เมื่อวาน วันอังคารที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ ผมได้ทราบข่าวคราวจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆจากหนองบัว รวมทั้งผ่านเว๊บล๊อกเวทีคนหนองบัวว่าคุณครูเก่าแก่ของคนหนองบัวหลายรุ่น คือ คุณครูอุดม โต๊ะปรีชา ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้วเมื่อเช้าวานนี้
คุณครูอุดม โต๊ะปรีชาเป็นคุณครูเก่าแก่ดั้งเดิมที่สุดท่านหนึ่งของโรงเรียนหนองคอกหรือโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเมื่อก่อนนั้น หนองบัวเป็นชุมชนที่ห่างไกลความเจริญ อยู่บ้านนาป่าดง ครูขาดแคลนทั้งในระดับประถมและมัธยม คุณครูหนึ่งคนจึงต้องสอนและทำหน้าที่หลายอย่างทั้งเพื่อเด็ก โรงเรียน รวมทั้งงานชุมชนและหน่วยงานสาธารณะต่างๆที่อยู่ในอำเภอ คุณครูอุดม โต๊ะปรีชาของหนองคอกและครูของคนหนองบัวก็เช่นกัน คุณครูต้องสอนทั้งอาหารและคหกรรม ศิลปะและวาดเขียน วิชาลูกเสือ และบางครั้งก็ดูแลกิจกรรมวิชาเกษตร สังคมศึกษา ประวัติศาสตร์
นอกจากนี้ คุณครูนับว่าเป็นครูที่ส่งเสริมกิจกรรมของสาธารณะ ทั้งของโรงเรียนและของอำเภอมากที่สุดท่านหนึ่ง ท่านเป็นมือถ่ายรูปกิจกรรมต่างๆ ทั้งของโรงเรียนและของอำเภอหนองบัว นับแต่ยุคที่คนหนองบัวส่วนใหญ่ไม่เคยถ่ายรูป คุณครูมีกล้องแบบ Single Lens Reflex กับจักรยานคู่ชีพ ไปทุกหนแห่งจนผู้คนเห็นจนเจนตาว่าในอำเภอหนองบัวมีอยู่คนเดียว ก่อนที่ต่อมาจะมี คุณครูทิม บุญประสม เล่นกล้องถ่ายรูปและทำห้องอัดขยายรูปขาว-ดำในบ้านพักครูของตนเอง กับ ร้านถ่ายรูปแสงสุริยา ในตลาดหนองบัวซึ่งมาในยุคหลังคุณครูหลายปี
เมื่อครั้งที่คุณครูสุนทร สันคามิน เป็นคนดูแลกิจกรรมลูกเสือและเนตรนารี รวมทั้งการทำวงดุริยางค์และการซ้อมเดินสวนสนามในโอกาสต่างๆ และคุณครูทิม บุญประสมกับคุณครูปรีชา (ยังนึกนามสกุลท่านไม่ออก) บุกเบิกการตั้งวงดนตรีและปรับปรุงวงดุริยางค์ของโรงเรียน ทว่า ขาดงบประมาณและขาดเครื่องดนตรีหลายอย่าง คุณครูก็เป็นท่านหนึ่งที่ช่วยสมทบทุนและเสริมแรงสารพัดที่ท่านจะทำได้ กระทั่งไปตะพานหินและควักสตางค์ของตนเองซื้อทรัมเป็ตทองเหลืองอย่างดีตัวหนึ่งมาให้ใช้เล่นไปก่อนแล้วค่อยหาเงินมาจ่ายคืนคุณครูในภายหลังในราคาต่ำกว่าที่ท่านได้ซื้อมา
หลายคนมีความทรงจำดีๆต่อคุณครูอุดม โต๊ะปรีชาของเรามากมาย รวมทั้งผม โดยเฉพาะการลงโทษด้วยการบิดพุงเด็กๆผู้ชายแทนการตีด้วยไม้เรียว ซึ่งมีอยู่คนเดียว และอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเล่าผจญภัย ถีบจักรยานยกกล้องในมือทำท่าเหมือนปืนขู่โจร ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ ยิ่งแก่ตัวและมองย้อนกลับไปก็ยิ่งนึกขำ
วิธีบิดพุงนั้นมันน่าจะจั๊กจี้ ทว่า ใครที่โดนต่างก็ออกปากเหมือนกันว่าเจ็บและจุก ส่วนการขี่จักรยานแล้วยกกล้องในมือขู่จนโจรหนีกระเจิงนั้น มานึกๆดูแล้ว น่าจะเป็นคุณครูเล่าให้เป็นเรื่องตื่นเต้นอำพวกเราให้มีนิทานฟังกันสนุกๆเสียมากกว่า เพราะคุณครูท่านเป็นคนถีบจักรยานช้า รอบคอบ รัดกุม และไม่น่ากลัวอย่างสิ้นเชิง แววตานิ่งเฉยทว่าเหมือนมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา กับบุคลิกดังกล่าวของท่านนั้น แม้นถือปืนจริงๆขู่ก็เชื่อว่าโจรผู้ร้ายก็จะไม่กลัว อีกทั้งพวกเราต่างก็ทราบโดยทั่วกันเป็นอย่างดีว่า คุณครูไม่ใช่คนที่จะทำสิ่งที่เป็นความเสี่ยงใดๆอย่างแน่นอน เพราะฉนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องอำและเล่าให้ตื่นเต้นประสาโรงเรียนบ้านนอกในยุคนั้นของพวกเรา
ผมยังนึกถึงภาพคุณครูออก เวลาพูดถึงตอนปล่อยมุขเด็ดว่าผู้ร้ายพอเห็นคุณครูยกกล้องในมือใส่ ความที่ไม่เคยเห็นกล้องถ่ายรูปและท่าทางนักเลง ก็ผงะและวิ่งหนีกระเจิง....คุณครูพูดถึงตรงนี้ก็จะทำเป็นหรี่ตา กระหยิ่มแบบมาดพระเอก...รอให้พวกเรารอฟัง พอได้จังหวะก็จะเล่าต่อ พวกเราก็ชอบ และยิ่งกลับไปนึกถึงก็ยิ่งรักคุณครูมากจริงๆ
เมื่อวานที่ผมได้ทราบข่าวนั้น คุณครูสืบศักดิ์ ปฏิสนธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนหนองบัว ซึ่งเป็นศิษย์หนองคอกของคุณครูรุ่นเดียวกับผม นอกจากแจ้งข่าวให้ทราบแล้วก็ได้คุยกันซึ่งทำให้ผมเพิ่งได้ทราบอีกหลายอย่างที่คุณครูได้ทำให้กับคนหนองบัว โดยเฉพาะกองทุนมูลนิธิหนองบัว
คุณครูสืบศักดิ์ เล่าให้ฟังว่าหลังจากเกษียณแล้ว คุณครูอุดม โต๊ะปรีชาก็มักทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ให้กับเด็กหนองคอกและคนหนองบัวอยู่เสมอ ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือท่านได้ทั้งกองทุนมูลนิธิหนองบัว ด้วยเงินทุนส่วนตัว ๔๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นกองทุนนำเอาดอกเบี้ยและรายได้ที่เกิดจากการทำกิจกรรม ไปส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาและสังคมของคนหนองบัว ปีหนึ่งๆกองทุนจากมูลนิธิดังกล่าวจะมีดอกเบี้ย ๑ หมื่นกว่าบาท มูลนิธิที่คุณครูก่อตั้งขึ้นก็จะนำไปเป็นทุนการศึกษาของเด็กๆรวมทั้งให้การช่วยเหลือฉุกเฉินแก่คนทุกข์ยากและประสบภัยในโอกาสต่างๆ
นอกจากนี้ คุณครูได้ซื้อที่ดินและอุทิศให้เป็นของมูลนิธิไว้ ๑ แปลง ขนาด ๙๙ ตารางวา คุณครูได้ขอให้คนหลายฝ่ายในหนองบัวซึ่งโดยมากก็เป็นลูกศิษย์เก่าแก่หลายรุ่นของคุณครูมาร่วมกันเป็นกรรมการและดำเนินกิจกรรมต่างๆตามแนวทางที่คุณครูและกรรมการร่วมกันพิจารณา
คุณครูสืบศักดิ์เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังก็เนื่องจากก่อนที่ท่านจะสิ้นลมนั้น คุณครูท่านขอให้ลูกหลานนำเอาเสื้อของมูลนิธิหนองบัวไปใส่ให้ แล้วก็บอกฝากให้ช่วยกันดูแลต่อไปด้วย ท่านให้คุณครูสืบศักดิ์ช่วยเป็นประธานมูลนิธิและให้อยู่ในความดูแลของกรรมการที่จะช่วยกันดำเนินการต่อไป ผมได้ฟังแล้วก็ตื้นตันใจและตระหนักได้อยู่เสมอว่าท่านก็ปฏิบัติในความเป็นผู้ให้แก่ลูกศิษย์และคนหนองบัวมาอย่างนี้ตลอดชีวิตการเป็นครู
ลูกหลานและลูกศิษย์ลูกหาได้เตรียมการบำเพ็ญกุศลศพของท่าน คุณครูอุดม โต๊ะปรีชา ที่วัดหนองกลับตั้งแต่เมื่อวานนี้ไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๓ กำหนดการต่างๆและการฌาปนกิจ ญาติพี่น้องและลูกศิษย์ลูกหาที่หนองบัวกำลังช่วยกันปรึกษาหารือในรายละเอียด ซึ่งก็คงจะมีคนนำมาบอกกล่าวให้ทราบในวันสองวันนี้
ขอกราบคารวะดวงวิญญาณของคุณครู และขอชวนเชิญทุกท่านที่เป็นลูกศิษย์ เพื่อนครู คนหนองบัว พ่อค้า ข้าราชการ ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองและบริหารจัดการท้องถิ่น ตลอดจนผู้เคารพนับถือของท่าน ได้กล่าวอาลัยหรือเขียนสิ่งต่างๆให้กับคุณครู ทั้งเพื่อเก็บไว้ในบันทึกนี้และนำเอาไปไว้เผยแพร่แสดงความเคารพคุณครูต่อไปในโอกาสต่างๆเมื่อช่วยกันทำกิจกรรมดำเนินงานมูลนิธิหนองบัว รวมทั้งขอเชิญทุกท่านใช้บันทึกนี้เป็นสื่อ บอกกล่าวและปรึกษาหารือเตรียมการต่างๆเพื่อเป็นโอกาสหนึ่งในการแปรความอาลัยต่อคุณครูอย่างยิ่งของทุกท่านในครั้งนี้ ไปสู่การได้ร่วมกันสืบสานปณิธานคุณครูอุดม โต๊ะปรีชา ตามพลวัตรปัจจัยสบายๆของทุกท่านครับ.
.....................................................................................................................................................................
ขอชวนเชิญ
ได้ทราบอีกอย่างหนึ่งว่า คุณครูอุดม โต๊ะปรีชา นอกจากตั้งกองทุนมูลนิธิหนองบัว ด้วยทุนตั้งต้นจากเงินส่วนตัวของท่าน ๔๐๐,๐๐๐ บาทแล้ว ท่านได้รวบรวมเงินซื้อที่ดินแปลงหนึ่งขนาด ๙๙ ตารางวาและยกให้กับมูลนิธิด้วย ผมได้หารือกับคุณครูสืบศักดิ์ว่า หากรวบรวมวัสดุสิ่งของไปสร้างเป็นที่พบปะและทำกิจกรรมทั้งของมูลนิธิ รวมทั้งเป็นที่พบปะของศิษย์เก่าและคนหนองบัวก็คงจะเหมาะสมดี โดยยังไม่ต้องทำให้สิ้นเปลืองมาก ทำตามกำลังทรัพย์และสิ่งของ เอาแค่เทพื้น ตั้งเสามุงหลังคาคุ้มแดดฝน แล้วก็ทำห้องพอได้เก็บวัสดุ-สิ่งของเครื่องใช้ ที่เหลือก็ซื้อเก้าอี้เอาไว้นั่งประชุมกัน โต๊ะ บอร์ด สำหรับใช้เป็นเวทีชุมชนง่ายๆ
เลยบอกกล่าวไปด้วยครับ เผื่อจะมีใครที่ไปร่วมงานจะถือเป็นโอกาสได้ทำอย่างอื่นไปด้วย สิ่งหนึ่งที่อาจนึกถึงได้ก็คืออาจจะหิ้วสิ่งของ ปูน หิน ไปแทนหรีด นำไปรวมๆกันสะสมทีละเล็กละน้อยไว้ก็ได้นะครับ เมื่อถึงตอนงานงิ้ว และหลายคนกลับบ้าน ก็จะสามารถตั้งกองผ้าป่าได้อีกนะครับ พอได้สิ่งของพอสมควรแล้วก็สร้างกันเลย ก็น่าจะดีนะครับ.
เข้ามาอ่านบันทึก และน้อมระลึกถึงความงดงามที่คุณครูอุดม ท่านทำเป็นต้นแบบไว้ค่ะ......ขอบพระคุณนะคะสำหรับบันทึกที่งดงาม
ขอคารวะต่อคารวะธรรมของคุณใบไม้ร้องเพลงเช่นกันครับ งดงามดีครับ
คุณฉิก คุณเสวก ได้ไปไหม หากได้มีโอกาสกลับบ้าน ก็ขอฝากถ่ายรูปเก็บไว้เยอะๆได้ไหมครับเนี่ย เชื่อว่าจะเป็นงานหนึ่งที่มีคนเก่าแก่ทุกสาขาของหนองบัวอยู่ในงานทุกวันเลย หาโอกาสรวบรวมไว้อย่างนี้ได้ไม่บ่อยนัก
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับกับการจากไปของ คุณครูอุดม โต๊ะปรีชา เห็นด้วยกับรายการเชิญชวนของอาจารย์ ต่อไปจะได้มีรายการจัดกิจกรรมที่มูลนิธิได้ครับ
ว่ากันว่า Old teacher never die
กราบนมัสการพระอาจารย์มหาแลครับ
ขอร่วมไว้อาลัยแด่คนดีที่จากไปแต่กาย..ผู้อยู่เบื้องหลังรำลึกถึงมากมายนะคะ
ในนามลูกศิษย์คุณครูและคนหนองบัว ต้องขอขอบพระคุณน้ำใจคุณพี่นงนาทด้วยอย่างยิ่งครับ
กราบนมัสการพระอาจารย์มหาแลครับ
กราบนมัสการพระอาจารย์มหาแล และสวัสดีพี่วิรัตน์ และทุกๆท่าน
สวัสดีครับฉิกครับ
สวัสดีทุก ๆ ท่านครับ
ตามมาเพื่อขอคารวะ ดวงวิญญาณของท่านอาจารย์อุดม......
ครูผู้ใหญ่ของลูกศิษฺย์ชาวโรงเรียนหนองบัวของเราครับ
เรียนพี่อาจารย์...ในเว็บhttp://www.watchari.com/board/index.php?topic=2234.msg10841;topicseen#msg10841 เขาก็แจ้งมาว่า
santi suwannapuek
สมาชิก
กระทู้: 0
(ไม่มีหัวข้อ)
« ส่งให้: ♪♪Webmaster♪♪ เมื่อ: 06,ตุลาคม,2010, 10:12:18 PM » อ้างถึง ตอบ ลบทิ้ง
--------------------------------------------------------------------------------
ส่งข่าวอาจารย์ธรรมวิทย์ สุวรรณพฤกษ์ เสียชิวิตเเล้ว ศพ ตั้งที่ ศาลา 1 วัดชลประทานฯ เเคลาย ปากเกร็ด ศพ จะเผาเสาร์ ที่ 9 นี้เเล้ว ลูกศิษย์ เพื่อน ญาติ พี่น้อง โปรดเเจ้ง ทางญาติไม่ได้ประกาศให้ทราบ
ขอเอางานศิลปะมาคารวะดวงวิญญาณของคุณครูอุดม โต๊ะปรีชาของลูกศิษย์ลูกหาโรงเรียนหนองคอกครับ เวลาผมคิดถึงคุณครูอุดมนั้น อริยาบทที่ผมมักคิดถึงคุณครูมากกว่าตอนอื่นๆก็มักจะมีอยู่ ๓ อริยาบท คือ ตอนที่คุณครูกำลังถีบจักรยาน ท่าเดินของคุณครูที่แต่งชุดลูกเสือ และการยืนวาดรูปด้วยชอล์คบนกระดานดำ
คุณครูแต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย ชุดลูกเสือของคุณครูนั้นก็สวยและงดงามกว่าเพื่อน หมวกของคุณครูกับหมวกลูกเสือของคุณครูสุนทร สันคามินนั้นจะเหมือนกันคือเป็นหมวกสานอย่างดี สีน้ำตาลเข้ม
ห่วงที่ติดผ้าผูกคอนั้น คนทั่วไปก็จะใช้ห่วงทองเหลือง แต่คุณครูจะใช้ห่วงที่สานด้วยเส้นหวายและทาสีน้ำตาลเข้ม หัวเข้มขัดของคุณครูก็ทำด้วยหัวทองเหลืองที่หนาและลายชัดเจนสวยงามกว่าใคร เมื่อได้เรียนศิลปะแล้วผมจึงพอจะนึกภาพออกว่าคุณครูมีความรู้ที่จะเลือกได้ดีกว่าคนอื่น เพราะคนที่ดูลายนูนสูงและงานหล่อโลหะเป็นก็จะรู้ว่าหัวเข็มขัดลูกเสือของคุณครูนั้นดีและอย่างแพงกว่าใคร คุณครูจะขัดบรัสโซจนมันวาว จำได้ว่าหัวเข็มขัดทองเหลืองของคุณครูอุดม โต๊ะปรีชากับคุณครูสุนทร สันคามิน จะวาววับกว่าใคร
ครั้งหนึ่ง คุณครูอุดมกับคุณครูของพวกเรา จัดให้รุ่นพวกผมอยู่ค่ายวิชาลูกเสือ-เนตรนารีในป่าข้างโรงเรียน ซึ่งในปัจจุบันนี้ บริเวณที่เป็นป่าก็คือบริเวณที่เป็นสนามบาสของโรงเรียนนั่นเอง เมื่อนอนในป่า คุณครูอุดมและคุณครูท่านอื่นๆ ก็จะคอยสร้างสถานการณ์ให้พวกเราเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาเป็นกลุ่ม หลักคิดก็คือการใช้ชีวิตลูกเสือ เรียนรู้ความมีระเบียบวินัย เรียนรู้ความเป็นพลเมืองดีของสังคม มีความสามัคคี รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รวมทั้งเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถดำรงชีพและอยู่รอดในข้อจำกัดต่างๆ กิจกรรมต่างๆที่คุณครูสร้างสถานการณ์ให้พวกเราได้ทำและแก้ปัญหา ก็จะเป็นคะแนนของกลุ่มและหมู่ลูกเสือไปด้วย
เย็นวันหนึ่งระหว่างตั้งค่าย หมู่ลูกเสือก็เตรียมหุงหาอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องสนุกและให้ความรู้สึกเผชิญความเป็นจริงของชีวิตได้อย่างดียิ่ง เพราะคนส่วนใหญ่หุงข้าวและทำกับข้าวด้วยตนเองยังไม่เป็น เพียงแค่ก่อไฟเป็นและหุงข้าวไม่ให้แฉะหรือไหม้ ก็แย่แล้ว เป็นกิจกรรมที่ให้บทเรียนการดำเนินชีวิตรวมกลุ่มเป็นอย่างดีที่สุด
หลังจากหุงหาอาหารและเตรียมการต่างๆเสร็จแล้วก็เตรียมรับประทานอาหารกัน แต่จู่ๆคุณครูก็ออกมาประกาศท้าทายแก่หมู่ลูกเสือทั้งหมดว่า ตอนนี้ถึงเวลากินข้าวแล้ว เราจะกินข้าวพ้อมกัน แต่ว่า ตอนนี้มีพวกเราเอาน้ำพริกมาให้ครู ครูมีน้ำพริกแต่ไม่มีผักกิน อยากกินผักบุ้ง แต่ผักบุ้งดิบก็จะไม่สะอาด เลยอยากได้ผักบุ้งลวกกินกับน้ำพริก ลูกเสือหมู่ไหน ไปหาผักบุ้งมาได้และทำผักบุ้งลวกมาให้ครูกินได้ จะให้คะแนนไปตามลำดับก่อนหลัง หมู่ไหนได้ก่อน หมู่นั้นได้มากที่สุด และหากไม่เกิน ๑๐ นาที ก็เอาไปเลยเต็ม....ประมาณนี้
เป็นเรื่องสิครับ หูผึ่งและตื่นเต้นจนลืมมื้อข้าวไปเลย ลูกเสือทุกหมู่รวมตัวและวางแผนกันปฏิบัติการในแต่ละกลุ่มของตนเองอย่างระวังความลับจะรั่วไหล จัดการแบ่งงาน มอบหมาย กำกับและบังคับบัญชาการปฏิบัติการกลุ่มของตนเองอย่างเป็นระบบ เรียกว่ารวมตัวกันเป็นกลุ่มจัดการความรู้เพื่อให้ทันใช้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เป็นต้นว่า วิธีไปหาผักบุ้งจะต้องไปทางไหน ไปอย่างไร ใครไปหา ใครจะไปหาฟืนและเชื้อเพลิง ใครจะก่อไฟ ใครจะไปหิ้วน้ำ จะเอาภาชนะอะไรมาต้มน้ำ ....แต่ละขั้นตอนถูกวิเคราะห์อย่างรวดเร็วและกระจายการปฏิบัติแข่งกับเวลาโดยพลัน
ปรากฏว่าเกือบทั้งหมดหน้าดำคร่ำเครียดกับการก่อไฟ..ก่อไฟไม่ติดครับ คุณครูก็ทำเป็นสร้างสถานการณ์เร่ง ทำเป็นว่าจะรอไม่ไหวแล้ว นานจังเลย
ในหมู่ผมนั้น เมื่อทำท่าจะก่อไฟไม่ติดเหมือนกับหมู่อื่นๆเหมือนกันก็ชักเริ่มสุมหัวกันใหม่ เพราะความรู้จากคุณครูวิทยาศาสตร์นั้นบอกแก่เราว่า กว่าน้ำในหม้อจะร้อนและเดือดได้ก็ต้องใช้เวลากว่า ๑๕ นาทีขึ้นไป แล้วนี่จะต้องรวมช่วงเวลาที่ก่อไฟไม่ติดกันอีก ทุกคนก็จนปัญญา
ผมในฐานะที่หุงข้าวเป็นและคุ้นมือกับการก่อไฟอย่างยิ่ง ก็เลยเสนอโมเดลใหม่ ซึ่งก็เล่นเอาเพื่อนๆตาค้าง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่า ในเมื่อก็ไม่มีวิธีอย่างอื่นแล้ว ก็เลยลองเชื่อและทำตามผม
ผมบอกว่าไม่ต้องก่อแล้วไฟ กว่าจะติดก็เป็นชั่วโมง ผมบอกว่าให้ไปหาใบไม้แห้งมาสักหอบหนึ่ง หญ้าแห้งหรือใบไม้แห้ง ไปเอามาเลย อีกคนหนึ่งให้ไปเอากระป๋องโอวัลติลเปล่าขนาดใหญ่ซึ่งในหมู่ของเรามีอยู่ ๑ ใบ มา เสร็จแล้วก็ตั้ง ๓ เส้า
แนวคิดและสูตรของเรานั้นจะเป็นการต้มผักบุ้งด้วยไอน้ำ พอได้ใบไม้มาแล้ว ก็นำใบไม้มากองใน ๓ เส้าหย่อมเดียว พอใบไม้ติดไฟ ก็เอากระป๋องโอวัลตินเปล่าๆขึ้นไปตั้งบน ๓ เส้าและเหนือเปลวไฟ เพื่อนคนหนึ่งให้เติมใบไม้ลงไปอย่าได้ขาด ใบไม้แห้งและหญ้าแห้งจะติดไฟได้เร็วและต่อเนื่อง ทันการณ์ยิ่งกว่าก่อด้วยฟืนอย่างที่ทุกกลุ่มกำลังทำแน่ๆ
อีกคนหนึ่ง เมื่อกระป๋องโอวัลตินร้อนฉ่ามากแล้ว ก็ให้ใช้ช้อนโต๊ะ ตักน้ำหยอดลงไปในกระป๋อง ความร้อนจะทำให้น้ำจำนวนน้อยกลายเป็นไออย่างรวดเร็ว เราจะหยอดน้ำลงไปอย่างต่อเนื่องสัก ๒-๓ ช้อน พอเกิดไอน้ำตลบแล้ว อีกคนหนึ่งก็ให้รีบใส่ผักบุ้งลงไปในกระป๋อง
ไอน้ำจะมีความร้อนกระจายได้ทั่วและทำให้ยอดผักบุ้งสลบ จากนั้นเราก็รีบเอาฝากระป๋องปิดให้ไอน้ำได้อบผักบุ้งไว้สักครู่ ทุกคนทำตามที่ผมบอก ปรากฏว่าเป็นไปอย่างที่วางแผนได้เป็นอย่างดี หมู่ขอผมได้ผักบุ้งลวกสุกและใส่จาน นำส่งไปถึงเต๊นท์ของคุณครูได้ก่อนใครเพื่อน อีกทั้งทิ้งช่วงกันไปนานเลยทีเดียวเพราะกลุ่มอื่นต้องก่อไฟและต้มน้ำเกินกว่า ๒๐ นาที ส่วนในหมู่ของเรานั้นได้ผักบุ้งสุกไม่เกิน ๑๐ นาที ผมไม่รู้ว่าคุณครูได้นำไปกินกันจริงๆหรือเปล่า แต่กิจกรรมครั้งนั้นนับว่าเป็นวิชาลูกเสือจากคุณครูที่ให้ความสนุกตื่นเต้นมาก
วิชาศิลปะที่คุณครูอุดมท่านสอน ก็เป็นวิชาหนึ่งที่ผมมักทำได้ดี แต่คะแนนก็จะไม่ดี คงจะเป็นอย่างที่ฉิกเล่าไว้แล้วนั่นแหละครับ แต่ผมก็ชอบ เพราะไม่ได้ชอบตรงได้คะแนน แต่ชอบตรงที่คุณครูทำให้มันสนุก ผมได้วิชาความรู้และฝีมือไปจากการอบรมสั่งสอนของคุณครูไป แล้วก็นำไปพัฒนาการเรียนรู้ ทำการทำงานได้พอควรแก่อัตภาพจนแม้นทุกวันนี้ จึงขอนำรูปเขียนของผมเองซึ่งเป็นรูปเขียนสีน้ำมัน เขียนเมื่อครั้งเรียนเพาะช่าง มากราบบูชาคุณครู ...ขอกราบคารวะคุณครูอุดม โต๊ะปรีชาร่วมกับทุกท่านครับ