เชือกที่ขึง ... มันตึงเหลือเกิน


สถาบันครอบครัวที่ล่มสลายอันเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ ปัจจัย สามารถเปลี่ยนอุปนิสัยของ "ผ้าขาว" หลาย ๆ ผืนให้กลายเป็น "ผ้าสีเทา" หรือ "ผ้าสีดำ" โดยยากที่ซักออกให้เหมือนเดิม

นอกเหนือจากสภาวการณ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นสอง อย่างที่คนในสังคมได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ แม้กระทั่งผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ยังองค์กรของตัวเองเช่นกัน โดยไม่ได้คิดจะหาทางทำให้ดีขึ้นจากความเชื่อดังกล่าว

ภาพที่เด่นชัดมากขึ้นจากเรื่องราวที่ผมได้สัมผัสและขอนำมาแลกเปลี่ยนกับท่านทั้งหลายกลับเกิดขึ้นกลับชีวิตของครูรุ่นใหม่ท่านหนึ่งที่ผมรู้จัก

จากอดีตเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยชั้นสองแห่งนี้ จบแล้วออกไปเรียนต่อสถาบันผลิตครูที่มีชื่อเสียงในอดีต ทางสายจิตวิทยาและการแนะแนว แล้วมีโอกาสกลับมาเป็นครูที่นี่อีกครั้ง

สายตาที่ผมได้เห็นแรก ๆ ก็ไม่แน่ใจนัก แต่พบความรู้สึกในใจว่า ทำไมน้องใหม่คนนี้ดูมีพฤติกรรมบางอย่างแปลก ๆ ไม่ค่อยเหมือนคนปกติมากนัก เช่น ชอบเดินก้มหน้า ก้มตา มนุษยสัมพันธ์น้อยมาก การมองเห็นคนหนึ่ง แต่ไม่เห็นอีกคนหนึ่งเป็นเรื่องปกติ ฯลฯ

ด้วยเหตุและปัจจัยหลาย ๆ อย่างจากสิ่งรอบข้าง ทำให้เริ่มทำความรู้จักน้องไว้บ้าง แต่เหตุแห่งการสงสัยยังคงมีอยู่มากมาย

ได้ทราบเรื่องราวชีวิตของน้องจากน้องอีกคนในสาขาวิชาเดียวกันที่เขาสนิทด้วย ก็ทำให้ทราบถึง ต้นเหตุของพฤติกรรมที่แปลก ๆ เหล่านั้น

ชีวิตครอบครัวประสบทุกข์เข็ญจากการล้มละลายจากญาติสนิท ย้ายครอบครัวจากเมืองหลวงหนีมาอำเภอแถวนี้ พ่อเป็นคนจีนโบราณที่ไม่ยอมให้ลูกสาวได้เรียนหนังสือ เพราะกลัวจะมีสามีก่อนจบ ลูกต้องดิ้นรนจากการอ้อนวอนของแม่เพื่อให้ได้เรียนในอำเภอเมือง ลูกไม่เคยเงินสักบาทจากพ่อ แต่ทำงานพิเศษเรียนจนจบ พร้อมส่งตัวเองเรียนจนจบโท

ตนเองต้องทำหน้าที่ดูแลน้องสาวสองคน เพื่อให้ได้เรียนสูง ๆ แทนพ่อ

น้องเล่าให้ผมฟังว่า "เขาเหมือนหัวหน้าครอบครัวที่ต้องดูแลจัดการทุกอย่าง"

คนที่เขารักมากที่สุด คือ ครอบครัวของเขาเอง น้องสาวสองคน แม่ และ พ่อ (ที่ไม่ยอมให้เขาเรียน)

แพลนชีวิตของเขา คือ ซื้อบ้านให้พ่อแม่ได้อยู่ที่นี่ ส่งน้องเรียนให้จบ ป.ตรี

ส่วนตัวเองเดินจากหอมาทำงานในมอทุกวัน ไม่มีแผนจะซื้อรถอะไรทั้งนั้น จะบอกตัวเองเสมอว่า เดินก็มีความสุขแล้ว ไม่อยากยุ่งหรือเป็นภาระของใคร ไม่ชอบ เกรงใจ และอยากอยู่คนเดียว ไม่ต้องนึกถึงใคร

ผมเพิ่งหาโอกาสพูดคุยกับน้องเขาในเย็นที่ผ่านมานี้ ทำให้เข้าใจในความเป็นตัวเขามากขึ้น แต่ผมกลับแทบมองไม่เห็นความสุขแท้ของเขาเลย มีแต่สุขที่อุปโลกข์ขึ้นจากความสุขเทียมที่เขาคิดเองอยู่คนเดียว

อารมณ์ค่อนข้างก้าวร้าว ใช้ความแกร่งปกปิดความอ่อนแอภายใน คำพูดที่ออกมาจากอารมณ์คือ คำพูดที่ไม่สนใจความรู้สึกของใครทั้งสิ้น มีคนเกลียดตัวเองมาก ๆ ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ใครรับไม่ได้ก็ช่าง

มีความเหงาและอ้างว้างในใจอยู่ตลอดเวลา แต่มักจะบอกใคร ๆ ว่า ชอบอยู่คนเดียว จะได้ต้องเกี่ยวกับใคร (ผมคิดว่า เป็นการหลอกตัวเองอย่างรุนแรง)

มีความทุกข์จะนั่งอยู่คนเดียว มีความสุขก็หาอัลกอฮอล์มานั่งกินคนเดียว หากมีเพื่อนก็นั่งกินอัลกอฮอล์เคล้าเสียงเพลง

พลังมืดดำครอบงำผมทันที รู้สึก "ทุกข์" แทน กับความสุขที่เขาว่ามา

ผมมองเห็น "พ่อแม่รังแกฉัน"

พ่อได้ทำร้ายลูกคนหนึ่งให้กลายเป็นคนตายด้านในความรู้สึก จากเรื่องส่วนตัวของพ่อ

 

น้องพยายามทำงานให้หนัก เพื่อเป้าหมายที่เขาไว้ คือ มีทุกอย่างให้กับครอบครัว

ผมถามเขาว่า "จริงจังเกินไป ระวังอายุจะสั้นนะ"

น้องตอบผมว่า "ประกันชีวิตไว้แล้ว เป็นอะไรไป พ่อแม่น้องก็สบาย"

ไม่รู้เหมือนกันว่า คำตอบนี้เป็นคำตอบที่สมควรแก่เหตุผลหรือไม่ ไม่แน่ใจเลย

 

หากพูดถึงด้านความรัก ... มีคนเคยเข้ามา แต่ก็กระเด็นไปไกล เพราะมีแต่ความรู้สึกรำคาญที่ต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัว

หัวใจหยุดเพียงครอบครัวเท่านั้น

ผมเลยแซวว่า "คงไม่มีผู้ชายคนไหนมาให้เลือก เพราะเขาคงกลัวหมด"

 

จาก "ใจมนุษย์ที่ละเอียดอ่อน" กลายเป็น "คนที่ใจหยาบกร้านมากขึ้น"

ผมมองเห็นอนาคตว่า "ความทุกข์" จะมาเยี่ยมเยือนตลอดชีวิต และชีวิตจะมีความสุขเป็นของญาติมิตรมากกว่าความสุขของตัวเอง

ผมคิดว่า เขาเหมือนคนที่ตายไปจากโลกนี้นานแล้ว ไม่ใช่ คนที่กำลังมีลมหายใจอยู่

ตายไปตั้งแต่วันที่พ่อได้ฆ่าลูกตัวเองด้วยความรู้สึกส่วนตัว

สิ่งที่เขาทำ คือ การลบคำปรามาสของพ่อ เท่านั้น ความสุขแท้นั้นไม่มีอีกต่อไป

 

ชีวิตที่มีปมมากมายเพียงนี้ มันหล่อหลอมชีวิตหนึ่งให้กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ในสายตาของคนทั่วไป ถึงแม้พระอรหันต์เห็นเช่นนั้น คงต้องคิดหนักว่า ทำอย่างไรดวงตาจะเห็นธรรมได้บ้าง

 

ผมทำได้แต่เพียงมองอยู่ห่าง ๆ ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้เลย เพราะใจน้องเขาปิดไปนานแล้ว เหมือน "น้ำเต็มแก้ว" ที่ไม่รับอะไรเลย นอกจากความคิดในใจของตัวเองเท่านั้น ยิ่งแนะ ยิ่งปิด ยิ่งคิด ยิ่งหนัก

เหลือแต่กำลังใจที่พอจะเติมให้ไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่พบกัน

 

เชือกที่ขึง ... มันตึงเหลือเกิน

 

คลายเชือกออกได้เมื่อไหร่ ใจคงสบายขึ้น

 

บุญรักษา ทุกท่าน ;)

 

ป.ล. รู้เรื่องจิต กลับไม่ได้ใช้ความรู้ คิด ช่วยตนเองเลย ยิ่งรู้ ยิ่งหลุด ผมยืนยันจากประสบการณ์ตรง

หมายเลขบันทึก: 396275เขียนเมื่อ 21 กันยายน 2010 01:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 23:14 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (28)

สวัสดีค่ะอาจารย์

เข้าใจและน่าเห็นใจค่ะ คลายเชือกออกได้ใจคงสบายขึ้น

 สวัสดีค่ะอาจารย์

  • เข้าใจได้ถึงความรู้สึกนี้เลยค่ะ สมัยก่อนลูกผู้หญิงมักจะไม่ได้เรียนเพราะเหตุผลนี้ ถ้าได้เรียนก็คือต้องทำงานไปด้วย
  • สิ่งที่เรามองว่าเป็นความทุกข์   อาจจะเป็นความสุขของเขาก็ได้ค่ะ
  • สุข เพราะ เขาได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้  ผ่านปัญหาอุปสรรคหลายๆอย่าง และประสบความสำเร็จได้ระดับหนึ่ง เขาคงไม่ต้องการอะไรอีกแล้วมั้งคะ  แม้แต่เพื่อน...
  • แต่ก็หวังว่า เขาจะทำหน้าที่ของความเป็นครูได้ดี  และมีเพื่อนร่วมงานที่พอจะทำให้เชือกเส้นนี้ยืดหยุ่นได้บ้างค่ะ
  • วันหนึ่งเมื่อเขามองเห็นโลกกว้างขึ้น เชือกเส้นนี้อาจจะคลายได้เองโดยอัตโนมัติค่ะ
  • เอาใจช่วยค่ะ

 

 

ปมต่างๆคงก่อตัวกลายเป็น .. ทิฐิ ..ไม่มีใครรู้ตัวเองหรอกว่า เราทิฐิสูงต่ำแค่ไหน...นอกจากเสียงของผู้้ิอื่น...

โลกที่สวยงาม..คงไกลเกินไป

แต่น่าจะยังไม่สายนะคะ

ขอเพียงมีคนที่เห็นใจ เข้าใจ

ใจคน..ไม่ใช่หินผา...หวังว่าจะมี..วันนั้น

... น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินยังกร่อน แต่หัวใจอ่อนๆ ของเธอทำด้วยอะไร ... คงมีสักวัน

นึกถึงเพลงนี้ ที่ป๋าฮำ ร้องบ่อยๆ เลยค่ะ ... ขอให้ครอบครัวน้องเค้า เข้าใจในเร็วพลัน ;)

อ่านเเล้วได้ข้อคิดดีมากเลยครับ

โดยสรุป ผมว่าทุกเรื่อง ให้สมดุล เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการขับเคลื่่อนชีวิต

ตึงมากไปก็ไม่ดี หย่อนมากไปก็ขาด

ขอบคุณครับ คุณพยาบาล ถาวร ;)...

กว่าจะคลายได้ ก็ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่นะครับ

ปม ... ที่เลือกใช้อันตรายเหลือเกิน

สวัสดีครับ พี่นก จุฑารัตน์ NU 11 ;)

พ่อแม่ยังคงรังแกฉันไปเรื่อย ๆ น่ะครับ

ความสุขของน้องเขา คือ ความสุขเทียม ที่ไม่ต่างไปจากการไม่ยอมรับความจริงในทุก ๆ วัน ... ทุกข์ถนัดครับ

สภาพแวดล้อมที่อยู่ก็แย่ใหญ่ ... อาจจะทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันก็ได้ครับ

รอให้โตกว่านี้ ประสบการณ์มากกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนตัวตนและวิธีคิดก็ได้ครับ

ขอบคุณครับ ;)

จิตใจของเขาถูกปิดด้วยอัตตาไปหมดแล้วครับ คุณ ครูเอ ;)

คนที่จะคัดง้างได้ มีแต่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

ได้แต่เห็นใจและสงสาร

ขอบคุณครับ ;)

คงต้องรอวันนั้นแล้วล่ะครับ คุณ ครู ป.1 ;)

ขอบคุณครับ

หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นครับ คุณ poo ;)

ขอบคุณครับ

ความสมดุลของชีวิต หรือ การเลือกทางสายกลาง

เป็นสิ่งที่ผมอยากเห็นจริง ๆ ครับ คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร ;)

ขอบคุณครับ ;)

พี่วัส

อ่านแล้วรู้สึกเหงาๆ แถมยังรู้สึกแปลกๆ แต่ตอบไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน

มันเหมือนบางส่วนหล่นหาย ไม่รู้ว่าคิดตามมากไปรึเปล่า 

เค้าอายุมากรึยังค่ะ ถ้ายังไม่มากสี่ว่าน่าจะยังพอเปลี่ยนได้...รึเปล่า ?

มนุษย์มักจะอ่อนลงด้วยความรัก ความปรารถนาดี และความจริงใจจากคนรอบข้างโดยเฉพาะยามเจอปัญหา สี่เชื่อว่า อ.เสือ ของใครๆ น่าจะช่วยคนๆ นี้ได้ (ถ้าไม่ไปทำเค้าฝันหนีดีฝ่อซะก่อน)

ยังงัยก็ส่งกำลังใจให้ทั้งพี่วัส และสาวน้อยคนนี้ด้วยแล้วค่ะ ขอให้ผ่านพ้นสุขเทียมอย่างรวดเร็ว เพราะสี่เชื่อว่าถ้าเคยทุกข์มาก ย่อมจะรู้สึกถึงความสุขที่เปี่ยมล้นได้มากเช่นกัน

bye bye

 

สวัสดีครับ น้อง สี่ซี่ ;)

เป็นความคิดเห็นที่ยาวที่สุดหรือเปล่า ???

รู้สึกแปลก ๆ ไม่ผิดหรอก เพราะน้องเขาคือคนแปลกในสายตาคนอื่น ๆ แน่ ๆ หากไม่รู้จักภูมิหลัง ;)

อายุน้อยกว่าน้อง สี่ซี่ เกือบรอบมั้งครับ อิ อิ

ก็เพราะดันไปทำเขาขวัญหนีดีฝ่อนี่แหละเลยเป็นปัญหา 555

แหม ... ความรักที่ไม่มีให้ใครนอกจากครอบครัว

ความสุขที่เสมือนไม่มีเงื่อนไข ก็ไม่ใช่อีก

สงสารก็สงสาร แต่คงต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียว

กว่าเชือกจะผ่อนลง

ขอบคุณครับ น้อง สี่ซี่ ;)

เป็นชีวิตที่น่าศึกษาครับ แกร่งนอก อ่อนใน ใจรุ่มเร้าครับ

  • ผู้หญิง.. ถึงอย่างไรก็ย่อมมีความอ่อนไหวซ่อนอยู่
  • แต่ด้วยทิฐิมานะอันแรงกล้ามุ่งมั่นเพื่อครอบครัว
  • จึงสร้างเกราะป้องกัยตนเองออกจากโลกภายนอก
  • เพราะเขามีความลับที่ปกปิดไว้ไม่อยากให้ใครรู้ค่ะ
  • ชีวิตที่ถูกพันธนาการด้วยเชือกที่เธอมัดปมขึ้นมาเอง
  • เป็นกำลังใจให้ค่ะ.

เป็นชีวิตที่น่าศึกษา แต่ถ้ารินน้ำที่เต็มแก้วออกเสียบ้าง.....หย่อนเชือกลงสักนิด...เปิดใจสักหน่อย คงจะดีขึ้นมากครับ เพราะน้องเขาอาจจะเหลือปมบางสิ่งบางอย่างอยู่...ถ้าแก้ปมออกหมด น้องเขาอาจหย่อนเชือกบ้างก็เป็นได้...แลกเปลี่ยนครับ

ขอบพระคุณ ท่าน ผอ.พรชัย มากครับ ;)

เป็นคนแปลกในสายตาของคนอื่นน่ะครับ

คุณ ครูแป๋ม วิเคราะห์ไว้ได้น่าสนใจครับ ;)

เขาเลือกที่จะมัดและสร้างปมด้วยตัวของเขาเองจริง ๆ

ดังนั้น คนคลายปม คงมีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ดีที่สุด

ขอบคุณมากครับ

รอคอยการเทน้ำออกจากแก้วเช่นกันครับ

หากทำได้ ทุกอย่างน่าจะคลายลงบ้าง

ขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยนครับ คุณ moragot ;)

สิ่งเรารับรู้...อาจจะไม่ใช่เรารับรู้ทั้งหมด

เพราะคงไม่มีใครเล่าอะไรในชีวิตตัวเองทั้งหมดให้คนอื่นฟัง

....เขาคงมีเหตุผลที่มากกว่านี้ ยิ่งเป็นลูกสาวในครอบครัวคนเชื้อสายจีนด้วยแล้ว

ครูเอว่า....อาจารย์เข้าใจเขาได้ดีในระดับหนึ่งนะค่ะ ....เอ หรือระดับเดียวกัน อิอิ น่าจะช่วยน้องเขาได้นะค่ะ

ไม่ต้องห่วงครับ คุณ ครูเอ ... ผมประเมินแล้วเหมือนกันว่า

ไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นสิบ สิบ สิบ สิบ สิบ เปอร์เซ็นต์ครับ

หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ยังคงใช้ได้เสมอครับ

ขอบคุณครับ ;()

ตกลงนับ ไปได้ 50 ละนะค่ะ อิอิ

คุณ ครูเอ เก่งมาก ๆ ครับที่สามารถวิเคราะห์จำนวนความน่าเชื่อถือได้ อิ อิ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ ;)

สวัสดีค่ะอ.เสือไหว ใจ ...

ยินดีที่ปิดคอร์สแล้ว .. ยังไงก็จะยัง รอชม เหมือนเดิม ที่นานเกินเพิ่มเติมใน ดอกเบี้ย  ;)

เหลือ ป.บัณฑิต อีกห้องขอรับคุณ poo ... อาทิตย์หน้าโน้นแหละครับ ;)

เหนื่อยสาหัสเลยวันนี้

เชือกที่ผูกด้วยเงื่อนตาย ยากตอ่การคลายออกค่ะ

กำลังพยายาม ฉันเป็นผูู้ผููก สักวันคงหาวิธีคลายปมได้

ขอกำลังใจค่ะ ขอบคุณ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท