ผมขอยกมือไปร่วมด้วย และขอเรียนรู้ด้วยครับ
งั้นขอใส่ไว้ท้ายบันทึกเลยนะครับ ทางสมาชิกเขาเคยขอให้คุณจตุพรเป็นที่ปรึกษาให้อยู่น่ะครับ เป็นคนชนบทเหมือนกัน รวมทั้งอีกหลายท่านที่ทางชุมชนได้กล่าวถึง คือ อาจารย์ ดร.ขจิต ฝอยทอง และอาจารย์ณัฐพัชร ทองคำ รวมทั้งท่านอื่นๆด้วยครับ หากเห็นว่าเรียนรู้กับชุมชนและร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชุมขนได้ ก็ขอเรียนเชิญครับ
http://gotoknow.org/blog/watchareeya/295120
รุ่นน้องเพาะช่างทำงานร่วมกับวัด...เพื่ออนุรักษ์สิลปะไทยลายรดน้ำค่ะ..
แก้ไข ศิลปะไทยลายรดน้ำค่ะ
ขอบคุณคุณครูอ้อยเล็ก แทนกลุ่มคนหนองบัวที่ช่วยกันริเริ่มเวทีคุยและเสวนากันนี้ขึ้นมาครับ ที่ช่วยทำตัวหนังสือบนภาพหัวข้อที่ใช้เปิดหัวข้อเวทีพลเมืองนี้ครับ แล้วก็ขออนุญาต เอารูปอื่นๆใน dialogue box ที่ผ่านมา ออกนะครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
สาธุค่ะพระอาจารย์...มหาแล ขำสุข (อาสโย)
รูปแบบการตั้งหัวข้อแล้วเขียน-สนทนา
รูปดอกบัวฉัตรขาวรูปนี้ของคณครูอ้อยดูอย่างไรก็สวยงามมากนะครับ ได้บรรยากาศของคนหนองบัวเลย เมื่อก่อนนี้ในสระวัดหนองกลับมีบัวหลวงและไหลบัวอยู่มากมายครับ พอน้ำแห้งขอด ชาวบ้านก็จะลงไปขุดก้นบ่อทำน้ำบ่อทราย และขุดราก-เหง้าบัว มาทำอาหาร-ขนม-ยาสมุนไพร
สวัสดีครับ ยินดีด้วยนะครับสำหรับ รางวัล Best Blog Of the month
ขอบคุณอาจารย์ณัฐพัชร์ครับ สงสัยกำลังสะสมแนวทำร้านกาแฟของตัวเองด้วยหรือเปล่าครับเนี่ย
ขอบคุณครับ อาจารย์ ดร.รุจโรจน์ อาจารย์และคณะสบายดีนะครับ
ความจริงหนองบัวนครสวรรค์ไม่ไกล จากพิษณุโลกเท่าไหร่ ทำอย่างไร คนวัดโบสถ์จะได้ไปเรียนรู้ด้วยครับ
ชอบอ่านบันทึกของอาจารย์ทุกสำนวนคะ
ประเทืองปัญญาและได้นิยามศัพท์ใหม่ๆในคลังสมองคะ
ประชาสัมพันธ์ศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัวและชาวหนองบัวครับ
งานแสดงกตเวทิตาและมุฑิตาจิต เกษียณก่อนกำหนด คุณครูโสภณ สารธรรม ผู้อำนวยการโรงเรียนหนองบัว
ผ้าป่าการศึกษาและงาน ๔๙ ปีสู่ ๕๐ ปีของโรงเรียนหนองบัว
รวมพลังขับเคลื่อน คนหนองบัวมีความกลมเกลียวดีแท้ เยี่ยมครับ
ขอบพระคุณครับ ต้องน้อมคารวะด้วยความยินดียิ่งที่เอื้อเฟื้อผู้น้อยให้ร่วมเป็นเครือข่าย "เวทีพลเมือง" มีโอกาสเข้ามาอ่านบล็อคอาจารย์ และเครือข่ายเป็นระยะๆ ตามวาระ และโอกาสอันพึงมีและอำนวยให้ ชื่นชม และประทับใจหลายๆ ท่าน อาทิ พระคุณเจ้าพระอาจารย์อาสโยภิกขุ (พระมหาแล) ว่าที่ Ph.D จตุพร แห่งสำนักประชากรศาสตร์ อาจารย์ณัฐพัชร์ .... บทสนทนาระหว่างอาจารย์ ดร.วิรัตน์ คำศรีจั้นทร์ พระคุณเจ้า และเครือข่ายหลายๆ ท่าน ที่ปรากฎผ่านออกมาทางบล็อค ลุ่มลึก และลึกซึ้ง ประเทืองปัญญาให้แก่ผู้อ่านโดยแท้
เพิ่งเห็นแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
มีโอกาสเข้ามาอ่านเจตนารมย์ของการสร้างสังคมเพื่อสุขภาวะ
และการศึกษาเพื่อคนขาดโอกาส
รู้สึกทึ่งมากค่ะ
ขอติดตามเรียนรู้ไปด้วยคนนะคะ
เผื่อมีโอกาสร่วมกิจกรรมค่ะ
การทำลานด้วยมูลสัตว์ : เทคโนโลยีและภูมิปัญญาชาวบ้านเพื่อการผลิต
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ยกหัวคันนา
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
สอก : ทางเกวียนสัญจรไปนา
ขอเจริญพร พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
หลุมละโลก : ดินพรุในผืนนาสร้างใหม่
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
ขอแนะนำคนหนองบัวและศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัวให้เป็นแหล่งข้อมูลบุคคลไว้นะครับ หากดูในรายนามที่ผมได้ใส่ไว้ในเครือข่ายที่ปรึกษาทางวิชาการนั้น เป็นการทำอย่างไม่เป็นทางการและทำให้พอเป็นแนวพัฒนาในโอกาสต่อไปเท่านั้นครับ แต่คนที่ได้ขอนำเอารายชื่อมาแสดงไว้นั้น เป็นแหล่งวิทยาการและเป็นทุนบุคคลากรที่อาจจะเป็นโอกาสการพัฒนาของหนองบัวได้ครับ เลยอยากถือโอกาสแนะนำย่อๆ
ในเรื่องการรู้ว่าใครอยู่ที่ไหนทำอะไรนั้นก็ดีเหมือนกันนะครับ ผมลองแนะนำนำร่องให้ครับ ท่านอื่นๆหากแนะนำตนเองหรือแนะนำเพื่อนที่ตนเองรู้จัก เก็บรวบรวมไว้ในนั้ก็ดีนะครับ แนะนำตนเองและหากเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนหนองคอก ก็บอกด้วยว่ารุ่นปีไหนหรือรุ่นเท่าไหร่ มีเพื่อนๆพออ้างถึงได้ใครบ้าง อย่างนี้ก็ดีนะครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
วันหน้าจะได้นำเสอท่านอื่นต่อไป
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
ตามมาอ่านต่อครับ
อ่านบันทึกแลกเปลี่ยนระหว่างท่านอาจารย์และพระอาจารย์
เหมือนนั่งพระเทศน์สองธรรมมาสน์เลยครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์วิรัตน์..ได้อ่านบันทึกแล้วชื่นชมและอยากจะร่วมเพื่อความเป็นอยู่ชอบวิถีชีวิตพื้นบ้าน และความมีจิตสาธารณะของผู้คน..อยากให้ทุกคนมีจิตสาธารณะค่ะ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแล สวัสดีครับหนานเกียรติ และคุณครูรุจี เฉลิมสุข ครับ
มารายงานตัวก่อน แต่ขออนุญาตเตรียมสอบภาค ข สักแป๊บค่ะ
แล้วจะเข้ามาอ่านรายละเอียด แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
สวัสดีครับคุณครูจุฑารัตน์ งั้นขอแนะนำให้กับชาวหนองบัวและทุกท่านที่มาร่วมเป็นเครือข่ายเรียนรู้กับคนหนองบัวเลยนะครับ คุณครูจุฑารัตน์ ปัจจุบันเป็นครูอยู่ที่สำนักงานพื้นที่การศึกษา เขต ๒ จังหวัดกำแพงเพชร เป็นคนหนองบัวและเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัว ผมลิ๊งค์ไปยังบล๊อกของเธอไว้แล้ว ตรงหัวข้อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาการเรียนการสอน เข้าไปเยี่ยม ทักทาย ขอแบ่งปันประสบการณ์ (คุณครูจุฑารัตน์เป็นบล๊อกเกอร์ที่ได้รางวัล Best of the month ของ GotoKnow นี้ด้วย)และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้เลยครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
น้ำฝน-คนเมือง-เรื่องน้ำ(ไม่)เน่า
คนเมืองโดยทั่วไปไม่ค่อยรักฝน มีทัศนะต่อฝนไม่เป็นไปในเชิงบวกเท่าไร
แต่คนบ้านนอก ชาวนา ชาวไร่ จะมองอีกแบบหนึ่งเป็นอะไรก็ได้ดังใจปรารถนาคนบ้านนอกอยากได้น้ำฝน(เพราะมีต้นข้าวที่กำลังคอยฝน)เป็นอะไรได้บ้างเชิญชม(อ่าน)
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
นมัสการพระอาจารย์มหาและ...สวัสดีพี่วิรัตน์ค่ะ..เอาฝนมาฝากค่ะ..ฝน2ภาพล่างนั้นทำเองกับมือเลยค่ะ..มีความสุขในวันหยุดนะคะ..
ขออนุโมทนาขอบคุณคุณครูอ้อยเล็กเป็นอย่างมาก
ชื่นใจจังเลยนะคุณครูอ้อยเล็ก
ชาวนาคงมีความสุขมากเลยที่คุณครูอ้อยเล็กทำฝนส่งมาให้
ขอบคุณครูอ้อยเล็กแทนพี่น้องชาวหนองบัวด้วย
เจริญธรรม
หน้าฝนที่หมู่บ้านที่เคยอยู่จะมาคู่กับฤดูน้ำหลากเสมอทุกปีจนถึงเดือน 12 น้ำนองเต็มตลิ่งพอเข้าเดือนตุลาฝนเริ่มซาลมหนาวโชยมาน้ำก็จะแห้งตามไปด้วย หมู่บ้านก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติ.. บ้านทุกหลังในหมู้บ้านเป็นเรือนยกใต้ถุนสูงทั้งสิ้น ทุกบ้านมีเรือใช้กันทุกหลัง เรือเป็นพาหนะสำคัญ ทั้งใช้ไปธุระ หาปลา ไปดูนา หรือแม้กระทั่งพวกเด็กๆอย่างครูอ้อยใช้พายเล่นกัน พายแข่งกัน การเตรียมเรือ พ่อ-แม่ ปู่ย่าตายาย จะเอาเรือคว่ำไว้โดยมีขอนไม้หนุนไว้ ให้แห้งสนิทตลอดฤดูแล้ง พอใกล้ๆน้ำมา ก็เกณฑ์พวกเราเด็กๆ กะเทาะชันที่ยาเรือออก เศษชันนั้นแม่หัดให้เราเก็บไว้ทำเชื้อไฟเวลาหุงข้าวติดดีจังค่ะ..ส่วนผสมของชัน ก็มีตัวชัน น้ำมันยาง ผสมกันนวดให้เหนียว เแล้วนำไปยาปิดรอยรั่วของเรือ หรือตะเข็บรอยต่อของเรือให้สนิท ยาทั้งนอกเรือและในเรือ การยาเรือต้องใช้เวลาเพื่อที่จะให้ชันนั้นแห้งสนิทดีแล้วจึงค่อยยาด้านนอกเรืออีกทีหนึ่ง ขั้นตอนสุดท้ายใช้น้ำมันยางในปริมาณมากชันพอประมาณผสมให้ได้ลักษณะเหมือนน้ำเชื่อมข้นๆอาบเรืออีกทีนึงเป็นการเคลือบผิวเรือค่ะ ขั้นตอนที่สำคัญก่อนหน้าที่จะลงชันนั่นก็คือการทำความสะอาดเรือดังที่ว่าต้องทำให้เกลี้ยงเกลา การลงชันจึงจะไม่เกิดปัญหารอยรั่วตามมาค่ะ..พวกเราจะสนุกมากเวลามีการเตรียมเรือเพราะเราจะนั่งปั้นอะไรต่ออะไรของเราเล่นไปเลยแข่งกับการยาเรือของผู้ใหญ่ นั่นคือเมื่อเราปั้นจะเสร็จหรือไม่เสร็จก็ตามผู้ใหญ่จะรวบชันไปรวมและนวดแล้วยาเรือต่อไป..การเล่นสนุกของพวกเราก็พลอยจบไปพร้อมๆกับเรือที่ลงชันเสร็จแล้ว พอเรือแห้งสนิทน้ำเริ่มมา เหล่าพาหนะของเราก็ลอยละล่องในน้ำพวกเราส่งเสียงดังลั่นทุ่งเมื่อผู้ใหญ่หลับไหลที่บ้าน เพราะเราจะได้เอาเรือออกไปพายแข่งกัน เล่นน้ำ งมหอย จับปลาเก็บผักท้องนา จนได้เวลาเราจะเอาเรือมาคืนและบ้านใครบ้านมันจัดแจงทำอาหารที่ได้จากการเล่นไว้สำหรับมือต่อไป..นี่คือความสุขที่ครูอ้อยเล็กจดจำได้เสมอ..เป็นคนอะไรไม่รู้ชอบจำอดีตจังเลย..แจ่มชั้นดีจังหรือว่าช่วงนั้นเรามีความสุขการทำงานของระบบความจำพัฒนาได้ดีก็ไม่ทราบนะคะ..อิๆๆ
ขอแสดงความเคารพและสวัสดีผมได้ลองเข้ามาอ่านในเวบนี้เห็นเป็นเวบของการเรียนรู้ประสบการณ์และแลกเปลี่ยนซี่งกันและกันส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำเภอหนองบัว เมื่อหลายปีก่อนผมก็เคยไปเที่ยวที่อำเภอหนองบัว และได้ไปเที่ยววัดหนองกลับซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่อเดิมเคยมาช่วยทำการก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ซี่งถือว่างดงามและสง่างามสมกับเป็นวัดคู่อำเภอหนองบัวและที่จะลืมไม่ได้ก็คือพิพิธภัณฑ์ในวัดที่เป็นแหล่งเรียนรู้ได้ดีเยี่ยมที่สุดผมชอบใจมากเพราะเป็นการรวบรวมเก็บอนุรักโบราณวัตถุ ขอโทษทีครับผมแพร่มมากไปหน่อย ผมขอชมเชยอาจารย์ ดร.วิรัตน์ ที่ได้สร้างสรรค์เวทีแห่งการเรียนนี้ขึ้นและเป็นผู้จุดประกายไฟแห่งการเรียนรู้แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันในอีกหลายๆ ท่าน
แต่ในฐานะที่ผมเป็นคนต่างถิ่นคงจะไม่มีความรู้ในเขตพื้นที่อำเภอหนองบัวดีซักเท่าไหร่และผมก็อยากนำเสนอสิ่งใหม่ซึ่งมีอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เหมือนกันที่หนองบัว ผมเป็นคนเมืองชายแดน แคว้นขุนเขา ผมเกิดที่จังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งหมู่บ้านอำเภอของผมมีสภาพเป็นป่าและภูเขามาก จนในอดีตมีคำกล่าวว่า อยู่ไกล ไปยาก และลำบาก คือบ้านโคก ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุตรดิตถ์ ความแตกต่างทางกายภาพ สภาพภูมิศาสตร์ ทำให้ชุมชนของผม ไม่เหมือนชุมชนซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ราบลุ่ม การคมนาคมสะดวกสบาย ความแตกต่างเหล่านี้เองทำให้ชุมชนของผม จากบ้านห้วย กล้วยป่า มีวิถีชีวิตที่ผูกพันธ์กับธรรมชาติมากเพราะว่ามองไปทางใหนก็มีแต่ป่าแต่เขา
อย่างเช่นที่วัดบ้านเกิดของผม มีต้นมะม่วงอยู่สองต้น อายุหลายร้อนปีแล้ว ถ้าใช้คนโอบก็คงประมาณซัก 10 -12 ได้ มีเรื่องเล่าขานกันว่าในต้นมะม่วงนี้มีเจ้าเทพดา อารักษ์ รักษาอยู่ โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ พ่อโช้น แม่โช้น พ่อตู้ แม่ตู้ จะนับถือกันมาก เวลาไปวัดหรือมีงานอะไรที่วัดจะต้องมีการทำพิธีกราบใหว้ และนิยมเอาข้าวเหนียวไปติดที่ต้นมะม่วงนี้ จนขาวเป็นจุด ๆ ไป แต่พวกเด็กจะมีความเกรงกลัวกันมาก
ผมขอเล่าเพียงแค่นี้ก่อนครับถ้ามีโอกาศเดี่ยวผมจะเข้ามาเล่าสู่กันฟังใหม่ ( หนาน....แสนเหมียง )
สวัสดีครับคุณครูจุฑารัตน์
สวัสดีครับคุณครูอ้อยเล็ก
สวัสดีหนานแสนเหมียงครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
นมัสการพระอาจารย์มหาแล...
สวัสดีค่ะอาจารย์
อ่านบันทึกแล้ว อาจารย์คงมีงานที่รับผิดชอบมาก และคงยุ่งกับงานอย่างงหนัก
รักษาสุขภาพนะคะ
อ้อ อยากขอทราบที่อยู่โดยละเอียด และชื่อผู้รับของโรงเรียนวันครูด้วยน่ะค่ะ เพราะทราบแต่ชื่อ อำเภอ จังหวัดเท่านั้นค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
กลองยาว แตรวง และกิจกรรมทางศาสนา กับการสร้างชีวิตความเป็นชุมชน
กราบสวัสดีครับ ท่านอาจารย์ วิรัตน์ และทุกๆท่านที่มาเพิ่มเติมแหล่งความรู้
การเป็นแหล่งทรัพยากรความรู้ ส่งเสริมการพัฒนาการเรียนรู้ชุมชนและส่งเสริมการพัฒนาการเรียนการสอนของโรงเรียน
สวัสดีครับคุณเสวก ใยอินทร์
เห็นด้วยต่อการเล็งเห็นการสร้างความรู้และแหล่งการเรียนรู้ชุมชนไว้หนุนโรงเรียน
ขึ้นฐานไว้รองรับเครือข่ายการเสริมกำลังกันของบ้าน วัด และโรงเรียน เพื่อสร้างสุขภาวะสาธารณะของชุมชน
เป็นแหล่งความรู้และข้อมูลชุมชนอีกทางหนึ่ง
อาจารย์ดร.ขจิตคะ..แวะหน่อยนะคะ..ตามลิ้งข้างล่างค่ะ..ขอบคุณค่ะ..
คิดให้ได้พลังใจไปกับเพลง
ค่ะท่านอาจารย์ขจิตท่านก็ได้ช่วยหาที่เขาแปลมาแล้ว..มาวางไว้ให้เสร็จสรรพแล้วค่ะ..
วิธีนี้บ้านครูอ้อยเล็กก็เรียกว่า..ล่อปลาเหมือนกัน..ก็จะมีเหยื่อที่มันดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊กได้เป็นตัวล่อ..แต่ถ้าเหยื่อทนพิษบาดแผลไม่ไหวตายไป..ก็ใช้วิธียกเหยื่อขึ้นลงอันเป็นคำที่มาของอาการหยกปลาก็ได้นะคะ คือยกขึ้นลงแบบสั้นๆเร็วบ้างช้าบ้างตามแต่สถาณการณ์ละมังคะ..วิธีนี้จะได้ปลาช่อนแน่นอนเพราะปลาช่อนต้องโผล่มาหายใจที่ผิวน้ำเป็นระยะๆ แต่ด้วยว่าแถวบ้านครูอ้อยน้ำมากค่ะ..เบ็ดที่นิยมจึงเป็น..เบ็ดราว..คือเบ็ดที่ขึงระหว่างฝั่งคลอง มีเบ็ดผูกไว้เป็นระยะห่างกันพอควร..จะวางไว้ตอนหัวค่ำ เช้ามือค่อยไปดูผลงานค่ะ..กิจกรรมนี้ครูอ้อยเล็กไม่ได้มีส่วนร่วมเท่าใดเพราะเป็นกิจกรรมของเด็กผู้ชายซะมากกว่า..ส่วนอีกเบ็ดหนึ่ง คือเบ็ดปัก...เป็นเบ็ดที่เหลาไม้ไผ่ที่ไม่แก่เกินไปไม่อ่อนเกินไป เป็นไม้กลม ยาวประมาณคันละ 60 -80 เซนติเมตร งอแล้วนำไปลนไฟให้เซทตัวโค้งพอประมาณ ควั่นปลายไม่ให้เป็นร่อง นำเบ็ดพร้อมตะกั่วที่ผูกไว้เรียบร้อยแล้วผูกติดลงในร่องที่ปลายไม้นั้น ส่วนปลายไม้อีกด้านหนึ่งเหลาให้แหลม เพื่อใช้เป็นส่วนที่ปักลงกับดิน..ทีนี้ก็เป็นขั้นตอนของการหาทำเลที่ปักเบ็ดจะหาชายฝั่งคลองที่มีกิ่งไม้ปกคุมแหวกแล้วปักไว้ด้วยเหยือลูกปลา น่าสงสารลูกปลาวิ่งไปมา..เฮ้อแต่ตอนนั้นเป็นเด็กท้องนาชีวิตทุกชีวิตต้องดิ้นรนอยู่รอด..ก็ไม่ค่อยได้คิดอะไรค่ะ..แม่กับพ่อมักบอกเสมอว่ามันเป็นอาหารค่ะ..
ข้อมูลที่ไปรวบรวมมาขององค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐมค่ะ..
อาจารย์ครับ ขอขอบพระคุณอาจารย์มากครับที่เข้าไปเยี่ยม ผมตอนนี้อาการไม่สู้ดีนักครับ เพราะมีงานค่อนข้างมากและมีเรื่องให้คิดทบทวนตัวเองมากเลย เหมือนจะเบลอๆอย่างไรไม่รู้ครับ ผมยินดีมากครับที่จะเป็นเครือข่ายด้วยนับเป็นเกียรติมากเลยครับ ผมเปิดประตูเข้ามาบ้านอาจารย์ ทึ่งครับ สำหรับลายเส้นที่บรรจงวาดลงไป สวย แม่นยำ มีพลังครับ...
เบ็ดสำหรับปักในนาข้าว
"...ส่วนอีกเบ็ดหนึ่ง คือเบ็ดปัก...เป็นเบ็ดที่เหลาไม้ไผ่ที่ไม่แก่เกินไปไม่อ่อนเกินไป เป็นไม้กลม ยาวประมาณคันละ 60 -80 เซนติเมตร งอแล้วนำไปลนไฟให้เซทตัวโค้งพอประมาณ ควั่นปลายไม่ให้เป็นร่อง นำเบ็ดพร้อมตะกั่วที่ผูกไว้เรียบร้อยแล้วผูกติดลงในร่องที่ปลายไม้นั้น ส่วนปลายไม้อีกด้านหนึ่งเหลาให้แหลม เพื่อใช้เป็นส่วนที่ปักลงกับดิน...." วัชรี โชติรัตน์ โรงเรียนเทศบาล ๔ (เชาวนปรัชาอุทิศ) นครปฐม ๒๕๕๒ จาก dialogue box ๗๗
เบ็ดปัก เป็นเบ็ดสำหรับปักตามคันนาของนาข้าว ชาวบ้านจะปักเบ็ดโดยใช้เหยื่อในลักษณะต่างๆ คือ ใช้เหยื่อไส้เดือนสำหรับแหล่งที่มีปลาดุก ปลาหมอ และปลาที่ว่ายน้ำหากินตามผิวดิน เช่น ปลาไหล ปลาหลด และปลาขนาดเล็ก โดยเฉพาะในระยะที่น้ำเพิ่งหลากมา การปักเบ็ดในลักษณะนี้จะปักแบบก้มคันเบ็ดเกือยติดผิวน้ำเพื่อให้สายเบ็ดและเหยื่อหย่อนลงไปถึงผิวดิน
เหยื่อเขียดและลูกปลาตัวเล็กๆ จะเป็นเหยื่อที่เหมาะสมสำหรับปักเบ็ดเมื่อน้ำเริ่มทรงแล้ว หรือเป็นระยะที่ปลาเริ่มโต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นปลาช่อน ปลาค้าว ปลากด การปักเบ็ดโดยใช้เหยื่อเขียดแบบนี้ จะโหย่งคันเบ็ดให้สูงและให้เขียดและลูกปลาลอยลงไปในน้ำครึ่งตัว การดีดตัวของเขียดบนผิวน้ำ และการวิ่งอยู่บนผิวน้ำของเหยื่อลูกปลา จะทำให้ปลาขนาดใหญ่โผเข้ากินเบ็ด ในทุ่งนาที่มีน้ำลึกและนิ่งมักนิยมปักเบ็ดแบบนี้
ถูกต้องแม่นยำค่ะนี่คือวิถีที่ในตอนนั้นไม่มีแม้กล้องจะถ่ายภาพ..แต่อาจารย์สามารถถ่ายทอดตามคำบอกเล่าได้อย่างถูกต้องแม่นยำ..เอครูอ้อยนี่อายุเท่าไหร้หนอ..อิๆถึงได้คุยกะอาจารย์รู้เรื่องน่ะคะ..
พลังการวิจัยและพัฒนาเป็นกลุ่มประชาคม : สื่อการ์ตูนบูรณาการการเรียนรู้ ส่งเสริมสุขภาวะท้องถิ่นและพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นของสถานศึกษา
ผมมีตัวอย่างสื่อการ์ตูนที่อยากนำมาเผยแพร่ให้ผู้สนใจในเวทีคนหนองบัวครับ เป็นตัวอย่างสื่อการ์ตูนที่เผยแพร่และใช้เพื่อการศึกษาไปแล้ว ผมเหลือไว้ดูอยู่เล่มหนึ่งเลยอยากเผยแพร่ไว้ในแหล่งรวบรวมและบันทึกความรู้นี้ อาจจะช่วยจุดประกายความคิดแก่คนหนองบัว รวมทั้งอาจเป็นแนวคิดสำหรับทำสิ่งที่หลายท่านกล่าวถึงในนี้ โดยเฉพาะการใช้ข้อมูล ความรู้ รูปภาพและสื่อ ไปเสริมกำลังให้กับการพัฒนาการเรียนรู้ทั้งสำหรับคนท้องถิ่น สถานศึกษา และกิจกรรมการเรียนรู้ในครอบครัว
ข้อมูลเกี่ยวกับสื่อ : เป็นสื่อการ์ตูนประกอบคำกลอน รักษ์คลอง รักถิ่น เนื้อหาโดย จริยา ศรีเพชร ข้อมูลโดยเครือข่ายประชาคมวิจัยสร้างองค์ความรู้ท้องถิ่นอำเภอพุทธมณฑล วาดภาพโดย ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ระบายสี โดย รุจิรา คำศรีจันทร์ ทุนอุดหนุนการวิจัย โดย มหาวิทยาลัยมหิดล ๒๕๔๓
กระบวนการผลิตและพัฒนา :
การเรียนรู้และสร้างความรู้ท้องถิ่นเพิ่มพลังการปฏิบัติ : สื่อการ์ตูนนี้เกิดขึ้นโดยกระบวนการต่อยอดการวิจัยเสริมพลังการริเริ่มและปฏิบัติการของกลุ่มคนในท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ผู้ทำเนื้อหาและนำไปใช้เพื่อพัฒนาการศึกษาเรียนรู้สำหรับเด็กและชุมชนคือ จริยา ศรีเพชร ซึ่งในขณะที่ทำเมื่อปี ๒๕๔๓ นั้นเป็นครูในโรงเรียนบ้านคลองมหาสวัสดิ์ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ขาดโอกาสการพัฒนาในหลายด้าน กลุ่มเด็กๆส่วนใหญ่มาจากครอบครัวคนท้องถิ่นซึ่งยากจน
คุณครูจริยา ศรีเพชร เป็นเครือข่ายของกลุ่มประชาคมวิจัยละปฏิบัติการเชิงสังคมเพื่อพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างบูรณาการในอำเภอพุทธมณฑล ในโครงการวิจัยดังกล่าวใช้วิธีระดมพลังกลุ่มคนในพื้นที่มาช่วยกันวิจัยสร้างองค์ความรู้ท้องถิ่น ทำให้ได้องค์ความรู้ท้องถิ่นกว่า ๒๕ ด้าน และเกิดเครือข่ายปัจเจกผู้มีจิตสาธารณะที่ได้รับการเสริมศักยภาพในการปฏิบัติการเชิงสังคมกว่า ๒๕๐ คนครอบคลุมหลายสาขา ทำให้มีพลังปฏิบัติการในเรื่องต่างๆอย่างมีพลังและเกิดความเชื่อมโยงผสมผสานมากขึ้นเป็นลำดับ
แรงบันดาลใจแบบต่อยอดกิจกรรม : คุณครูจริยา ศรีเพชร ผ่านการศึกษามาทางสังคมศึกษา แต่ต้องสอนและทำงานหลายด้านในสภาพที่มีข้อจำกัดหลายประการ หลังจากสร้างองค์ความรู้ ได้ประสบการณ์มากขึ้นเกี่ยวกับชุมชน และได้เครือข่ายจากการวิจัยและปฏิบัติการเชิงสังคมในรูปกลุ่มประชาคม คุณครูจริยาจึงสามารถนำเอาความรู้และกลุ่มคนมาร่วมกันจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้สิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการให้แก่เด็กในโรงเรียนต่างๆของอำเภอพุทธมณฑล ดำเนินการ ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มีเพื่อนๆและเครือข่ายช่วยกันทั้งอำเภอ เทศบาลก็ให้งบประมาณสนับสนุน ผมและทีมก็ไปช่วยทั้งเพื่อตามเรียนรู้และทำวิจัยเสริมพลังการดำเนินการ และให้การสนับสนุนทางวิชาการ กิจกรรมค่ายการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการดังกล่าว ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างเด็กอย่างกว้างขวาง เด็กๆจากโรงเรียนในอำเภอเข้าร่วมกว่า ๒๕๐ คน ชาวบ้านและคนในชุมชนได้ร่วมเป็นครูชุมชนให้เด็กๆ รวมทั้งใช้สวน นาบัว นาข้าว และแหล่งการผลิตสิ่งๆต่างในชุมชน เป็นแหล่งการเรียนรู้ เด็กๆมีกิจกรรมการเรียนรู้อย่างบูรณาการ ทั้งเป็นนักวิจัยน้อย การทำกิจกรรมกลุ่ม การระดมสมองและวางแผนนำเสนอเป็นกลุ่ม วาดรูป เล่นเกมส์ และกิจกรรมร้องเพลง
เมื่อปิดกิจกรรมค่าย คุณครูจากโรงเรียนทุกคนดีใจที่เด็กๆและโรงเรียนของตนได้มีโอกาสทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่นอย่างบูรณาการที่ร่วมแรงร่วมใจกันจัดขึ้น คุณครูจริยาก็ยิ่งดีใจเพราะเด็กๆและโรงเรียนของคุณครูไม่ค่อยมีโอกาส อีกทั้งหากทำเองโดยลำพังก็ไม่มีกำลังพอจะทำได้ จึงแต่งกลอนเพื่ออ่านบนเวทีตอนปิดค่ายกิจกรรม
ทำการริเริ่มจากการใช้ความรู้ให้เป็นสื่อสำหรับใช้ทำงานต่อเนื่อง : ผมเห็นเป็นข้อมูลที่สืบเนื่องอยู่กับระบวนการเรียนรู้อย่างกว้างขวางของชุมชนและเครือข่ายสถานศึกษา จึงได้นำเอากลอนที่คุณครูแต่งและอ่านสดๆบนเวทีปิดกิจกรรมค่าย มาทำเป็นบทการ์ตูน วาดรูปการ์ตูน และขอให้คุณรุจิรา คำศรีจันทร์ นักวิชาการโสตทัศนศึกษา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ระบายสีและทำเป็นต้นฉบับสื่อการ์ตูน จากนั้นได้ขอการสนับสนุนจากโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ทำเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ให้คุณครู เครือข่ายวิจัย และสถานศึกษาในชุมชนอำเภอพุทธมณฑล นำกลับไปใช้เพื่อพัฒนาการศึกษาเรียนรู้ของเด็กๆต่อไปอีก
การวิจัยและเรียนรู้ชุมชนแปรสู่การสร้างทุนทางสังคมให้การศึกษาในพื้นที่ : คุณครูจริยา ศรีเพชร ได้นำไปใช้เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนหลายลักษณะ ทั้งเป็นส่วนเสริมกิจกรรมที่มีอยู่แต่เดิมและเป็นสื่อในกิจกรรมพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น ทำให้โรงเรียนได้พัฒนาบางส่วนที่ขาดอยู่ขึ้นอีกหลายด้าน ต่อมาได้เป็นตัวอย่างและเป็นสื่อในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ีได้รับรางวัลทางด้านการศึกษาระดับประเทศ ตัวคุณครูจริยา ศรีเพชรเองซึ่งเป็นครูในโรงเรียนที่อยู่ชายขอบมากก็ได้พิจารณาให้เป็นครูตัวอย่าง และต่อมาก็เป็นครูผู้เชี่ยวชาญระดับ ๙ ซึ่งมีอยู่คนเดียวของจังหวัดนครปฐม และปัจจุบัน ได้ย้ายมาเป็นครูของโรงเรียนกาญจนาภิเษก(พระตำหนักสวนกุหลาบ) ในอำเภอพุทธมณฑล และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นอย่างบูรณาการ
เนื้อหาบทกลอนและบทสื่อการ์ตูน
บัวกะหนูนาอยู่อาศัยในพุทธมณฑล บัวกะหนูนาจะพาเที่ยวคลองในพุทธมณฑล
ล่องเรือเลียบคลองมหาสวัสดิ์ เที่ยวเลาะลัดทัศนาถิ่นอาศัย อู่ต่อเรือ สวนเกษตร สมุนไพร เรือนเก่าใหม่ วัดคู่บ้าน ย่านชุมชน
วิถีชีวิตสองฝั่งคลองดูหลากหลาย บ้างค้าขาย หัตถกรรม ล้ำเลิศผล ทั้งนาบัว สวนกล้วยไม้ ชวนให้ยล ชาวชุมชนพาเรียนรู้ชูปัญญา
ธรรมชาติริมคลองทั้งสองฝั่ง พืชพรรณยังเขียวชอุ่มพุ่มไม้หนา นกน้อยน้อยโผผินบินไปมา พลิ้วใบหญ้า บัวสาย ตามรายทาง
แสนเสียดายหากคลองต้องเน่าเหม็น น้ำใสเย็นกลับคล้ำเป็นดำด่าง สรรพชีวิต ปู ปลา ต้องลาร้าง ล้วนร่วมสร้างร่วมก่อจากทุกคน
สังคมดี ธรรมชาติดี ไม่มีขาย แม้อยากได้ต้องร่วมสร้าง ทุกแห่งหน ทั้งคูคลอง ถิ่นฐาน พุทธมณฑล จะน่ายลและน่าอยู่ ตลอดไป
พุทธมณฑล เมืองน่าอยู่ ด้วยทุกคนร่วมกันสร้าง.
เอามาฝากเป็นแนวคิดและเป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ชุมชน สร้างความรู้ท้องถิ่น และร่วมมือกันเพื่อทำให้คนบางส่วนที่มีความริเริ่ม มีจิตสาธารณะ มีความรู้ มีความสร้างสรรค์ และเอาธุระต่อการพัฒนาสุขภาวะของสังคมด้วยการมีส่วนร่วมของตนเองนอกเหนือจากที่ทำในวิธีการอื่นๆอยู่แล้ว แต่ไม่มีกำลังพอที่จะทำได้อย่างเต็มที่อย่างที่ตนเองทำได้ เพื่อเป็นวัตถุดิบคิดสร้างสรรค์ของคนหนองบัว หรือคุณครูและคนทำงานชุมชนท้องถิ่นจะนำไปใช้เป็นสื่อพัฒนาการศึกษาเรียนรู้ต่างๆต่อไปครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์และผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
และสวัสดีค่ะพี่ชาย อ.วิรัตน์ คำศรีจันทร์
------------------------------
เมืองไทยเรานี้ แสนดีหนักหนา
ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
ทำมาหากิน แผ่นดินของเรา
ปลูกเรือนสร้างเหย้า อยู่ร่วมกันไป
เราอยู่เป็นสุข สนุกสนาน
เราตั้งถิ่นฐาน ไปจนยิ่งใหญ่
เมืองไทยเรานี้ แสนดีกระไร
เรารักเมืองไทย ยิ่งชีพเราเอย
กราบนมัสการพระคุณเจ้า และท่านผู้อ่านทุกท่านครับ
สื่อการ์ตูนที่นำมาฝากกันนี้ ร่วมบรรยากาศช่วยกันรณรงค์ วันแม่น้ำลำคลองแห่งชาติ ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายนนี้พอดีครับ สังคมไทยจะได้มีโอกาสรำลึกและหวนกลับมารักษ์คลองและรักถิ่นฐานให้มากขึ้น โดยเฉพาะคนหนองบัวและนครสวรรค์ ซึ่งมีบึงบรเพ็ดและเป็นแอ่งข้าวปลาอาหารของประเทศ
ผมได้ย้ายหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องหนองบัวกลับไปยังหัวข้อต่างๆตามเดิมของเขาแล้วนะครับ เนื่องจากพอย้ายมาแล้วก็ปรากฏว่ากระทบไปทั้งหมดของสิ่งที่ผมเขียนทั้งในเวทีนี้ ใน GotoKnow รวมทั้งในบล๊อกอื่นๆทั้งของผมและผู้อื่นที่เขาลิ๊งค์และเชื่อมโยงไปเขียนถึง ซึ่งพอย้ายมานิดเดียวก็เป็นเรื่องครับ ทำให้โกลาหลและวุ่นวายกันไปหมดเลย กูเกิ้ลก็หาไม่เจอ หัวข้ออื่นๆทั้งของตัวเองและที่คนอื่นเขากล่าวถึงก็หาไม่เจอ รวนไปหมดอย่างคาดไม่ถึง ต้องขออภัยอย่างยิ่งครับ ต่อไปนี้หากเขียนเรื่องหนองบัวและท้องถิ่นนครสวรรค์ก็จะเริ่มมาเขียนที่นี่ครับ
กราบนมัสการด้วยความเคารพ
อาจารย์คะ..พี่จริยา ศรีเพชรเก่งมากๆค่ะ..มีความตั้งใจใฝ่เรียนรู้..พบตัวพี่เขาเป็นๆมาแล้วค่ะ..ยังมีน้ำใจให้ชุดการสอนสังคมมาอีกเล่มใหญ่เลยค่ะ..
คลังข้อมูลและสื่อสำหรับพัฒนาการศึกษาเรียนรู้เพื่อสร้างเด็กและส่งเสริมสุขภาวะชุมชน
ขอเจริญพร
นมัสการพระอาจารย์มหาแล,สวัสดีค่ะอาจารย์พี่วิรัตน์และทุกๆท่านค่ะ..
ขอนมัสการขอบคุณในคำชมพระอาจารย์ค่ะ..ครูอ้อยเล็กก็แค่ทำได้ค่ะ..แต่ยินดีมอบสิ่งที่ทำได้นี้..ได้ช่วยเหลือสังคมบ้างก็พอค่ะ..
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ
กราบนมัสการด้วยความเคารพ
ลอมฟาง ซุ้มฟาง วงผิงไฟ : การจัดการปัจจัยเพื่ออยู่อาศัยกับธรรมชาติให้กลมกลืนและพื้นที่สร้างความเป็นชุมชนในวิถีประชาสังคม
ชุมชนดั้งเดิมของอำเภอหนองบัวเป็นเกษตรกร ทำนา ทำไร่ โดยทรัพยากรและปัจจัยการผลิตต่างๆ เน้นการใช้แรงงานคนและสัตว์เป็นหลัก การจัดการพลังการผลิตและกระบวนการต่างๆ ที่นำไปสู่การสร้างสุขภาวะทั้งของปัจเจก ครอบครัว และความเป็นสาธารณะของชุมชน จะได้จากความเป็นชุมชนและวิถีชีวิตรวมกลุ่มเพื่อจัดการอย่างมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆ เช่น การเอาแรง การลงแขก ธรรมเนียมการดองและใช้แรงงานเพื่อเชื่อมโยงความเป็นเครือข่ายเครือญาติผ่านการแต่งงาน รวมไปจนถึงการแห่นาคและบวชนาคหมู่ซึ่งเป็นงานประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของคนหนองบัวที่ต้องมีการเอาแรง การโฮมนาค
สิ่งที่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนความเป็นชุมชนและวิถีการรวมกลุ่มดังกล่าว จึงเป็นทุนทางสังคม(Social capital) และเป็นโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน ที่ขับเคลื่อนพลังความเป็นชุมชนดังกล่าวให้ดำรงอยู่อย่างมีชีวิต ดังนั้น จึงมีความสำคัญและต้องส่งเสริม บำรุงรักษาให้มีความงอกงามหลากหลายยิ่งๆขึ้นในชุมชน
ลอมฟาง ซุ้มฟาง และวงผิงไฟ เป็นวิถีชีวิตชุมชนแต่ดั้งเดิมที่มีบทบาทต่อความเป็นชุมชนในลักษณะดังกล่าว ในอดีตนั้น หน้าหนาวจะเป็นช่วงเวลาที่หนาวเย็นและตรงกับช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการทำนา ข้าวหนักจะเริ่มแก่ ข้าวเบาก็จะสุกและพร้อมเกี่ยว
ก่อนเกี่ยวข้าวก็จะต้องนาบข้าวให้ลู่ราบไปในทางเดียวกันเพื่อให้เหมาะแก่การเกี่ยวด้วยเคียวและการลงแขก เมื่อเกี่ยวข้าวแล้วก็จะต้องนวดข้าวและเก็บข้าวใส่ยุ้งฉาง สิ่งที่ได้ตามมาส่วนหนึ่งก็จะได้แก่ฟาง สำหรับเป็นอาหารวัวควายตลอดหน้าแล้งเป็นหลัก
ขั้นตอนเหล่านี้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งในอดีตนั้น ชาวบ้าน คนเฒ่าคนแก่ จะทุกข์ทรมานจากความหนาวเย็น ทั้งโดยความเป็นฤดูหนาวเองและเนื่องจากความขาดแคลน บ้านช่องไม่หนาแน่นพอจะกันลมหนาวโกรกให้เย็นยะเยือก เสื้อผ้าไม่พอใส่ และผ้าห่มก็ไม่พอคุ้มหนาว แต่ชาวบ้านก็มีการเรียนรู้ที่อยู่อย่างเรียบง่ายแต่สร้างสุขภาวะชุมชนได้อย่างบูรณาการ
วิธีแก้ไขของชุมชน ชาวบ้านก็จะทำซุ้มฟางและมีวงผิงไฟ ใครอยากนอนอุ่นก็จะทำซุ้มฟางให้เพียงพอ เด็กๆจะชอบมากเพราะเป็นการเล่นที่จริงจังเหมือนกับเล่นสร้างบ้านและสร้างชุมชนขึ้นมาเป็นของตนเอง ให้ประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของกลุ่มก้อนและชุมชนโดยตรง เป็นการจัดการความรู้ในวิถีชีวิต เด็กๆและชาวบ้านต้องเลือกทำเลสำหรับทำซุ้มฟางด้วยความรอบรู้หลายอย่าง ทั้งความปลอดภัยจากงูและสัตว์อันตราย ความปลอดภัยจากลมและฟืนไฟ การหลบทิศทางลมหนาวโกรก การทำซุ้มได้ดีจะน่านอน อบอุ่น ได้เฝ้าดูแลบ้านช่องและข้าวให้ทุกคนมีความอบอุ่นทั้งกายใจ
ก่อนนอนยามมืดค่ำและยามเช้าหลังตื่นนอนลุกจากซุ้มฟาง ก่อนแยกย้ายไปทำการงานเมื่อแดดออก ก็จะล้อมวงผิงไฟข้างลานนวดข้าว ลานบ้าน และข้างซุ้มฟาง บ้างก็นั่งเผาเผือกมัน ปิ้งข้าวเกรียบว่าว เหลาไม้ จักตอก ทำเครื่องจักสานและทำงานฝีมือต่างๆ ก่อให้เกิดวงสังคม ความเป็นกลุ่มก้อน และพัฒนาความเป็นชุมชนเรียนรู้อย่างบูรณาการ (Civility and Learning community) หลายสิ่งจะเกิดขึ้นในวงผิงไฟและพื้นที่ความเป็นชุมชนแห่งการแแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความเป็นชุมชนและการดำเนินชีวิตอยู่ด้วยกันของชาวบ้าน เป็นกลไกเชิงกระบวนการของสังคม ที่นำไปสู่การจัดการอย่างมีส่วนร่วม ทำให้ชุมชนปรับตัวเข้าหาเงื่อนไขธรรมชาติมากกว่าปรับธรรมชาติให้เป็นไปตามความต้องการ อีกทั้งเป็นแหล่งบ่มเพาะภูมิปัญญาการปฏิบัติต่างๆสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม พอเพียง
การมีสิ่งเหล่านี้ของชุมชน บ่งบอกถึงการมีพื้นฐานของการมีสุขภาวะของชุมชนได้อย่างหนึ่ง รวมทั้งทำให้มีความมั่นใจตนเองได้ว่าชุมชนในท้องถิ่นต่างๆมีศักยภาพการเรียนรู้ที่ทรงพลังอย่างนี้อยู่ ซึ่งในปัจจุบันสภาพแวดล้อมต่างๆได้เปลี่ยนไป รูปแบบของกิจกรรมภายนอกก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ความเป็นพื้นที่สร้างความเป็นสาธารณะด้วยกันของชุมชน อาจมีอยู่ในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งจะต้องค้นหาและพัฒนาให้มีความละเอียดอ่อน เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีของชุมชน เหมือนกับเป็นการเพิ่มพูนทุนทางสังคมของชุมชนให้ผู้คนมีโอกาสได้ความอยู่เย็นเป็นสุขจากการอยู่ด้วยกันและมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆกับคนอื่น
ชุมชนที่มีองค์ประกอบด้านนี้น้อย ก็จะมีความทันสมัยแต่เพียงกายภาพภายนอก แต่มีความอยู่เย็นเป็นสุขน้อย คนหนองบัวจึงควรหมั่นสร้างทุนทางสังคมอย่างนี้เยอะๆในชุมชนของตนเอง.
ข้อมูลและวาดภาพโดย ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล กันยายน ๒๕๕๒
เจริญพร
เห็นคนนั่งผิงไฟสูุบยาก็นีกถึงบ้านห้วยน้ำโจนของหนูุเลยค่ะ
ครูอ้อยเล็กก็มีลิ้งค์น้องๆมาฝากอาจารย์ด้วยค่ะ...
วิธีแก้ไขของชุมชน ชาวบ้านก็จะทำซุ้มฟางและมีวงผิงไฟ ใครอยากนอนอุ่นก็จะทำซุ้มฟางให้เพียงพอ เด็กๆจะชอบมากเพราะเป็นการเล่นที่จริงจังเหมือนกับเล่นสร้างบ้านและสร้างชุมชนขึ้นมาเป็นของตนเอง ให้ประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของกลุ่มก้อนและชุมชนโดยตรง เป็นการจัดการความรู้ในวิถีชีวิต เด็กๆและชาวบ้านต้องเลือกทำเลสำหรับทำซุ้มฟางด้วยความรอบรู้หลายอย่าง ทั้งความปลอดภัยจากงูและสัตว์อันตราย ความปลอดภัยจากลมและฟืนไฟ การหลบทิศทางลมหนาวโกรก การทำซุ้มได้ดีจะน่านอน อบอุ่น ได้เฝ้าดูแลบ้านช่องและข้าวให้ทุกคนมีความอบอุ่นทั้งกายใจ
ก่อนนอนยามมืดค่ำและยามเช้าหลังตื่นนอนลุกจากซุ้มฟาง ก่อนแยกย้ายไปทำการงานเมื่อแดดออก ก็จะล้อมวงผิงไฟข้างลานนวดข้าว ลานบ้าน และข้างซุ้มฟาง บ้างก็นั่งเผาเผือกมัน ปิ้งข้าวเกรียบว่าว เหลาไม้ จักตอก ทำเครื่องจักสานและทำงานฝีมือต่างๆ ก่อให้เกิดวงสังคม ความเป็นกลุ่มก้อน และพัฒนาความเป็นชุมชนเรียนรู้อย่างบูรณาการ (Civility and Learning community) หลายสิ่งจะเกิดขึ้นในวงผิงไฟและพื้นที่ความเป็นชุมชนแห่งการแแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความเป็นชุมชนและการดำเนินชีวิตอยู่ด้วยกันของชาวบ้าน เป็นกลไกเชิงกระบวนการของสังคม ที่นำไปสู่การจัดการอย่างมีส่วนร่วม ทำให้ชุมชนปรับตัวเข้าหาเงื่อนไขธรรมชาติมากกว่าปรับธรรมชาติให้เป็นไปตามความต้องการ อีกทั้งเป็นแหล่งบ่มเพาะภูมิปัญญาการปฏิบัติต่างๆสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม พอเพียง
วิถีเหมือนกันทุกประการค่ะ...เหมือนลอกกันมาเลยค่ะ...