18.ประวัติภูไทคำตากล้า. มาจากเดียนเบียนฟูจริงหรือไม่ 1


ประวัติภูไทคำตากล้า. มาจากเดียนเบียนฟูจริงหรือไม่

ขอบคุณท้าวบุญสัมพันธ์  ศิษย์โรงเรียนบ้านคำตากล้า  ที่ให้ข้อมูล กับครูเตือน

รักและเคารพเสมอ ขอให้อาจารย์มีสุขภาพอานามัยสมบูณร์ ประวัติชนเผ่าภูไทให้อาจารย์คนหาเพิ้มเติมจากประวัติชาติลาว ประวัติชาติเวียดนาม ยกตัวอย่าง เมืองเดียนเบียนฟู หรืออีกชื่อหนึ่งคือเมืองแถน และอีกชื่อคือเมืองนาน้อยห้อยหนูชึงเป็นชนเภ่าผูไทดำสำเนียงเสียงพูดเหมือนกันกับเรามาก มาที่สปปล แขวงอุดมไชโดยเฉพาะเมืองเวียงไชเป็นภูไทล้วนๆ จากลูกศิษย์โรงเรียนบ้านคำตากล้

30
ท้าวบุญสำพันธ์ [IP: 125.26.242.79] 
เมื่อ ส. 05 มิ.ย. 2553 @ 10:21 
#2030948 [ ลบ ] 

 


 

  ครูเตือนรีบหาข้อมูลทันทีค่ะ ได้ข้อมูลเมืองเดียนเบียนฟู  จาก

http://www.oceansmile.com/Vietnam/Deanbeanfu.htm

 

เดียนเบียนฟู

• เดียนเบียนฟู เป็นจังหวัดหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ห่าง

จากกรุงฮานอยประมาณ 200 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกห่างจากชายแดนประเทศลาวเพียง 35 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นที่ราบล้อมรอบด้วยภูเขาสูง และเป็นสมรภูมิรบอันลือลั่นในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งแรก (พ.ศ. 2489 - 2497) ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างกองทัพฝรั่งเศสกับกองทัพฝ่ายต่อต้านการครอบครองของชาวเวียดนาม นำโดยโฮจิมินห์ ที่เรียกว่ากองทัพเวียดมินห์ การสู้รบครั้งนี้สิ้นสุดด้วยการพ่ายแพ้อย่างไม่น่าเชื่อของกองทัพฝรั่งเศส ที่มีทั้งกำลังคนและอาวุธทันสมัยกว่า และได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา 

• การรบที่เดียนเบียนฟู เริ่มขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2497 เดิมทีฝรั่งเศสได้ยึดป้อมเดียนเบียนฟูที่อยู่กลางหุบเขาไว้ได้ ซึ่งนับเป็นจุดยุทธศาสตร์ เพราะมีชัยภูมิที่เป็นภูเขาล้อมรอบ ทำให้ยากแก่การเข้าโจมตี โดยฝรั่งเศสตั้งเป้าว่า ตราบใดที่รักษาเดียนเบียนฟูไว้ เวียดมินห์ก็ไม่สามารถรุกต่อไปได้ และจะกลายเป็นขวากหนามที่คอยกันไม่ให้เวียดมินห์เคลื่อนทหารได้ตามความต้องการ แต่ในขณะที่ฝรั่งเศส มีกำลังมั่นใจในความแข็งแกร่งของป้อมเดียนเบียนฟูอยู่นั้น โฮจิมินห์ได้อาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของทหารประชาชน ซึ่งถอดปืนใหญ่ออกเป็นชิ้นๆ แล้วขนลำเลียงขึ้นไปบนยอดเขารอบเมืองเดียนเบียนฟูอย่างลำบากยากเย็น ครั้นประกอบปืนใหญ่เสร็จ ทหารเวียดมินห์ที่อยู่ตามยอดเขารอบป้อมเดียนเบียนฟู ก็ระดมยิงปืนใหญ่เข้าตีป้อมของฝรั่งเศสอย่างพร้อมเพรียงกัน จนป้อมเดียนเบียนฟูแตก ฝรั่งเศสต้องยอมพ่ายแพ้และถอนตัวไปจากเวียดนามในที่สุด การรบครั้งนี้ถือว่าเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของชาติเอเชียอาคเนย์เหนือชาติมหาอำนาจตะวันตก ขณะที่ข้อตกลงในการประชุมเจนีวาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1954 แบ่งเวียดนามออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ด้วยเส้นขนานที่ 17 ก่อนที่สงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 หรือสงครามเวียดนามจะเกิดตามมาอีกใน 3 ปีถัดมา โดยสหรัฐฯเข้ามามีบทบาทในการสู้รบและก็พ่ายแพ้ไปในที่สุดเช่นกัน

 

                                             สมรภูมิรบ เดียนเบียนฟู

 ชาวไทดำ หรือ ชาวลาวโซ่ง เป็นกลุ่มชาวไทกลุ่มหนึ่ง ที่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในเขตสิบสองจุไทเดิม หรือบริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดงในเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมของ ชาวไทดำ ชาวไทแดง และชาวไทขาว

   ในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนาม และลาว พวกเขาได้เรียกชนเผ่าที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำดำว่า ไทดำ ที่เรียกว่าไทดำ เพราะว่ากลุ่มชนเผ่าไทดังกล่าว นิยมสวมเสื้อผ้าสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งย้อมด้วยต้นหอมหรือต้นคราม

• การอพยพของชาวไทดำสู่ประเทศไทย

• ในปี พ.ศ. 2438 และ ปี พ.ศ. 2439 ได้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ของชาวผู้ไทขึ้น สาเหตุก็มาจากศึกสงครามแย่งชิงอำนาจกัน ระหว่างบรรดาหัวหน้าของไทดำกลุ่มต่างๆ ในแคว้นสิบสองจุไท พวกไทดำจึงได้อพยพเข้ามาในประเทศลาวและในภาคอีสานของประเทศไทย

ในประเทศลาวนั้น ชาวไทดำส่วนมากได้ตั้งถิ่นฐานใน แขวงหลวงน้ำทา แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมชัย แขวงหัวพัน และ แขวงซำเหนือ ส่วนในในประเทศไทยนั้น ก็อพยพเข้ามาด้วยเช่นกัน โดยมา้ตั้งถิ่นฐานในภาคอีสานตอนบน เช่น จังหวัดนครพนม, กาฬสินธุ์, มุกดาหาร, ร้อยเอ็ด และ สกลนคร 

• ในช่วงระหว่าง ปี พ.ศ. 2496 จนถึงปี พ.ศ. 2497 ได้เกิดสงครามในเมืองเดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองของแคว้นสิบสองจุไทเดิม ชาวผู้ไทจึงได้อพยพหลบหนีการเกณฑ์ทหารของฝรั่งเศส เข้ามาในประเทศลาวและในประเทศไทยอีกระรอบ

• ชาวไทดำในประเทศไทย

ในประเทศไทย คนไทยเรียกเรียกชาวไทดำว่า ลาวโซ่ง คำว่า “โซ่ง” นั้นน่าจะมาจากคำว่า ซ่วง หรือ ซ่ง ซึ่งเป็นภาษาไทดำ แปลว่ากางเกง เพราะว่าชาวไทดำเหล่านี้สวมกางเกงสีดำ

• ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ครั้นพระองค์ทรงไปตีกรุงเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ. 2322 พระองค์ทรงได้กวาดต้อนชาวไทดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไท ส่งไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองเพชรบุรี และต่อมาในปี พ.ศ. 2335 สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและในปี พ.ศ. 2381 สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็ทรงยกทัพไปตีเวียงจันทน์ และก็ได้กวาดต้อนชาวไทดำมาอีก ซึ่งในปัจจุบันตั้งถิ่นฐานกระจายกันอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด เช่น ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก กาญจนบุรี ลพบุรี สระบุรี ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันเรียกคนเหล่านี้ว่า ชาวไทยโซ่ง

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 364292เขียนเมื่อ 6 มิถุนายน 2010 00:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

น่าสนใจมากที่บ้านมีไทดำด้วยครับพี่

ค่ะ อาจารย์ขจิต

ดูแล้ว ไทดำ มี กระจายทั่วไปหมดเลยนะคะ เล่ากันว่า ที่เวียดนามมีถิ่นที่ พูดภาษาเหมือนเราก็มี นะคะ แต่ยังหาข้อมูลได้ไม่ชัดเจน แต่ ที่สสป ลาว นี่มีแน่นอน ทั้งภาษาและวัฒนธรรม เหมือนกันมากๆ ค่ะ

ขอบคุณหลายๆๆจาก เมืองดินดำน้ำซุ่ม

ด.ญ. กานต์ชนิต ชินแข

สวัสดีค่ะ

หนูเข้ามาหาความรู้ประวัติภูไทยค่ะ

ด.ญ. กานต์ชนิต ชินแข

ในสมัยก่อนไทดำ ไม่ได้มีอยู่ที่เมืองแถน(เดียนเบียนฟู)ที่เดียว ไทดำอยู่กระจัดกระจายแต่รวมกลุ่มได้ 12 กลุ่ม

เรียกว่าสิบสองจุไท ซึ่งกระจายอยู่ทางตอนเหนือของลาวและเวียดนาม บริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดง รวมทั้งทางไต้ของจีนด้วย

ภูไทคำตากล้า จะมาจากเมืองแถนหรือเปล่า ต้องดูจากการอพยพของคนไทดำเข้าสู่เมืองไทย ซึ่งมีหลายครั้งครับ

ครั้งแรกในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีที่โปรดให้ไปตี เมืองเวียงจันทร์ได้ในปี พ.ศ. 2321 ดังได้กล่าวไว้ในประวัติชาติไทยว่า

"แล้วปีรุ่งขึ้นโปรด ฯ ให้ยกกองทัพไปตีเมืองหลวงพระบาง ไปตีเมืองทัน เมืองม่วย เมืองทั้ง 2 นี้เป็นเมืองของไทซ่งดำ

ตั้งอยู่ในเขตแดนญวนเหนือ แล้วพาครัวไทเวียง ไทดำ ลงมากรุงธนบุรี ในเดือนยี่ ไทซ่งดำให้ไปอยู่เพชรบุรี "

ครั้งที่สองสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณ พ.ศ. 2378 ก็ได้นำครอบครัวชาวไทดำเข้ามาอยู่ในไทยอีก ดังบันทึก

ของจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีกล่าวไว้ เมื่อคราวเป็นแม่ทัพไปปราบฮ่อในสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2430 ไว้ว่า “ พระบาทสมเด็จ

พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาธรรมา ฯ ยกกองทัพขึ้นมาเมืองถึงเมืองแถง จัดราชการเรียบร้อย

แล้วได้เอาครัวเมืองแถงและสิบสองจุไทซึ่งเป็นไทดำลงมา กรุงเทพ ฯ เป็นอันมาก เพราะขืนไว้จะเกิดการยุ่งยากแก่ทางราชการขึ้น

อีกครั้ง แล้วพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้า ฯ ให้พวกไทดำเหล่านั้น ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ ณ เมืองเพชรบุรี จนได้

ชื่อว่า ลาวซ่ง

ถ้า ภูไทคำตากล้า มาจากเดียนเบียนฟูก็ไม่น่าใช่ในสองสมัยที่กล่าวมา

ไทดำ อพยพ ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งก็คือตอนที่เดียนเบียนฟูแตกนั่นเอง เชื่อว่าเพลง "ไทดำรำพัน" คงจะแต่เพื่อการอพยพครั้งนี้

ม.ศรีบุษรา หรือ มนตรี ศรีบุษรา ได้เขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่งชื่อ "ไทดำรำพัน"

หนังสือเล่มนี้ มีทั้งประวัติของไทดำ รุ่นที่อพยบรุ่นแรก และรุ่นที่อพยพคราวเกิดสงครามระหว่าง ฝรั่งเศสกับเวียดนาม

รุ่นที่อพยบรุ่นแรก หมายถึงรุ่นนี้ครับ

"เมืองเดียนเบียนฟูหรือเมืองแถนนี้ อยู่ในเวียดนามเหนือใกล้กับพรมแดนลาว เป็นถิ่นที่อยู่ดั่งเดิมของชาวไทในเวียดนามมาก่อน

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้นำชาวไทในเวียดนามแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายหนึ่งเข้าร่วมกับเวียดมินห์เข้าต่อสู้กับฝรั่งเศส

กับอีกฝ่ายหนึ่งต้องการเป็น สหพันธรัฐไท เพราะเห็นว่าแม้อยู่ภายใต้ฝรั่งเศสแต่ก็มีสถานะเท่าเทียมกับลาว จึงเข้าร่วมกับ

ฝรั่เศสๆ ตกเป็นฝ่ายรับเรื่อยมา จึงถอนกำลังจากจุดต่างๆทั้งหมดถอยร่นเข้าสู่เมืองเดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในหุบเขา

ปลายปี พ.ศ.2496 ฝรั่งเศสกับพลพรรค สหพันธรัฐไท ได้ถอยร่นเขาสู่เมืองเดียนเบียนฟู แต่พอถึงเดือนมีนาคม พ.ศ.2497

เมืองเดียนเบียนฟูที่มั่นสุดท้ายก็แตก ชาวไทดำประมาณ 4000 คนอพยพลงสู่เวียดนามใต้ ชาวไทดำอีกกลุ่มประมาณ

2000 คนได้อพยพไปยังเมืองหลวงพระบาง และอีกกลุ่มหนึ่งประมาณ 3000 คนได้อพยพไปอยู่เชียงขวาง ส่วนหนึ่งก็

อพยพไปแขวงเวียงจันทร์"

ขอบคุณ คุณotto [IP: 110.164.148.59] มากเลยค่ะ

      จากการวิเคราะห์ข้อมูลของคูณotto มีความเห็นว่า ภูไทคำตากล้า ไม่น่าจะมาจาก

เดียนเบียนฟู เรื่องราวน่าสนใจ คุณotto ค้นคว้าได้ละเอียด  ขอบคุณมาก ที่นำเสนอค่ะ

คิดว่า คนคำตากล้าต่างก็สนใจที่มาของพวกเรานะคะ 

      รู้แต่ว่า  กลุ่มหนึ่งมาจากคำชะอี กลุ่มหนึ่งมาจากเมืองเว-- เมืองบก เมืองวัง อั่งคำ

แล้ว....เอ  เมือง เว้....(เมืองดานัง) ....จะมีชื่อพ้องกันโดยบังเอิญหรือเปล่า(เมือง เว...เมืองเว้.....)

     แล้วนำเรื่องดีๆมาลงอีกนะคะ  เด็กๆ คำตากล้า สนใจค่ะ

สวัสดีค่ะ

ชอบมากค่ะ ชอบประวัติศาสตร์ มีคุณค่ามากนะคะคุณครูเตือน  ขอขอบคุณค่ะ

ขอคาระวะครูบาอาจารย์ ขอเพิ่มเติมความเห็นนิดหนึ่ง พระธาตุเชียงทอง(หลวงพระบาง)สร้าง พศ6 หระธาตุพระนมสร้าง พศ 8 พระธาตุหินฮังสร้าง พศ14 (สวรรณเขต) แล้วมันเกี่ยวข้องอะกับชนเผ่าภูไท ไนหลักใบเสมาใบที่ ๑ ขวามือทิศเหนือ เขียนไว้ว่าในปี พ.ศ๒๒๓๗ เจ้าคูณโพนสะเม็ดหรือย่าครูขี้หอม ได้อพยบชาวเมืองเวียงจันทร์ จำนวน ๒๐๐๐ คน มาสร้างบ้านสร้างเมืองอยู่ทั้งสองฝั่งของชึ่งในประวัติชาติลาวเขียนไว้ว่า ทั้ง ๒๐๐๐ คนเป็นชนเผ่าผู่ไท เกินครึ่ง ฝั่งตรงกันข้ามกับพระธาตุพนมก็คือเมืองหนองบก เมืองวิระบุรีขึ้นต่อแขวงคำม่วน(แขวงก็คือจังหวัด เมืองก็คืออำเภอ)เมืองหนองบกนี้สำคัญต่อชาวคำตากล้ามากๆ เพราะเป็นภูไทที่ย้ายมาอยู่อำเภอคำชะอี พรรณานิคม และคำตากล้าในป้จจุบัน บ้านหมากนาว บ้านนาผังอีตู่ บ้านนากางปลา สองฝากผั่งลำน้ำเชบังไฟไหลลงแม่น้ำของ จากภูหลวงไม้ล้มแบ้งแดนแกวกำเนิดเป็นแม่น้ำเชโดน(เมืองวัง อางคำ เมืองพิณ เมืองนอง เมืองกระป๋อง อยู๋ฝั่งทิศใต้ขึ่นการปกครองของแขวงสะวันนะเขต) เมืองบัวระพา ไชบัวทอง วีระบุรี หนองบก ขึ้นต่อแขวงคำม่วน สองฝั่งแม่น้ำเชบังไฟนี้เป็นชาวภูไทที่มาจากทางเหนือ พงสาลี อุดมชัย หัวพัน หลวงพระบาง และเชียงขวางชื่อเดิมคือโพนสะวัน เอาให้สั้นลงชาวบ้านดงบัง ต.แพต ที่เป็นภูไท มาจากบ้านนาผักอีตู่ พ่อเสี่ยเป้า ตู่สอนมาจากบ้านนาผักอีตู่ ผู้ใหญ่บ้านนาผักอีตู่นามสกุลรามคำ แล้วนายดาบตำรวจฉวี รามคำละเป็นใคร

สวัสดีค่ะท้าวบุญสัมพัน

น่าสนใจมากเลย กับข้อมูลที่เพิ่มเติม แฮะ! แฮะ! ดาบตำรวจฉวี รามคำ ก็ คนบ้านดงบังไง...ตามหาต้นตอนามสกุลเจอก็

คราวนี้ แหละ สงสัยต้องตามย้อนรอยประวัติศาสตร์ภูไท ซะแล้ว ถ้าได้ไป(เมืองวัง อางคำ เมืองพิณ เมืองนอง เมืองกระป๋อง อยู๋ฝั่ง

ทิศใต้ขึ่นการปกครองของแขวงสะวันนะเขต) จะเอาภาพ เอาเสียงมาลงไว้บล็อกนี้ให้ได้

ท้าวบุญสัมพัน สบายดีนะคะ ขอให้กิจการงานที่ทำเจริญรุ่งเรือง คิดการใดที่เป็นกุศล ขอให้สำเร็จ ค่ะ

ครูแทนไท สุวรรณไตรย์

ผมเป็นภูไท บ้านคำชะอี สนใจต้นกำเนิดของชนเผ่าอยู่เหมือนกัน เคยเดินทางไปประเทศลาว พบคุณป้าท่านหนึ่ง ภาษาพูด ประเพณี วัฒนธรรมการทำอาหารการกินไม่ผิดภูไทคำชะอี ถามบ้านเกิดท่านบอกว่าอยู่เมืองพิณ ปัจจุบันท่านเป็นข้าราชการบำนาญแขวงสหวันเขต ถ้ามีโอกาศจะไปเก็บข้อมูลที่เมืองพิณ เมืองบก เมืองวังอางคำ เมืองผักอีตู่ อาจจะมีเมืองผักแพรว เมืองผักอีเลิศ เมืองผักสะเง็กอีกก็ได้นาครูเตือน

วันที่ 12-13-ที่ผ่านมา นายกสมาคมมิตรภาพไท ลาว ท่าน ดร.โก่ง วีระพงษื มารางกูล พร้อมกงศุลใหญ่ประจำสวรรณเขตได้เชิญกฐินพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทอดที่วัดเมืองพรหมวิหาร แขวงสวรรนเขตเพื่อเชื้อมสัมพันพี่น้องฝั่งช้ายและฝั่งขวาให้มีความฮักแพงกันเพิ้มขึ้น ช่วงเย็นสาวจิตราอ้อนหมอลำขับกล่อมพี่น้องลาวอย่างเป็นกันเองสุดจิตสุดใจ ขอบเจอหลายเดอสาวจิน วันที่ 17 คณะ ดาราหนังจากกรุงเทพพร้อม สส พรรคเพื่อไทส่วนหนึ่งนำโดย สส พงษ์ศักดิ์ บุญศล สสอนุๆลักษ์ บุญศลและท้าวบุญสัมพัน ได้ไปทอดที่วัดจอมแจ้งเมืองไชเชฐถา บ้านท่างอน ฝั่งน้ำงึม อยากเรียนเชิญครูบาอาจารย์ที่อยู๋โรงเรียนคำตากล้า เดินตามลอยของ ผอ สุนทร สุขเกษม อาจารย์ ปรีชา เดือนนิลและเจ้าหน้าที่สำนักงานเขต ได้ไปมอบคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนบ้านโพนโฮง เมืองโพนโฮงแขวงเวียงจัน และโรงเรียนบ้านแพก เมืองโพนสวรรนแขวงเชียงขวางและท้าวบุญสัมพันมอบให้โรงเรียนบ้านลาดงอนยอดน้ำงึมเมืองแปลกแขวงเชียงขวาง คอมเก่าๆที่ใช้ได้ขอเอาไปทำบุญเถอะ ท้าวบุญเติม พรหมอารักษ์ อยากให้ไปดูเขาขุดแร่ทองคำวันละ 4 ตัน ทองแดงวันละ 300 ตัน บ้านเก่าชนเภ่าถูไทเมืองวังอ่างคำ(เฃโปน)สัมประธานโดยบริษัทเฃโปนมายนิ้งชาติออสเตียเลีย บริษัทภูเบี้ยมายนิ้งออสเตียเลียที่ล่องชานแขวงเชียงขวาง ปีนี้ไทยเป็นหนี้ค่าไฟฟ้าที่ชื้อจากลาวเกือบแสนล้านบาท ไทยชื้อไฟฟ้าจากลาวดังนี้ เขื่อนห้วยเหาะ น้ำเทิน 1 2 3 น้ำงึม 1 2 3 น้ำเชเชด น้ำเชคำหมาน เชบังเหียน น้ำเลียบ และทำลังก่อสร้างนับสิบเขือน ปี2020 ลาวจะเป็นรัฐสวัดิการที่นั่งนอนอยู่ก็มีกินมีอยู่แบบสบาย ลาวมีประชากร 67 ล้านคนอัตราความเจริญ จีดีพี 8.7 นับว่าสูงมาก วันที่ 21 นี้เป็นวันสุดท้ายการฉลอง 450 ปี นครหลวงเวียงจันทร์ ไปดูอนุสาวรีพระเจ้าอนุวงค์เวียงจันทร์ ชึ่งท่านเกิดที่เชโปน(เมืองวัง อ่างคำจะเป็นภูไทหรือไม่ฃอกหาเอาเอง

สวัสดีครับอาจารย์ ผมไม่ได้เป็นนักวิชาการแค่เป็นภูไทคนอยามีส่วนแบ่งปันบ้าง. การโยกย้ายถิ่นของภูไทจากสิบสองจุไทซื่งหลายคนก้้เชื่อว่าจากน้ำน้อยอ้อยหหนูจากเมืองแถนไปไม่เกิน 30กม การเคลื่อนยัา้ยลงมาทางใต้เรื้อยๆผ่านแคว้นและหัวเมืองต่างๆของเวียดนามและล้านช้างเป็นคู่ขนานกันจนมาถืงเมืองวังอ่างคำ คงไม่ใช่มารวดเดียวถืงปลายทางเลยแบบถูกกวาดต้อนมา ผมสังเกตุเห็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันเช่น ภูไทด่อนหรือภูไทขาว ภูไทแดงอยู่ตามจังหวัดต่างๆของเวียดนามกับลาวตั้งแต่เหนือลงมาจนถืงสะหวันนะเขต ในระหว่างการอพยพโยกย้ายเป็นเวลาหลายร้อยปีต้องผ่่านและอยู่ใกล้เพื่อนบ้านที่เป็นเผ่าพันธุ์อื่นหรือภูไทที่อพยพมาอยู่ก่อนแล้วต่างฝ่ายต่างมีอิทธิพลต่อกันและกันรวมทั้งการเกี่ยวดองกันเช่นการแต่งงานเป็นต้นวัฒนธรรมด้านต่างๆเปลี่ยนแปลงไปยกตัวอย่างใกล้ตัวเรา ภาษาไทยและภาษาลาวมีอิทธิพลต่อภูไทมากขนาดไหนเด็กๆภูไททุกวันนี้พูดภาษาตัวเองไม่เป็น และไม่อยากพูดด้วยเพราะอาย กลุ่มที่ถูกกวาดจากเมืองแถนมาอยู่แถวราชบุรีเรีกว่าลาวส้งดำ ไทซงดำน่าจะไม่ใช่พวกเดียวกันกับภูไทคำตากล้า นักวิจัยน่าจะสืบหาต้นตอทื่แท้จริงของภูไท แต่ก็้ยากมากเพราะภาษาเปลียนแปลงไปเรื่ิอยๆในช่วงพันปีผ่านไป

ส่วนเมืองเว เรณู หรือเรณุนคร เมืองเวเป็นชื่อเดิมก่อนกรมพระยาดำรงค์จะเปลืยน คำว่า เว ภาษาภูไทแปลว่า หันหรือหันกลับ เหตุผลคือพวกภูไททื่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองวังอ่างคำให้มาอยู่ตามหัวเมืองต่างๆเช่นสกลนคร กาฬสินธุ คิดถืงบ้านและพี่น้องที่ตกค้างทางเมืองเดิมมาก เมื่อเจ้าหน้าที่กองทับสยามไม่ได้ควบคุมจืงพากันหนีกลับ แต่พอมาถืงบ้านดอนหวายเกิดเปลี่ยนใจด้วยสาเหตุใดไม่ทราบรายละเอียดจืงตั้งชื่อบ้านเมืองใหม่นี้ว่า เมึองเว

สวัสดีค่ะ ภูไท ผาบัง [IP: 58.8.205.178] 21 มิถุนายน 2555

    ขอบคุณข้อมูลดีๆ ความคิดเห็นดีๆค่ะ....เมื่อยังเด็กไปเรียนหนังสือต่างถิ่น  พูดภาษาผู้ไท  แล้วถูกล้อเลียน  ..ก็อายเหมือนกันค่ะ..จนต้องฝึกภาษาอื่น..เช่นไปเรียนที่วานรนิวาส สมัยเรียนมัธยม  ก็พูดภาษาโย้ย ได้  ไปเรียนป.ตรี ที่มหาสารคามก็พูดภาษาลาวมหาสารคามได้...ที่สำคัญคือ ภาษาผู้ไท  คนไม่คุ้นเคยจะฟังยาก...แต่เป็นเอกลักษณ์ที่น่าภูมิใจมาก...

    ณ วันนี้อายุมากแล้ว...มองย้อนกลับอดีตแล้ว..เสียดาย...เสียใจ..งที่ไม่ได้รณรงค์อนุรักษ์ภาษาผู้ไท ของตนเอง..กลับทำให้เพี้ยนไปมากต่อมาก..จนจะมาหาหน้าตาเดิมไม่เจอ..

    หากมีลูก..ต้องสอนลูก มีหลานต้องสอนหลาน  อย่าทิ้งภาษาผู้ไท..เพราะเป็นสมบัติล้ำค่า ที่บรรพบุรุษให้ไว้..

    -ส่วนเรื่องเมืองเว  ใช่แล้ว  เว แปลว่าหันกลับ  และ  อว่าย  อว้าย  ก็แปลว่า หัน
   - มีคุณครูท่านหนึ่งอยู่บ้านม่วง  ..ท่านเป็นผู้ไท เหมือนกัน..คุณณย่าของท่านบอกไว้ว่า  โตขึ้นให้ไปตามหาญาต ที่เมืองวังนะ

ท่านก็บอกว่า เมืองวังอยู่ไหนก็ไม่รู้ เหมือนกับคุณทวดครูเตือนก็ สั่งไว้ให้ไปหาญาติที่เมืองวัง

  - ในที่สุดก็ได้ไปเมืองวังสมใจค่ะ  ดูภาพเมืองวังได้ที่  

http://www.facebook.com/media/set/?set=a.3216684891816.151908.1107161419&type=3&l=328308abf7

 ผมพึ่งมาอ่านโพสต์ในBlogนี้
ผมสนใจอยากคุยในรายละเอียดเรื่องผู้ไท ซึ่งผมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
เรื่องท่านท้าวบุญสัมพันนำเสนอนั้น ผมสนใจมากครับ
ทำอย่างไรจึงจะได้รู้จักครับ

 อ่านทัศนะ เรื่องผู้ไท มาจากไหน
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ของผม ได้ที่

http://www.oknation.net/blog/suthepphutai/2012/12/25/entry-1

อ่านทัศนะ เรื่องผู้ไท มาจากไหน
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ของผม ได้ที่



 http://www.gotoknow.org/dashboard/home#/posts/514050


สิบสองจุไทแปลเฉพาะจุนะครับ จุ แปลว่า กลุ่ม หมู่ พวก ถ้าจะเขียนและออกเสียง ต้องเขียนอย่างนี้ครับ สิบสองจุ๊ไท ครับออกเสียงสั้นจะได้เสียง สำเนียงแท้ครับ ไม่ใช่ สิบสองจุไทอันนี้มันเพี้ยนครับเป็นอ่านแบบไทยครับ จาก ลูกหลานคนอพยพ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท