ้นภูมิต้านทานให้แก่ต้นข้าว ช่วงข้าวอายุ 15 วัน ทั้งยังใช้สำหรับป้องกันกำจัดโรคและแมลงได้ดีอีกด้วย
1.4 เปลือกผลมังคุดแห้ง ทุบเป็นชิ้นเล็กๆ 1 ขีด หมักกับน้ำขี้เถ้า 10 % 1 ลิตร(น้ำ 1 ลิตร ขี้เถ้าสีขาวร่อนสะอาด 1 ขีด ) 7 วัน แล้วกรองเอาแต่น้ำใสๆ สำหรับฉีดพ่นป้องกันกำจัดโรคพืชอัตรา 10-20 ซี.ซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยต้องฉีดพ่นเดี่ยวๆเท่านั้น ห้ามผสมร่วมกับสารอื่นเด็ดขาด ใช้หลังฝนหยุดตกใหม่ๆจะให้ผลดีที่สุด นอกจากนั้นอาจะใส่ผงขมิ้นชัน 1 ขีด โดยเพิ่มขึ้เถ้าอีก 1 ขีด และน้ำอีก 1 ลิตร หมักไปพร้อมกัน จะให้ผลดีกว่าการใช้เปลือกมังคุดอย่างเดียว ฉีดพ่นหลังฝนตกใหม่ๆโดยเฉพาะ ฝนที่ตกลงครั้งแรก หรือ หลังฝนที่หยุดตก หลังพืชผ่านช่วงอากาศแห้ง มาแล้ว 3 วัน
2. ผลมังคุดสดต้มสุก
ผลมังคุดสด ล้างสะอาดทั้งขั้ว 1 กก. + น้ำ 1.5 ลิตร ใส่ในหม้อมีฝาปิดขนาด 2 ลิตร ต้มด้วยไฟกลางให้เดือดนาน 10 นาที หรือ นานพอจนกว่าเนื้อในผลมังคุดจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดง จึงยกลงจากเตา รินน้ำต้มผลมังคุดเก็บไว้ นำผลมังคุดที่ต้มสุกออกมาวางไว้ให้ขั้วตั้งขึ้น รอให้เย็นจึงจะนำมาใช้ประโยชน์ซึ่งถ้าต้องการจะต้มผลมังคุดจำนวนมากกว่านี้ให้เพิ่มตามส่วนเอาเอง
วิธีการนำมาใช้ประโยชน์
2.1 น้ำต้มผลมังคุด นำไปใช้แทนน้ำตามข้อที่ (1.4) ถ้าไม่ครบลิตรให้เติมน้ำลงไป ถ้ามีมากเกินก็ให้เพิ่มส่วนอื่นตามอัตราเช่น ได้น้ำต้มผลมา 800 ซี.ซี. ก็เติมน้ำลงไป 200 ซี.ซี.เท่ากับรวมเป็น 1 ลิตร แต่ถ้าได้น้ำต้มผลมังคุดมา 1.4 ลิตร (1,400 ซี.ซี ) ก็ต้องใช้เปลือกผลมังคุดแห้ง 1.4 ลิตรนั้นด้วย น้ำอีก 600 ซี.ซี. รวมเป็น 2 ลิตร หรือ 2,000 ซี.ซี. ใส่เปลือกผลมังคุดแห้งลงไป 2 ขีด+ขี้เถ้า 2 ขีด แล้วแต่สะดวกหมักไว้ 7 วัน นำมาใช้ประโยชน์ เช่น เดียวกับข้อที่ (1.4)
2.2 ผลมังคุดต้มสุก เหตุผลของการที่ต้องต้มผลมังคุด เนื่องจากสารประกอบ แซนโทนหลากหลายชนิดในผลมังคุดมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งให้ประโยชน์ในการเยียวยาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของคนเราได้มากมาย เช่น ลดอาการอักเสบจากแผล ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ ต้านเชื้อ แบคทีเรีย รักษาสิว ยับยั้งเชื้อวัณโรค ลำไส้ติดเชื้อ ต้านเชื้อราโรคผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิแพ้ อาการแพ้ต่างๆ ต้านอนุมูลอิสระ โรคข้ออักเสบ เข่าเสื่อม ต้านไวรัส เอดส์ เป็นต้น ไม่เป็นสักโรคจะดีที่สุด
การที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากนั่นเอง ก็ย่อมจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ โดยเฉพาะเมื่อมีน้ำย่อย โพลีฟินอลออกซิเดส ในผลมังคุด เป็นตัวเร่ง เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นทำให้เปลือกมังคุดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล สูญเสียคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีไป
การต้มทำให้น้ำย่อยดังกล่าวหมดฤทธิ์ ดังนั้น เปลือกผลมังคุดที่ต้มแล้วเมื่อนำไปตากให้แห้ง ก็ยังคงมีสีม่วงแดงสดไม่เปลี่ยนสี รักษาสารกลุ่มแซนโทนให้คงอยู่ ได้ใช้ประโยชน์สมคุณค่า
ปัญหาต่อมาก็คือ ผลมังคุด ไม่ได้มีแค่สารกลุ่มแซนโทนที่ให้ประโยชน์อย่างเดียว แต่มีสารแทนนินที่มีรสฝาดรวมอยู่ด้วยในปริมาณมาก หากบริโภคมากเกินไปจะทำให้ท้องผูก และเป็นพิษต่อตับ ทั้งมีผลกระทบต่อการดูดซับแร่ธาตุสารอาหารในกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากแร่ธาตุสารอาหารนั้นได้ไม่เต็มที่
บรรดาสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่มีอะไรเลยที่ดีโดยส่วนเดียว ล้วนในดีมีเสีย ในเสียมีดี มีแล้วไม่มี ไม่มีแล้วกลับมี เมื่อปรากฏมีขึ้นแล้ว ก็มีแต่เสื่อมลงไปเรื่อยๆ เกิดขึ้นเองไม่ได้ แต่ผลมาจากเหตุ อาศัยปัจจัยร่วมกับสิ่งอื่นเกิดขึ้นจะไม่ปรากฏอิสระโดดเดี่ยวลำพัง ทั้งพึงเข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ดำรงตนอยู่ได้ ด้วยอาหาร และสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น มาช่วยค้นหาดีที่พอดีกัน
2.2.1 ผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าวข้างต้น รับประทานเฉพาะเนื้อในมังคุดต้มสุกวันละ 1 ผล โดยรับประทานหลังอาหาร ส่วนผลที่เหลือ เก็บในตู้เย็นไว้รับประทานในวันต่อๆไป ลองดูสัก 3 วันถ้ารู้สึกดีขึ้น ก็รับประทานต่อ จนกว่าอาการโรคจะหาย แต่ถ้ามีอาการท้องผูกให้หยุดรับประทานทันที คนที่ไม่ป่วยไม่ควรรับประทาน
2.2.2 น้ำผลมังคุดต้มสุก ถ้าไม่มีปัญหาเร่งด่วนเรื่องสุขภาพ ผลมังคุดที่ต้มสุกแล้วรอให้เย็นตามข้อ (2) นั้น ให้ใช้มีดคมๆ ฝานผ่าเปลือกกลางผลโดยรอบเพื่อเปิดผล จับขั้วดึงเปลือกผลผ่าด้านบนมีเนื้อในผลสีแดงติดมาด้วย เก็บไว้ต่างหากเพื่อนำมาใช้ในข้อ
2.2.3 เก็บน้ำผลมังคุดต้มสุกสีม่วงสดใสสวยสดในเปลือกผลฝาด้านล่างจากผลมังคุดที่ต้มทั้งหมด รวมใส่ขวดพลาสติกหรือขวดแก้วเล็กๆเก็บไว้ในตู้เย็น สำหรับแต้มรักษาสิวอักเสบ หรือ ใช้น้ำผลมังคุดต้มสุก 1-2 หยด ผสมน้ำ 1 ช้อนชา ชโลมใบหน้าให้ทั่ว ก่อนออกไปทำงานนอกบ้าน เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดด
2.2.3 เนื้อของผลมังคุดต้มสุกจากข้อ (2.2.2) แคะเอาเมล็ดแข็งๆข้างในออก นำเอาเนื้อผลล้วนๆ มาปั่นด้วยเครื่องปั่นน้ำผลไม้ รับประทาน 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหารหากต้องการเก็บไว้รับประทานนานวัน ควรแบ่งใส่ขวดพลาสติกใส่อาหารชนิดที่ทนเย็นเก็บไว้ช่องแช่แข็ง นำออกมารับประทานทีละขวด เก็บไว้ในตู้เย็นช่องแช่ผัก หมดเมื่อใดก็นำขวดใหม่จากช่องแช่แข็งออกมา อาจปั่นผลไม้อื่นรวมไปพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้เพื่อใช้ในการรักษาโรคอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อหายดีแล้วควรหยุดรับประทาน ยาก็คือ ยา รับประทานเพื่อรักษาโรค ไม่ใช่ขนมของกินเล่นๆ
2.2.4 น้ำหมักมังคุดเพื่อสุขภาพ เนื้อในผลมังคุดต้มสุกสีแดง 3 ขีด + น้ำตาลทรายแดง 1 ขีด + น้ำ1 ลิตร หมักในโหลแก้ว มีฝาปิด 3 เดือนขึ้นไป นำมาบริโภคได้ ถ้าจะให้ดีต้อง 1 ปี นี้เป็นน้ำหมักผลไม้เพื่อสุขภาพไม่ป่วย ก็รับประทานได้ 1 ช้อนโต๊ะหลังอาหาร
2.2.5 เปลือกผลมังคุดต้มสุกหลังนำเนื้อในผลออกไปแล้ว เอาก้านขั้วออก แล้วผ่า สี่ทั้งสองซีก ใช้ช้อนคว้านตัก เอาเนื้อด้านในเปลือกผลให้ติดผิว จะได้ 8 ชิ้น นำมาแช่ในน้ำเกลือ1%(น้ำ 1 ลิตร+ เกลือแกง 10 กรัม) วางบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ ก่อนนำไปตากแห้ง วันไหนไม่มีแดดก็เก็บใส่ถุงพลาสติกรัดปากถุงด้วยหนังสติ๊กไว้ในตู้เย็น พอมีแดดค่อยนำออกมาตากใหม่จนกว่าจะแห้ง
2.2.6 เปลือกผลมังคุดต้มสุก ส่วนของผิว ตากแดดให้แห้ง ถ้าไม่มีแดดก็ผึ่งลมตากไว้เฉยๆ
ไม่มีปัญหา
เพราะชิ้นบางแห้งเร็วอยู่แล้ว นำไปสกัดด้วยน้ำขึ้เถ้า ตามข้อที่
(1.4)
ได้ผลหรือไม่ผิดก็รู้ ถูกก็รู้ มีเหตุมีผลไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
หัวใจของการเรียนรู้ : สังเกต จดจำ เปรียบเทียบ
ธรรมชาติจริงแท้ไม่แปรผัน เข้าถึงได้ทุกคนเหมือนกันหมด
คนแม้ต่างชาติต่างภาษา แต่ก็ยิ้มหัวเราะร้องไห้ไม่ต่างกัน
มองเขามองเรา เหลือเพียงเมตตาที่มีให้ต่อกันเท่านั้น
สุวัฒน์ ทรัพยะประภา
ขอบคุณ อาจารย์สุวัฒน์
ทรัพยะประภา ฉายา "นักวิจัยเคมี เท้าเปล่า " ฯลฯ
จากมหาวิทยาลัย มหิดล โดยจัดโครงการนักวิจัยอาสา ตู้ปณ.106 ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 10160
งานวิจัยที่นำมาฝาก อาจารย์สุวัฒน์ ทรัพยะประภาส่งมาให้ และผู้เขียนก็ทำการทดลอง และเมื่อถึงฤดูมังคุดก็จะทำเพื่อเก็บน้ำจากผลตัมสุกใส่ขวดไว้ แต่ไม่ตามอาจารย์ทั้งหมด เช่น
1. เมื่อได้น้ำมังคุดต้มสุกครั้งแรก ก็ทดลองทาผิวหน้า แขน เพราะอาจารย์บอกทางวิทยุว่าทาผิวหน้าแล้ว(คนใกล้ตัวบอกหน้าขาว ) และแก้สิว หายเร็วแต่ผู้เขียนทาเพราะอยากทราบว่าผิวจะเป็นสีม่วงหรือไม่ ปรากฏว่าไม่เป็นค่ะ และได้ทานวดผิวรวมกับน้ำมันมะพร้าวดีมากค่ะ และนำน้ำที่ได้ไปผสมกับน้ำผลไม้อื่นๆ
2. เนื้อที่ต้มสุกเมื่อแคะออกมาครั้งแรกก็ชิมเลย และทำไอติม โดยนำ เนื้อมังคุดต้มสุก+หัวกะทิสด +ใส่น้ำมะนาว +น้ำผึ้ง +เกลือนิดๆ แล้วนำไปปั่น แล้วแช่ช่องแข็ง เมื่อแข็งเป็นไอติมจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน สีแปลกดีและอร่อยมาก และชอบเนื้อมังคุดต้มสุก หอมอร่อยไปอีกแบบ ยิ่งตอนอุ่นๆยิ่งอร่อย
3.
ใช้ช้อนตักเนื้อเปลือกนิ่มๆด้านในผิว หมักน้ำเอนไซม์ กับเนื้อมังคุด
ผิวเปลือกไม่ใช้เพราะมีแทนนินมาก สีของน้ำเอนไซม์แดงมากค่ะ
สูตร ทำน้ำเอนไซม์
มังคุด 3 ส่วน + น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน + น้ำสะอาด 10 ส่วน หมักนาน 1 ปี
4.
ไม่ควรใช้ไฟแรงต้มและนานเกินไป จะทำให้ผลมังคุดแตก
น้ำต้มจะเข้าไปในผล ขณะต้มต้องไม่ให้ผลมังคุดแตกนะคะ
มังคุดเป็นผลไม้ที่มีประโยนช์มากมาย โดยเฉพาะ " สารแซนโทน "
จากเปลือก เยี่ยมมากๆค่ะ หรือเนื้อมังคุดสดที่แสนอร่อยก็มีประโยชน์มากๆ
หมายเหตุ เมื่อวันที่ 14 มิย.53 ได้เขียนบันทึกเรื่อง "นักวิจัยพัฒนาอัพเกรดผลไม้ไทย ช่วยชาติ " คือ รศ.ดร. สุมิตรา ภู่วโรดม วิจัยช่วยชาติอย่างไรเกี่ยวกับมังคุด คลิกอ่านได้นะคะ
ที่ .............http://gotoknow.org/blog/kanda02/366426
เรื่องมังคุด อ่าน ชมเพิ่มที่บันทึกเกี่ยวข้องนะคะ
ด้วยความปรารถนาดี กานดา แสนมณี