• ผมเกิดมาเป็นลูกคนจน มีความรู้สึกไม่พอใจช่องว่างหรือความไม่เท่าเทียมกันในสังคมมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นประสบความสำเร็จในการเรียน มีโอกาสที่จะมีรายได้สูงมากๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากได้ เพราะรู้สึกตะขิดตะขวงใจถ้าเรารายได้มากเกินเมื่อเทียบกับคนอื่น ตอนเป็น ผอ. สกว. มีคนแนะให้กำหนดตารางเงินเดือนใหม่ให้เข้าไปใกล้เอกชนอีกนิดผมก็ไม่ทำ เพราะคิดว่าที่ได้อยู่ในขณะนั้นก็มากมายเกินพออยู่แล้ว
• วันนี้ (๑๗ มิย. ๔๙) อ่านนิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ ฉบับวันที่ ๑๗ มิย. คอลัมน์ Special Report : Inequity in America. The rich, the poor and the growing gap between them. เขาบอกว่าสหรัฐอเมริกาเน้นผลิตภาพ (productivity) และการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยุโรปเน้นความเท่าเทียมกันในการแบ่งส่วนแบ่งความมั่งคั่ง เขายกคำกล่าวที่มีชื่อเสียงของ John F Kennedy ว่า Rising tide lifts all boats. ซึ่งหมายความว่าเมื่อเศรษฐกิจดีทุกคนก็จะมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ซึ่งไม่จริง ความเป็นจริงในสังคมซับซ้อนกว่าอุปมาอุปมัยเรื่องน้ำขึ้นมากมายนัก
• เขาบอกว่า การที่สหรัฐอเมริกามีมาตรการกระตุ้นผลิตภาพ ได้ผลมาก ทำให้ผลิตภาพต่อชั่วโมงของการทำงานในสหรัฐอเมริกา สูงกว่าของเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วถึง ๓๐% แต่ “ระดับน้ำ” ที่สูงขึ้นนี้ ยิ่งนับวันก็ยิ่ง “ยกเรือ” น้อยลำลงเรื่อยๆ หมายความว่าช่องว่างทางสังคมยิ่งถ่างกว้างขึ้นนั่นเอง ข้อดีของสังคมอเมริกันก็คือสถิติตัวเลขของเขาดีมาก เขาวัดช่องว่างทางเศรษฐกิจโดยดูว่าคนรวยที่สุด ๑% บน, ๐.๑% บน, ๐.๐๐๑% บน มีรายได้เป็นกี่ % ของรายได้ทั้งประเทศ ออกมาเป็นกราฟเปรียบเทียบรายปี เขามีตัวเลขตั้งแต่ คศ. ๑๙๑๓ มาจนถึง ๒๐๐๔ ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าช่วงที่ช่องว่างสูงสุดอยู่ที่แถวๆสงครามโลกครั้งที่ ๑ แล้วช่องว่างลดลงเรื่อยๆ มาจนต่ำสุดช่วง คศ. ๑๙๕๐ – ๑๙๘๐ แล้วขึ้นใหม่ และขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปี คศ. ๑๙๙๐ เป็นต้นมา อ่านดูแล้วเป็นผลของความจงใจที่จะให้เป็นเช่นนั้น
• ข้อดีของสหรัฐอเมริกาก็คือเป็น “ดินแดนแห่งโอกาส” ใครมีความสามารถและขยัน ก็จะร่ำรวยได้ เป้าหมายของคนอเมริกันคือร่ำรวย แต่ “ความสามารถ” ในสมัยก่อน คือจบปริญญาตรี แต่เวลานี้คนที่จบปริญญาตรีดูจะไม่พอเสียแล้ว คนที่รายได้สูงมากผิดปกติคือ นักกีฬา นักแสดง และผู้บริหารระดับสูง เขาบอกว่าเงินเดือนของผู้บริหารระดับสูงของเขาเท่ากับประมาณ ๓๐๐ เท่าของค่าจ้างขั้นต่ำ เทียบกับของเราคงจะประมาณเดือนละ ๑ ล้านบาท
• จะเห็นว่าไม่มีระบบใดที่ดีจนไม่มีที่ติ การเน้นผลิตภาพ ประสิทธิภาพ เน้นใครเก่งใครขยันคนนั้นได้ ก็ดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ แต่ถ้าไม่แก้ด้านช่วยประคองคนที่เก่งน้อยกว่า สังคมมีช่องว่างมาก การอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่นก็ยาก
• ผมชอบทางสายกลาง ชอบให้เน้นให้ผลประโยชน์แก่คนดีคนเก่ง แต่ไม่ใช่เน้นที่การได้แบบเห็นแก่ตัวมากเกิน ผมอยากให้มีการ “ให้” ที่การยกย่องชื่นชม มีการมองการ “ได้” เชิงจิตวิญญาณด้วย คือไม่มองผลประโยชน์เฉพาะด้านวัตถุ แต่มองที่ผลประโยชน์ทางใจด้วย มีการสร้างการยอมรับคนที่ทำงานเพื่อประโยชน์ต่อสังคมในหลากหลายด้านหลายมิติ เราต้องไม่วัตถุนิยมสุดโต่งเกินไป
วิจารณ์ พานิช
๑๗ มิย. ๔๙
นานมาแล้วที่ อเมริกาผลิตกระดาษ หรือ เหรียญ ที่เรียกว่า "เงิน" ออกมา โดยไม่มีทองคำค้ำประกัน ใช่ไหมคะ ? แต่ประเทศอื่น เช่น ประเทศไทย จะผลิต เงิน ต้องมีทองคำ ค้ำประกันใช่ไหมคะ ? เมื่อเราต้องอยู่ร่วมกับประเทศมหาอำนาจ คงยังเหลือสิ่งเดียวกระมังที่ "เงิน" ซื้อไม่ได้ คือ คุณค่าทางจิตใจ จิตวิญาณ ที่จะนำพาไปสู่ความสุขใจที่แท้จริง
เพราะเขาก็ต้องการอยู่รอด จึงต้องคิดหาวิธีต่างๆ เมื่อเราเป็นสังคมอุดมปัญญา จากการทำ เรื่องการจัดการความรู้ ก็ควรรู้ทันเขา เพื่อให้เราอยู่รอด เช่นกัน ใช่ไหมคะ?