สถาบันครอบครัวที่ล่มสลายอันเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ ปัจจัย สามารถเปลี่ยนอุปนิสัยของ "ผ้าขาว" หลาย ๆ ผืนให้กลายเป็น "ผ้าสีเทา" หรือ "ผ้าสีดำ" โดยยากที่ซักออกให้เหมือนเดิม
นอกเหนือจากสภาวการณ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นสอง อย่างที่คนในสังคมได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ แม้กระทั่งผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ยังองค์กรของตัวเองเช่นกัน โดยไม่ได้คิดจะหาทางทำให้ดีขึ้นจากความเชื่อดังกล่าว
ภาพที่เด่นชัดมากขึ้นจากเรื่องราวที่ผมได้สัมผัสและขอนำมาแลกเปลี่ยนกับท่านทั้งหลายกลับเกิดขึ้นกลับชีวิตของครูรุ่นใหม่ท่านหนึ่งที่ผมรู้จัก
จากอดีตเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยชั้นสองแห่งนี้ จบแล้วออกไปเรียนต่อสถาบันผลิตครูที่มีชื่อเสียงในอดีต ทางสายจิตวิทยาและการแนะแนว แล้วมีโอกาสกลับมาเป็นครูที่นี่อีกครั้ง
สายตาที่ผมได้เห็นแรก ๆ ก็ไม่แน่ใจนัก แต่พบความรู้สึกในใจว่า ทำไมน้องใหม่คนนี้ดูมีพฤติกรรมบางอย่างแปลก ๆ ไม่ค่อยเหมือนคนปกติมากนัก เช่น ชอบเดินก้มหน้า ก้มตา มนุษยสัมพันธ์น้อยมาก การมองเห็นคนหนึ่ง แต่ไม่เห็นอีกคนหนึ่งเป็นเรื่องปกติ ฯลฯ
ด้วยเหตุและปัจจัยหลาย ๆ อย่างจากสิ่งรอบข้าง ทำให้เริ่มทำความรู้จักน้องไว้บ้าง แต่เหตุแห่งการสงสัยยังคงมีอยู่มากมาย
ได้ทราบเรื่องราวชีวิตของน้องจากน้องอีกคนในสาขาวิชาเดียวกันที่เขาสนิทด้วย ก็ทำให้ทราบถึง ต้นเหตุของพฤติกรรมที่แปลก ๆ เหล่านั้น
ชีวิตครอบครัวประสบทุกข์เข็ญจากการล้มละลายจากญาติสนิท ย้ายครอบครัวจากเมืองหลวงหนีมาอำเภอแถวนี้ พ่อเป็นคนจีนโบราณที่ไม่ยอมให้ลูกสาวได้เรียนหนังสือ เพราะกลัวจะมีสามีก่อนจบ ลูกต้องดิ้นรนจากการอ้อนวอนของแม่เพื่อให้ได้เรียนในอำเภอเมือง ลูกไม่เคยเงินสักบาทจากพ่อ แต่ทำงานพิเศษเรียนจนจบ พร้อมส่งตัวเองเรียนจนจบโท
ตนเองต้องทำหน้าที่ดูแลน้องสาวสองคน เพื่อให้ได้เรียนสูง ๆ แทนพ่อ
น้องเล่าให้ผมฟังว่า "เขาเหมือนหัวหน้าครอบครัวที่ต้องดูแลจัดการทุกอย่าง"
คนที่เขารักมากที่สุด คือ ครอบครัวของเขาเอง น้องสาวสองคน แม่ และ พ่อ (ที่ไม่ยอมให้เขาเรียน)
แพลนชีวิตของเขา คือ ซื้อบ้านให้พ่อแม่ได้อยู่ที่นี่ ส่งน้องเรียนให้จบ ป.ตรี
ส่วนตัวเองเดินจากหอมาทำงานในมอทุกวัน ไม่มีแผนจะซื้อรถอะไรทั้งนั้น จะบอกตัวเองเสมอว่า เดินก็มีความสุขแล้ว ไม่อยากยุ่งหรือเป็นภาระของใคร ไม่ชอบ เกรงใจ และอยากอยู่คนเดียว ไม่ต้องนึกถึงใคร
ผมเพิ่งหาโอกาสพูดคุยกับน้องเขาในเย็นที่ผ่านมานี้ ทำให้เข้าใจในความเป็นตัวเขามากขึ้น แต่ผมกลับแทบมองไม่เห็นความสุขแท้ของเขาเลย มีแต่สุขที่อุปโลกข์ขึ้นจากความสุขเทียมที่เขาคิดเองอยู่คนเดียว
อารมณ์ค่อนข้างก้าวร้าว ใช้ความแกร่งปกปิดความอ่อนแอภายใน คำพูดที่ออกมาจากอารมณ์คือ คำพูดที่ไม่สนใจความรู้สึกของใครทั้งสิ้น มีคนเกลียดตัวเองมาก ๆ ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ใครรับไม่ได้ก็ช่าง
มีความเหงาและอ้างว้างในใจอยู่ตลอดเวลา แต่มักจะบอกใคร ๆ ว่า ชอบอยู่คนเดียว จะได้ต้องเกี่ยวกับใคร (ผมคิดว่า เป็นการหลอกตัวเองอย่างรุนแรง)
มีความทุกข์จะนั่งอยู่คนเดียว มีความสุขก็หาอัลกอฮอล์มานั่งกินคนเดียว หากมีเพื่อนก็นั่งกินอัลกอฮอล์เคล้าเสียงเพลง
พลังมืดดำครอบงำผมทันที รู้สึก "ทุกข์" แทน กับความสุขที่เขาว่ามา
ผมมองเห็น "พ่อแม่รังแกฉัน"
พ่อได้ทำร้ายลูกคนหนึ่งให้กลายเป็นคนตายด้านในความรู้สึก จากเรื่องส่วนตัวของพ่อ
น้องพยายามทำงานให้หนัก เพื่อเป้าหมายที่เขาไว้ คือ มีทุกอย่างให้กับครอบครัว
ผมถามเขาว่า "จริงจังเกินไป ระวังอายุจะสั้นนะ"
น้องตอบผมว่า "ประกันชีวิตไว้แล้ว เป็นอะไรไป พ่อแม่น้องก็สบาย"
ไม่รู้เหมือนกันว่า คำตอบนี้เป็นคำตอบที่สมควรแก่เหตุผลหรือไม่ ไม่แน่ใจเลย
หากพูดถึงด้านความรัก ... มีคนเคยเข้ามา แต่ก็กระเด็นไปไกล เพราะมีแต่ความรู้สึกรำคาญที่ต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัว
หัวใจหยุดเพียงครอบครัวเท่านั้น
ผมเลยแซวว่า "คงไม่มีผู้ชายคนไหนมาให้เลือก เพราะเขาคงกลัวหมด"
จาก "ใจมนุษย์ที่ละเอียดอ่อน" กลายเป็น "คนที่ใจหยาบกร้านมากขึ้น"
ผมมองเห็นอนาคตว่า "ความทุกข์" จะมาเยี่ยมเยือนตลอดชีวิต และชีวิตจะมีความสุขเป็นของญาติมิตรมากกว่าความสุขของตัวเอง
ผมคิดว่า เขาเหมือนคนที่ตายไปจากโลกนี้นานแล้ว ไม่ใช่ คนที่กำลังมีลมหายใจอยู่
ตายไปตั้งแต่วันที่พ่อได้ฆ่าลูกตัวเองด้วยความรู้สึกส่วนตัว
สิ่งที่เขาทำ คือ การลบคำปรามาสของพ่อ เท่านั้น ความสุขแท้นั้นไม่มีอีกต่อไป
ชีวิตที่มีปมมากมายเพียงนี้ มันหล่อหลอมชีวิตหนึ่งให้กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ในสายตาของคนทั่วไป ถึงแม้พระอรหันต์เห็นเช่นนั้น คงต้องคิดหนักว่า ทำอย่างไรดวงตาจะเห็นธรรมได้บ้าง
ผมทำได้แต่เพียงมองอยู่ห่าง ๆ ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้เลย เพราะใจน้องเขาปิดไปนานแล้ว เหมือน "น้ำเต็มแก้ว" ที่ไม่รับอะไรเลย นอกจากความคิดในใจของตัวเองเท่านั้น ยิ่งแนะ ยิ่งปิด ยิ่งคิด ยิ่งหนัก
เหลือแต่กำลังใจที่พอจะเติมให้ไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่พบกัน
คลายเชือกออกได้เมื่อไหร่ ใจคงสบายขึ้น
บุญรักษา ทุกท่าน ;)
ป.ล. รู้เรื่องจิต กลับไม่ได้ใช้ความรู้ คิด ช่วยตนเองเลย ยิ่งรู้ ยิ่งหลุด ผมยืนยันจากประสบการณ์ตรง
สวัสดีค่ะอาจารย์
เข้าใจและน่าเห็นใจค่ะ คลายเชือกออกได้ใจคงสบายขึ้น
สวัสดีค่ะอาจารย์
ปมต่างๆคงก่อตัวกลายเป็น .. ทิฐิ ..ไม่มีใครรู้ตัวเองหรอกว่า เราทิฐิสูงต่ำแค่ไหน...นอกจากเสียงของผู้้ิอื่น...
โลกที่สวยงาม..คงไกลเกินไป
แต่น่าจะยังไม่สายนะคะ
ขอเพียงมีคนที่เห็นใจ เข้าใจ
ใจคน..ไม่ใช่หินผา...หวังว่าจะมี..วันนั้น
... น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินยังกร่อน แต่หัวใจอ่อนๆ ของเธอทำด้วยอะไร ... คงมีสักวัน
นึกถึงเพลงนี้ ที่ป๋าฮำ ร้องบ่อยๆ เลยค่ะ ... ขอให้ครอบครัวน้องเค้า เข้าใจในเร็วพลัน ;)
อ่านเเล้วได้ข้อคิดดีมากเลยครับ
โดยสรุป ผมว่าทุกเรื่อง ให้สมดุล เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการขับเคลื่่อนชีวิต
ตึงมากไปก็ไม่ดี หย่อนมากไปก็ขาด
ขอบคุณครับ คุณพยาบาล ถาวร ;)...
กว่าจะคลายได้ ก็ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่นะครับ
ปม ... ที่เลือกใช้อันตรายเหลือเกิน
สวัสดีครับ พี่นก จุฑารัตน์ NU 11 ;)
พ่อแม่ยังคงรังแกฉันไปเรื่อย ๆ น่ะครับ
ความสุขของน้องเขา คือ ความสุขเทียม ที่ไม่ต่างไปจากการไม่ยอมรับความจริงในทุก ๆ วัน ... ทุกข์ถนัดครับ
สภาพแวดล้อมที่อยู่ก็แย่ใหญ่ ... อาจจะทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันก็ได้ครับ
รอให้โตกว่านี้ ประสบการณ์มากกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนตัวตนและวิธีคิดก็ได้ครับ
ขอบคุณครับ ;)
จิตใจของเขาถูกปิดด้วยอัตตาไปหมดแล้วครับ คุณ ครูเอ ;)
คนที่จะคัดง้างได้ มีแต่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
ได้แต่เห็นใจและสงสาร
ขอบคุณครับ ;)
คงต้องรอวันนั้นแล้วล่ะครับ คุณ ครู ป.1 ;)
ขอบคุณครับ
หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นครับ คุณ poo ;)
ขอบคุณครับ
ความสมดุลของชีวิต หรือ การเลือกทางสายกลาง
เป็นสิ่งที่ผมอยากเห็นจริง ๆ ครับ คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร ;)
ขอบคุณครับ ;)
พี่วัส
อ่านแล้วรู้สึกเหงาๆ แถมยังรู้สึกแปลกๆ แต่ตอบไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน
มันเหมือนบางส่วนหล่นหาย ไม่รู้ว่าคิดตามมากไปรึเปล่า
เค้าอายุมากรึยังค่ะ ถ้ายังไม่มากสี่ว่าน่าจะยังพอเปลี่ยนได้...รึเปล่า ?
มนุษย์มักจะอ่อนลงด้วยความรัก ความปรารถนาดี และความจริงใจจากคนรอบข้างโดยเฉพาะยามเจอปัญหา สี่เชื่อว่า อ.เสือ ของใครๆ น่าจะช่วยคนๆ นี้ได้ (ถ้าไม่ไปทำเค้าฝันหนีดีฝ่อซะก่อน)
ยังงัยก็ส่งกำลังใจให้ทั้งพี่วัส และสาวน้อยคนนี้ด้วยแล้วค่ะ ขอให้ผ่านพ้นสุขเทียมอย่างรวดเร็ว เพราะสี่เชื่อว่าถ้าเคยทุกข์มาก ย่อมจะรู้สึกถึงความสุขที่เปี่ยมล้นได้มากเช่นกัน
bye bye
สวัสดีครับ น้อง สี่ซี่ ;)
เป็นความคิดเห็นที่ยาวที่สุดหรือเปล่า ???
รู้สึกแปลก ๆ ไม่ผิดหรอก เพราะน้องเขาคือคนแปลกในสายตาคนอื่น ๆ แน่ ๆ หากไม่รู้จักภูมิหลัง ;)
อายุน้อยกว่าน้อง สี่ซี่ เกือบรอบมั้งครับ อิ อิ
ก็เพราะดันไปทำเขาขวัญหนีดีฝ่อนี่แหละเลยเป็นปัญหา 555
แหม ... ความรักที่ไม่มีให้ใครนอกจากครอบครัว
ความสุขที่เสมือนไม่มีเงื่อนไข ก็ไม่ใช่อีก
สงสารก็สงสาร แต่คงต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียว
กว่าเชือกจะผ่อนลง
ขอบคุณครับ น้อง สี่ซี่ ;)
เป็นชีวิตที่น่าศึกษาครับ แกร่งนอก อ่อนใน ใจรุ่มเร้าครับ
เป็นชีวิตที่น่าศึกษา แต่ถ้ารินน้ำที่เต็มแก้วออกเสียบ้าง.....หย่อนเชือกลงสักนิด...เปิดใจสักหน่อย คงจะดีขึ้นมากครับ เพราะน้องเขาอาจจะเหลือปมบางสิ่งบางอย่างอยู่...ถ้าแก้ปมออกหมด น้องเขาอาจหย่อนเชือกบ้างก็เป็นได้...แลกเปลี่ยนครับ
ขอบพระคุณ ท่าน ผอ.พรชัย มากครับ ;)
เป็นคนแปลกในสายตาของคนอื่นน่ะครับ
คุณ ครูแป๋ม วิเคราะห์ไว้ได้น่าสนใจครับ ;)
เขาเลือกที่จะมัดและสร้างปมด้วยตัวของเขาเองจริง ๆ
ดังนั้น คนคลายปม คงมีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ดีที่สุด
ขอบคุณมากครับ
รอคอยการเทน้ำออกจากแก้วเช่นกันครับ
หากทำได้ ทุกอย่างน่าจะคลายลงบ้าง
ขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยนครับ คุณ moragot ;)
สิ่งเรารับรู้...อาจจะไม่ใช่เรารับรู้ทั้งหมด
เพราะคงไม่มีใครเล่าอะไรในชีวิตตัวเองทั้งหมดให้คนอื่นฟัง
....เขาคงมีเหตุผลที่มากกว่านี้ ยิ่งเป็นลูกสาวในครอบครัวคนเชื้อสายจีนด้วยแล้ว
ครูเอว่า....อาจารย์เข้าใจเขาได้ดีในระดับหนึ่งนะค่ะ ....เอ หรือระดับเดียวกัน อิอิ น่าจะช่วยน้องเขาได้นะค่ะ
ไม่ต้องห่วงครับ คุณ ครูเอ ... ผมประเมินแล้วเหมือนกันว่า
ไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นสิบ สิบ สิบ สิบ สิบ เปอร์เซ็นต์ครับ
หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ยังคงใช้ได้เสมอครับ
ขอบคุณครับ ;()
ตกลงนับ ไปได้ 50 ละนะค่ะ อิอิ
เป็นกำลังใจๆค่ะ
คุณ ครูเอ เก่งมาก ๆ ครับที่สามารถวิเคราะห์จำนวนความน่าเชื่อถือได้ อิ อิ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ ;)
สวัสดีค่ะอ.เสือไหว ใจ ...
ยินดีที่ปิดคอร์สแล้ว .. ยังไงก็จะยัง รอชม เหมือนเดิม ที่นานเกินเพิ่มเติมใน ดอกเบี้ย ;)
เหลือ ป.บัณฑิต อีกห้องขอรับคุณ poo ... อาทิตย์หน้าโน้นแหละครับ ;)
เหนื่อยสาหัสเลยวันนี้
เชือกที่ผูกด้วยเงื่อนตาย ยากตอ่การคลายออกค่ะ
กำลังพยายาม ฉันเป็นผูู้ผููก สักวันคงหาวิธีคลายปมได้
ขอกำลังใจค่ะ ขอบคุณ