หลาย ๆ ครั้งเราไม่กล้าทำความดี เพราะกลัว กลัวโน่น กลัวนี่ จะปฏิบัติธรรม จะเคร่ง จะครัดก็กลัว "กลัวจะนิพพาน"
แต่หลาย ๆ ครั้งเราไม่กลัวที่จะทำความเลว เพราะในทางแห่งความเลวนั้น คนเยอะ เพื่อนเยอะ
จะไปทำความดีกันที คนน้อย เพื่อนน้อย จะไปทำก็หวิว ๆ เพราะคนอีกสายหนึ่งเขาก็มีกันมากเหลือเกิน
ถนนสายแห่งความดีนี้จึงว้าเหว่ เงียบเหงา ไม่ครึกครื้น ตื่นเต้นเหมือนถนนแห่ง "อบาย"
ถนนอบายแม้นคนแน่นก็ยังเบียด ยังแก่ง ยังแย่งกันเข้าไป
เปรียบเหมือนกับที่จอดรถของห้างสรรพสินค้าในวันอาทิตย์ รถแน่นเหลือหลาย วนแล้ว วนอีก วนหลายสิบ หลายรอบก็ยังไม่ได้ที่จอดรถ ซึ่งแตกต่างจากที่จอดรถที่บ้านของพ่อและแม่ที่ว่างเสมอที่จะรอลูกกลับมาเยี่ยม มาเยือน
บางคนจะแสดงความรักกับพ่อ กับแม่ ก็อาย ก็เขิน
จะกราบพ่อ กราบแม่ครั้งหนึ่งก็ต้องรอถึงวันพ่อ วันแม่ ซึ่งปีหนึ่งจะมีเพียงครั้งหนึ่งที่จะได้กราบพ่อ และอีกครั้งหนึ่งที่จะได้กราบแม่
ปรากฏการณ์ทางสังคมมักกระตุ้นให้คนห่างพ่อ ไกลแม่
ไกลจากตัว ไกลจากหัวใจ ทำให้ขาดไร้ซึ่ง "คุณธรรม"
คำที่พ่อ ที่แม่สอน คือธรรมะอันประเสริฐ หลาย ๆ คนฟังพ่อ ฟังแม่สอนไม่ได้ ก็เพราะว่าเรามีไว้ซึ่ง "ใบปริญญา"
ใบปริญญาทำให้เราหลง เราละเมอว่าเราเก่ง เราฉลาด เรารู้ดีกว่าพ่อ กว่าแม่
การสอบได้เกรด A วิชาคุณธรรม หรือได้ใบประกาศทางจริยธรรม มิได้สำคัญเท่าคุณธรรมที่เราจะพึงกระทำต่อพ่อและแม่
วันนี้หลายครั้งเราหลงว่า เงินคือตัวแทนแห่งคุณธรรมที่สามารถผ่องถ่ายความยุติธรรมที่ลูกจะพึงกระทำให้พ่อและแม่
ด้วยความคิดดังนี้เราจึงเพิกเฉย ดูดายที่จะกลับไปมองหน้าท่าน ดูความเสื่อม ความโทรมแห่งใบหน้า แห่งผิวกายท่าน ที่ได้เคยใช้เลือดกลั่นเป็นน้ำนม ใช้เนื้อและกระดูกผสมเพื่อปกป้องภยันตรายไม่ให้เกิดขึ้นกับเรา
หากวันใดเราต้องที่จะทำความดี ก็ขอให้มีที่ว่างที่จะทำความดีให้กับพ่อและแม่
การทำความดีให้คนอื่นหมื่นแสน มิเปรียบแม้นได้ทำความดีให้กับพ่อและแม่
กราบพระหมื่นองค์ แสนองค์ ก็มิมีคุณค่าเท่ากับเพราะอรหันต์ทั้งสององค์ภายในบ้าน
วันนี้เราทำความดีเพื่อพ่อและแม่แล้วให้สมค่าแม้นที่ได้ชื่อว่า "ลูก" แล้วหรือยัง...?
รู้สึกตัวเองว่ายังทำอะไรดีๆ ให้คุณพ่อคุณแม่น้อยไป ตอนนี้ก็พยายามจะทำให้มากขึ้นและมากขึ้นค่ะ
แหะ แหะ อ่านบันทึกนี้แล้ว เหมือนถูกด่ายังไงก็ไม่รู้
ขอบคุณที่เตือนสติครับ...
สวัสดีค่ะ
บันทึกนี้ผมเขียนขึ้นมาเพื่อเตือนตนเอง ด่าตนเอง ว่าตนเอง เพื่อที่จะไม่พลั้งเผลอหลงละเมอตนแล้วนำตัวเองขึ้นไปเปรียบเทียบกับ "คุณของแม่ คุณของแม่"
กระแสของสังคมมักนำพาให้ผมลุ่มหลงไปกับความรู้ ความสามารถ ที่มักพลาดไปดูถูกพ่อและแม่อยู่เสมอ
บางครั้งผมก็ต้องสะดุ้งขึ้นอยู่บ่อย ๆ เมื่อได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น แต่ผมก็มักหลงลืมหรือแกล้งลืมที่จะรู้ว่าเราเป็นลูก "ลูกที่มีพ่อ มีแม่"
ผมนั้นเป็นเครื่องการันตีความดีของพ่อ ของแม่
ถ้าผมทำดี คนทั้งหลายก็จะชื่นชมว่า พ่อและแม่สอนมาดี
ถ้าผมทำชั่ว คนทั้งหลายก็จะประนามว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน
วันนี้ เวลานี้ ผมจึงต้องย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอว่า เราพึงแบกรับภาระหน้าที่ในการทำความดีไว้เพื่อพ่อ เพื่อแม่
พ่อและแม่มีเงินมีทองมากเท่าใด ก็ไม่สุขใดเท่ากับมีลูกเป็น "คนดี"...