เยี่ยมค่าย ไม่ใช่ภารกิจ แต่เป็นพันธกิจทางใจ


นิสิตชาวค่ายนั้นควรค่าต่อการไปเยี่ยมเยียนเป็นที่สุด พวกเขากำลังเป็นนักแสวงหา พวกเขากำลังเรียนรู้วิถีแห่งการให้ เรียนรู้วิถีแห่งการเป็นผู้รับ เรียนรู้ความงามของการมีอยู่ของชีวิต และที่สำคัญ พวกเขาแบกเอาความเป็นมหาวิทยาลัยไปอย่างเต็มล้น

ล่าสุดเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา  ผมถูกตั้งคำถามจากคณะผู้ศึกษาดูงานของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งเดินทางมาไกลจากแถวๆ เมืองหลวง

คำถามที่ว่านั้น ถามทักในทำนองว่า “ค่ายนิสิตที่จัดขึ้นเยอะๆ นั้น หากโปรแกรมทับซ้อนกับงานประจำที่มหาวิทยาลัย  จะมีการบริหารจัดการยังไงบ้าง ?”

ผมตอบอย่างไม่ลังเลว่า “งานเยี่ยมค่าย ไม่ใช่ภารกิจ แต่เป็นภารกิจทางใจ ดังนั้นใกล้-ไกล ยุ่งกันแค่ไหน ก็ต้องตามไปเยี่ยมนิสิต !”

          ครับ ผมตอบเช่นนั้นจริงๆ ไม่ใช่ตอบเพื่อผ่านๆ ในแบบการ "สร้างภาพ" หรือ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” แต่เป็นการตอบตามวาทกรรมที่ผมชูไว้ตลอดเวลาว่า "พูดในสิ่งที่ทำและย้ำในสิ่งที่มี"  ซึ่งที่ผ่านมานั้น  ผมและทีมงาน ต่างก็ช่วยกันเอาจริงเอาจังกับการขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้กันจริงๆ 

          เรื่องดังกล่าว  หากย้อนไปสักเกือบสี่ปีที่แล้ว  ครั้งนั้นผมมีเงื่อนไขสำคัญก่อนรับตำแหน่งนี้อย่างชัดเจนหลายเรื่อง เช่นการชูประเด็นให้เปิดไฟเขียว เพื่อการไปเยี่ยมค่ายให้ครบทุกค่าย หรือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะที่ผ่านมานั้น  ต้องยอมรับว่ามีการไปเยี่ยมค่ายกันน้อยมาก  บางห้วงไปเยี่ยมแค่เพียง 2-3 ค่ายเท่านั้น  มิหนำซ้ำยังเลือกไปเยี่ยมแต่เฉพาะค่ายใหญ่ๆ ทั้งที่ความเป็นจริงในเดือนตุลาคม  และเดือนมีนาคมของแต่ละปีนั้น มีการออกค่ายมากกว่า 20 ค่ายต่อเดือน 

          ก่อนการออกค่าย  ผมและทีมงานจะจัดกิจกรรมปฐมนิเทศชาวค่าย  ระยะแรกเริ่มเราใช้ชื่อว่า “ปฐมนิเทศการจัดกิจกรรมนอกสถานที่”  แต่ในระยะหลังเราใช้วาทกรรมประมาณว่า “จัดการความรู้สู่ผู้นำค่าย”  โดยการนำเอาแกนนำค่ายแต่ละค่ายมาอบรม สัมมนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ค่ายร่วมกัน

          สิ่งที่พูดถึงในเวทีเหล่านั้น  ประกอบด้วยสาระหลักคือ ความรู้เกี่ยวกับการทำงานในชุมชน  ความรู้เกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม  ความรู้เกี่ยวกับการบูรณาการเรื่องการเรียนรู้ชุมชนกับการให้บริการแก่ชุมชน  การถอดความรู้ในมิติแห่งการเรียนรู้วิถีชุมชนควบคู่ไปกับมิติของกิจกรรมค่าย  โดยที่บางครั้ง ผมและทีมงานจะรับบทบาทการบรรยายเอง บางครั้งก็เชิญวิทยากรมาบรรยาย  แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการเปิดโอกาส หรือการสร้างเวทีให้นิสิตเป็นวิทยากรบรรยาย และร่วมแชร์ความคิดกันและกัน
          เท่านั้นยังไม่พอ  เรายังแจกหนังสือ “เรื่องเล่าชาวค่าย”  และแสดงนิทรรศการภาพถ่ายชาวค่ายให้นิสิตได้ดูได้ชมกันแบบง่ายๆ และใกล้ชิด ซึ่งทั้งสองอย่าง  เป็นกระบวนการของการส่งเสริมและกระตุ้นให้นิสิตได้ส่งเรื่องเล่าเร้าพลังและภาพถ่ายมาร่วมแข่งขัน
ประชันโฉม

        อันที่จริงผมเองก็ไม่อยากเรียกว่าการประกวดเท่าไหร่นักหรอก  เพราะโดยเนื้อแท้นั้นผมคิดเสมอว่า  มันเป็นเพียงกุศโลบายเพื่อปลุกเร้าให้นิสิตตื่นตัวและเห็นความสำคัญของการส่งผลงานมาเป็น “คลังความรู้” ด้วยหวังเองลึกๆ ว่า คลังความรู้ที่ได้มานั้น  ทางผมและทีมงานจะแปลงไปสู่การเป็น "เครื่องมือ" ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของนิสิต  รวมถึงการจัดเก็บไว้เป็น "จดหมายเหตุ" ของการพัฒนานิสิต และองค์กรนิสิตสืบต่อไปเท่านั้นเอง  โดยในบางครั้ง ก็มอบรางวัลเป็นเกียรติบัตร  บางครั้งก็มอบรางวัลเป็นทุนการศึกษา  แถมยังจับเอาคนต้นเรื่องมาเปิดเวทีนั่งเสวนากันอีกรอบ  เพื่อบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กันฟังอีกหนในเวที “ลมหายใจปัญญาชนคนชาวค่าย”  ซึ่งคราวนี้คนที่มาร่วมงาน ก็มีทั้งคนที่เคยไปค่ายนั้นๆ มาสดๆ ร้อนๆ  หรือบางคนก็เพิ่งพลาดโอกาสการไปค่ายนั้นๆ มาเมื่อไม่นาน  พอมาถึงงานนี้ก็ยังสามารถซึมซับเรียนรู้ความเป็นค่ายได้อย่างไม่เสียโอกาส

         และผมก็เรียกกระบวนการนั้นภายใต้วาทกรรมว่า “ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้”   นั่นเอง... 

          การออกเยี่ยมค่ายในแต่ละครั้ง  เจ้าหน้าที่จะต้องมีของฝากติดไม้ติดมือไปด้วยเสมอ  บางครั้งเป็นผลไม้  พืชผัก  ขนม  หรืออาหารการกินต่าง ๆ  ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้จริงสำหรับชาวค่ายและชาวบ้าน

          การไปเยี่ยมในแต่ละครั้ง  เราไม่เคยเรียกมันว่า “นิเทศค่าย”  เพราะเราถือว่าเป็นการไปเยี่ยมเยียนพบปะกับนิสิต 
          เราไปขอบคุณหัวใจแห่งจิตอาสาของนิสิตที่แบกความเป็นมหาวิทยาลัยไปอย่างล้นบ่า 
          เราไปเพื่อขอบคุณชาวบ้านที่เปิดพื้นที่ชุมชนให้นิสิตได้เข้าไปเรียนรู้
          และเราเพื่อกราบขอบพระคุณชาวบ้านที่เปิดใจให้นิสิตได้กลายเป็นลูกฮักอีกคน..

          นอกจากนี้  เจ้าหน้าที่จะยังถือโอกาสพูดคุยถึงการทำงาน ปัญหาอุปสรรคทั้งการเรียนรู้ในชุมชน  การทำงานในแต่ละวัน  งบประมาณการเบิกจ่าย การเจ็บป่วย การกินอยู่  ความร่วมมือของชุมชน รวมถึงการฝากแบบสอบถามให้นิสิตและชาวบ้านได้ร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อใช้เป็นทุนในการพัฒนาต่อยอด ...และนั่นยังรวมถึงการนัดแนะองค์รวมของการกลับมามอบค่ายอีกรอบ

          เช่นเดียวกันนั้น  เจ้าหน้าที่ก็ไม่ละเลยที่จะบันทึกภาพต่างๆ และขอไฟล์ภาพจากนิสิต  เพื่อมาลงเว็บของมหาวิทยาลัย  เรียกได้ว่ารายงานผลก่อนปิดค่ายเลยทีเดียว  พร้อมๆ กับการบันทึกภาพเคลื่อนไหวมาตัดต่อเป็น “วีดีทัศน์”  และส่วนหนึ่งก็นำมาทำเป็นโปสการ์ด  หรือไม่ก็นำมาเขียนเป็นจดหมายข่าว รวมถึงนำไปทำเป็นแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์อีกทอดหนึ่ง และทั้งหมดนั้น  ก็เพื่อสร้างเป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนานิสิตล้วนๆ
         ถัดจากนั้น  ครั้นกลับมายังมหาวิทยาลัย ก็นำเอาแบบสอบถามมาประมวลผลอีกรอบ  เสร็จแล้วก็แจกจ่ายกลับไปยังองค์กรต่างๆ เพื่อเป็นการสะท้อนผลการทำงาน เพื่อปรับปรุงแก้ไข และต่อยอด...ซึ่งบางครั้งเป็นแบบสอบถามทั่วไป  แต่บางครั้งก็ทำในรูปของวิจัยเล็กๆ ก็มี      

          ครับ นี่คือกระบวนการง่ายๆ ที่ทางเราไม่เคยละเลย  .. ใกล้ ไกลแค่ไหน  เราก็ต้องสัญจรไปเยี่ยมให้จงได้  เพราะเรารู้และตระหนักว่า  นิสิตชาวค่ายนั้นควรค่าต่อการไปเยี่ยมเยียนเป็นที่สุด  พวกเขากำลังเป็นนักแสวงหา  พวกเขากำลังเรียนรู้วิถีแห่งการให้  เรียนรู้วิถีแห่งการเป็นผู้รับ  เรียนรู้ความงามของการมีอยู่ของชีวิต  และที่สำคัญ  พวกเขาแบกเอาความเป็นมหาวิทยาลัยไปอย่างเต็มล้น  ไฉนเลยพวกเราจะนั่งงอมืองอเท้าอยู่ในสำนักงานได้

          ดังนั้น  ต่อให้งานชนงานจนแทบเป็นลมล้มพับ  ทีมงานของผม ก็ไม่เคยที่จะถอดใจไปเยี่ยมค่าย  ใกล้ ไกล ทุรกันดารสักแค่ไหน  หัวใจของพวกเราก็ดุ่มเดินไปถึง...มิหนำซ้ำยังชวนองค์การนิสิต สภานิสิต เจ้าหน้าที่ในสายงานอื่นๆ  ตลอดจนการพ่วงพาอาจารย์ที่ปรึกษาของชาวค่ายติดสอยห้อยตามไปด้วย

          นั่นแหละ  ผมถึงพูดอย่างชัดแจ้งและเข้มข้นว่า “งานเยี่ยมค่าย ไม่ใช่ภารกิจ แต่เป็นพันธกิจทางใจ”

 

 หมายเหตุ : ภาพจากงานประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ

หมายเลขบันทึก: 405377เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2010 21:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม 2017 09:17 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

สวัสดีค่ะ

  • ชอบประโยคนี้มากค่ะ“งานเยี่ยมค่าย ไม่ใช่ภารกิจ แต่มันเป็นพันธกิจทางใจ”
  • ทำด้วยใจ....จึงมีความสุข...และขอให้กำลังใจชาวค่ายด้วยค่ะ....ทุกครั้งที่นิสิตออกค่าย จะได้อ่านเรื่องราวดีๆ เสมอๆ
  • ขอบคุณค่ะ

สวัสดียามเช้าค่ะอาจารย์

      เยี่ยมค่ายด้วยใจจริงๆค่ะ ชื่นชมและเป็นกำลังใจในการทำงานค่ะ

          

สวัสดีค่ะพี่พนัส...

เยี่ยมค่ายภารกิจทางใจ...กำลังใจของนักศึกษานะคะ

มาเป็นอีกหนึ่งกำลังใจค่ะ ^_^

สวัสดีค่ะ

น้องสองคนและหลานชายทั้งสองหนุ่ม  คงสบายดีนะคะ  คราวก่อนที่ยายคิมไปค่ายเยาวชนที่บ้านห้วยปลาหลด แม่สอด ตาก นั้น

มีน้องสาวคนหนึ่งเดินทางมาจาก กทม.ไปร่วมกิจกรรมด้วย เธอบอกว่า "หนูเขียนบล็อกเพราะ อาจารย์พนัส ฯ หนูรักค่าย ชอบกิจกรรมค่าย ก็เพราะอาจารย์พนัส เนื่องจากหนูเป็นลูกศิษย์อาจารย์พนัสค่ะ"

ยายคิมฟังแล้วภูมิใจแทนมากนะคะ

คราวหน้าวันที่ ๒๑ ถึง ๒๔ มกราคมที่น่าค่ะ  อย่าลืมไปเยี่ยมกันนะคะ

สวัสดีค่ะอาจารย์

มาเยี่ยมค่ายค่ะ..ไม่ค่อยได้มาแวะกันนานแล้วนะคะ...วันนี้เลยมาชวนไปชมอารีรังค่ะที่นี่นะคะhttp://gotoknow.org/blog/0815444794/405547

"ค่าย" เป็นกิจกรรมที่สร้างเด็ก ๆ ให้รู้จักรับผิดชอบต่อสังคมที่เขาจะเติบโตไปในอนาคต

ยิ่งฝึก ยิ่งโต (ทางปัญญา)

ขอบคุณคนดี ๆ อย่างท่านอาจารย์พนัสครับ ;)

สวัสดีค่ะ

   การไปเยี่ยมค่ายด้วยใจ  บางคนที่ค่าย จะดีใจและรู้สึกอบอุ่นไม่ถูกทอดทิ้ง ในขณะที่เขาอาจจะมีปัญหาบ้าง  เป็นกำลังใจอย่างดีมากเลยค่ะ

    

ตอบแบบครั้งหนึ่งเคยเป็นคนชาวค่าย

การมีอาจารย์หรือทีมงานมาเยี่ยมมันทำให้มีกำลังใจ  แค่ยิ้ม  แค่ทักทายมันทำให้หัวใจพองโตได้ค่ะอาจารย์...รู้ว่าเราไม่ถูกทอดทิ้ง  รู้ว่าเรามีคุณค่า

ช่วยกันเติมกำลังใจ  และคุณค่าให้ชาวค่ายค่ะ

  • สวัสดีค่ะ
  • บุษราแวะมาเยี่ยมเยียนกันค่ะ  สบายดีนะค่ะ
  • มีความสุขกับวันทำงานดี ๆ ค่ะ
  • ขอบคุณค่ะ

                                

สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน

ความฝัน ความหวัง กำลังใจ .. กลไกในการดำเนินชีวิต

มากกว่าภารกิจ คือพันธกิจทางใจ .. ส่งกำลังใจ ด้วยระลึกถึงค่ะ

สองหนุ่มน้อยสบายดีนะคะ คงโตขึ้นหลายเด้อค่า คิดถึงๆ :)

งานมากมายหรือค่ะ  2 หนุ่มน้อยเป็นอย่างไรบ้าง

ขอชื่นชมและให้กำลังใจการทำงานที่สร้างสรรค์ และนอกเหนือจากคำว่า "หน้าที่" ครับ

-ปณิธิ ภูศรีเทศ

เวลาผันผ่าน วันวานล่วงเลย ค่ายบ่มเพาะ ความทรงจำ ประทับใจ จากรุ่นสู่รุ่น .. ด้วยรฤกค่ะ :)

สวัสดีค่ะอาจารย์แผ่นดิน

มาเยี่ยมด้วยความระลึกถึงค่ะ

สวัสดีค่ะอาจารย์

    มาเยี่ยมอาจารย์ค่ะ..22 ธ.ค.นี้คงมีโอกาสถ่ายภาพร่วมกับอาจารย์ที่ มมส.นะคะ 

  • การไปเยี่ยมค่ายของทุกปี  บอกได้เลยว่ามีความปลื้มใจกับน้องๆ ที่เสียสละความเป็นส่วนตัวของตัวเอง  เพื่อไปทำประโยชน์ให้กับสังคม  และแสวงหาประสบการณ์ในการออกค่ายในช่วงปิดเทอม  
  • และในการเดินทางในแต่ละครั้งใกล้ -ไกลเราก็จะตามไปให้กำลังใจพวกเขาชาวค่ายโดยจะมีของติดกินติดไม้ติดมือไปฝากพวกเขา  เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้พวกเขาได้มีกำลังใจในการทำงานต่อไป

 

สวัสดีครับ...

  • ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยดูแลสุขภาพด้วยนะครับ...บอสสส
  • ผมรู้สึกว่าชีวิตการทำงานกิจกรรมคงไม่มีประโยชน์อันใดเลยหากว่าเราขาดนักกิจกรรมอย่างน้องๆนิสิตเหล่านั้นไป
  • และนั่นก็ไม่ใช่ภารกิจด้วยแต่เป็นความผูกพันทางใจอย่างที่บอสสว่าเพราะความผูกพันไม่จำกัดคำว่าใกล้หรือไกล
  • ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญเกินไปกว่าการได้ดูแลและให้กำลังใจพวกเขา...คนชาวค่ายผู้เสียสละ...

ขอบคุณมากครับที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางตามถนนสายกิจกรรม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท