เวทีคนหนองบัว : เวทีของคนทั่วไปทุกคน
เวทีนี้เป็นเวทีเรียนรู้สร้างพลังภาคพลเมืองเพื่อมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมและสร้างการมีประสบการณ์ทางสังคมอย่างมีความหมายต่อตนเองสำหรับผู้สนใจทุกคน จิตสาธารณะ ความสำนึกและความตระหนักรู้ของพลเมืองต่อการร่วมทุกข์สุขของผู้คนในสังคม เป็นองค์ประกอบด้านการเรียนรู้ของมนุษย์ที่ต้องมาจากการมีประสบการณ์ทางสังคมทางใดทางหนึ่ง ยิ่งเข้มข้นและเป็นประสบการณ์ตรงจากการได้มีส่วนร่วมทางการปฏิบัติที่มีนัยยะต่อการเรียนรู้ทางสังคมมากเพียงใด รูปการณ์จิตสำนึกก็ยิ่งแจ่มชัด เป็นตัวของตัวเอง และพลังจิตสำนึกสาธารณะก็จะยิ่งมีพลังมากเป็นทวีคูณเพียงนั้น ซึ่งพลังชีวิตที่ออกมาจากจิตใจของปัจเจกที่โน้มนำด้วยความมีจิตสำนึกสาธารณะ ก็จะทำให้คนและชุมชนเป็นปัจจัยการแก้ปัญหาที่สร้างความสมดุลระหว่างจุดหมายเพื่อส่วนตนของปัจเจกกับความจำเป็นเพื่อส่วนรวมที่ทรงพลังที่สุด ที่สำคัญคือประสบการณ์ทางสังคมเพื่อสร้างเสริมจิตสำนึกพลเมืองในวิถีดังกล่าวนี้เราสามารถเลือกสรรและสร้างได้โดยวิถีแห่งปัญญา เห็นวิกฤติและความจำเป็นในการทำเหตุปัจจัยเพื่อสิ่งดีด้วยความรู้และวิถีแห่งปัญญา โดยไม่ต้องรอให้ปัญหาที่เราสนใจได้เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงค่อยคิดปฏิบัติแบบตั้งรับ ก็ได้
สร้างสุขภาวะสังคมผ่านสร้างพลังเครือข่ายปัจเจก ครอบครัว ชุมชน กลุ่มประชาคม
ส่งเสริมการพัฒนาความมีจิตสาธารณะของพลเมืองให้เป็นการร่วมสร้างสุขภาวะสาธารณะที่สะท้อนอยู่ในการดำเนินชีวิต การงาน และการทำมาหากินของชาวบ้าน สืบทอดทุนทางสังคมของหนองบัวและเป็นฐานความเข้มแข็งของชุมชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งของท้องถิ่น สังคมไทย และอนุภูมิภาคอินโดจีน
แปรวิกฤติชุมชนให้เป็นโอกาสสร้างสรรค์
ร่วมกันค้นหา บ่มเพาะ เชื่อมโยงลูกหลานคนหนองบัว ศิษย์เก่าของโรงเรียนประจำอำเภอและสถานศึกษาในท้องถิ่น รวมทั้งคนย้ายถิ่นจากหนองบัวไปทำงานและตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อื่น ให้เป็นพลังสร้างสรรค์ สร้างคนหนองบัวและทุนทางสังคมของอำเภอหนองบัว ให้เป็นโอกาสและทางเลือกที่สำคัญต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาของชุมชนอำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์
ทั้งนี้ โดยเน้นสิ่งที่ประชาชนและปัจเจกจะสามารถมีส่วนร่วมได้โดยสะท้อนสู่การปฏิบัติ เพื่อเป็นพลเมืองที่ได้ร่วมส่งเสริมสุขภาวะชุมชน พร้อมกับได้เข้าถึงกระบวนการเรียนรู้ซึ่งทำให้ได้พัฒนาตนเองและมีโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตตนเองไปด้วยอยู่เสมอ
จุดหมายและเจตนารมย์เวที
จุดหมายของเวที มุ่งระดมพลังความมีจิตสาธารณะของประชาชนและทุกภาคส่วนของสังคม เพื่อเรียนรู้การมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่อย่างบูรณาการ สู่โอกาสและทางเลือกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการมีสุขภาวะของชุมชนระดับต่างๆอย่างเป็นองค์รวม ของคนหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์
รูปแบบเวทีพลเมืองเพื่อเชื่อมโยงกับการวิจัยพัฒนาสังคมในบริบทใหม่ๆ
รูปแบบของเวที เป็นเวทีเสวนาความรู้และสร้างการเรียนรู้เพื่อนำการเปลี่ยนแปลงของชาวบ้าน (Civic Forum for Learning and Change) ที่ช่วยกันทำด้วยความมีจิตอาสา ริเริ่มโดยกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เป็นคนหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ทำไปตามความพร้อมและตามความสมัครใจ ผสมผสานการเรียนรู้และสร้างความรู้ท้องถิ่นกับการสื่อสารและการจัดการความรู้โดยเครือข่ายความรู้จากทางไกลผ่านเว็บบอร์ด GotoKnow ในระยะแรกเป็นการระดมความสนใจอย่างทั่วไปและในอนาคตอาจพัฒนาสู่รูปแบบเครือข่ายวิจัยและพัฒนาในแนวประชาคม ของชุมชนเสมือนจริงซึ่งเน้นชุมชนฐานรากเป็นตัวตั้ง
เชิญแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเชื่อมโยงชุมชนที่สนใจคล้ายกันอย่างไร้พรมแดน
คำเชิญชวน ขอเชิญคนหนองบัวทุกท่านทั้งที่อยู่ในหนองบัวและทั่วประเทศ รวมทั้งทุกท่านจากแหล่งต่างๆทั่วประเทศ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นคนหนองบัว ที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาการเรียนรู้เพื่อสร้างสุขภาวะสาธารณะระดับชุมชน ที่เน้นโอกาสและทางเลือกการพัฒนาทีเข้มแข็งและยั่งยืน ได้ใช้เวทีนี้ให้เป็นหนทางการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกท่านไปตามอัธยาศัย ท่านผู้รู้ที่ถ่ายทอดประสบการณ์และให้ข้อชี้แนะแก่ชุมชนได้ ชาวบ้าน นักวิชาการ นักพัฒนาองค์กรเอกชน และกลุ่มประชาคม ที่มีประสบการณ์แบ่งปันให้แก่คนหนองบัวได้ ก็ขอเรียนเชิญครับ.
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บันทึกเพื่อการรำลึกถึงและเป็นหมายเหตุการก่อเกิดเวทีแบบช่วยกันทำตามความสะดวกแห่งนี้
ลิ๊งค์และเครือข่ายข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ (คลิ๊กลงไปบนชื่อข้อความได้เลยครับ)
ห้องย่อยและแนวปฏิบัติเพื่อเสริมความเข้มแข็งของนักวิจัยชาวบ้านและนักเรียนรู้ชุมชน
ห้องย่อยนี้ จะรวบรวมความรู้ เทคนิคเครื่องมือ กระบวนการ และวิธีการพัฒนาตนเอง เพื่อเสริมกำลังแก่นักวิจัยชาวบ้าน นักเรียนรู้ชุมชน และคนสร้างความรู้จากการดำเนินชีวิตและจากการมีส่วนร่วมการพัฒนาสุขภาวะในท้องถิ่นตน ท่านพระมหาแล อาสโย ท่านเสนอแนะไว้หลายเรื่องที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนหนองบัว ให้สามารถเรียนรู้และนำไปทำประโยชน์ได้เองของชาวบ้าน เลยนำมารวบรวมไว้นำร่องไปก่อน เพื่อจะได้ช่วยกันรวบรวมมาเก็บไว้ให้สะดวกต่อการที่คนทั่วไปจะนำไปใช้มากๆขึ้นในภายหลังต่อไปครับ.
เครือข่ายเพื่อเรียนรู้สู่ทางเลือกและความหลากหลายของการพัฒนาเพื่อความเข้มแข็งและความยั่งยืนของชุมชน
. . . . . . . .
ข่าวประชาสัมพันธ์
. . . . . . . .
ศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัวและชาวหนองบัว
สู่ ๕๐ ปีของโรงเรียนหนองบัว
ลูกหลานชาวหนองบัวที่สนใจสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยมหิดลระบบโควตา
ขอขอบคุณผู้มีอุปการคุณ
การจัดภาพประกอบของบล๊อกและตัวหนังสือกราฟิคคอมพิวเตอร์บนภาพ ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณครูวัชรี โชติรัตน์ โรงเรียนเทศบาล ๔ (เชาวนปรีชาอุทิศ) อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
คำหลักเพื่อใช้ค้นหาและช่วยให้มองเห็นเวทีคนหนองบัวนี้
ด้วย google และ search
engine ต่างๆ
พิมพ์คำเหล่านี้ลงไปครับ : คนหนองบัว | เวทีคนหนองบัว | เวทีพลเมืองหนองบัว | เวทีประชาคมหนองบัว | อำเภอหนองบัว
ผมขอยกมือไปร่วมด้วย และขอเรียนรู้ด้วยครับ
งั้นขอใส่ไว้ท้ายบันทึกเลยนะครับ ทางสมาชิกเขาเคยขอให้คุณจตุพรเป็นที่ปรึกษาให้อยู่น่ะครับ เป็นคนชนบทเหมือนกัน รวมทั้งอีกหลายท่านที่ทางชุมชนได้กล่าวถึง คือ อาจารย์ ดร.ขจิต ฝอยทอง และอาจารย์ณัฐพัชร ทองคำ รวมทั้งท่านอื่นๆด้วยครับ หากเห็นว่าเรียนรู้กับชุมชนและร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชุมขนได้ ก็ขอเรียนเชิญครับ
http://gotoknow.org/blog/watchareeya/295120
รุ่นน้องเพาะช่างทำงานร่วมกับวัด...เพื่ออนุรักษ์สิลปะไทยลายรดน้ำค่ะ..
แก้ไข ศิลปะไทยลายรดน้ำค่ะ
ขอบคุณคุณครูอ้อยเล็ก แทนกลุ่มคนหนองบัวที่ช่วยกันริเริ่มเวทีคุยและเสวนากันนี้ขึ้นมาครับ ที่ช่วยทำตัวหนังสือบนภาพหัวข้อที่ใช้เปิดหัวข้อเวทีพลเมืองนี้ครับ แล้วก็ขออนุญาต เอารูปอื่นๆใน dialogue box ที่ผ่านมา ออกนะครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
สาธุค่ะพระอาจารย์...มหาแล ขำสุข (อาสโย)
รูปแบบการตั้งหัวข้อแล้วเขียน-สนทนา
รูปดอกบัวฉัตรขาวรูปนี้ของคณครูอ้อยดูอย่างไรก็สวยงามมากนะครับ ได้บรรยากาศของคนหนองบัวเลย เมื่อก่อนนี้ในสระวัดหนองกลับมีบัวหลวงและไหลบัวอยู่มากมายครับ พอน้ำแห้งขอด ชาวบ้านก็จะลงไปขุดก้นบ่อทำน้ำบ่อทราย และขุดราก-เหง้าบัว มาทำอาหาร-ขนม-ยาสมุนไพร
สวัสดีครับ ยินดีด้วยนะครับสำหรับ รางวัล Best Blog Of the month
ขอบคุณอาจารย์ณัฐพัชร์ครับ สงสัยกำลังสะสมแนวทำร้านกาแฟของตัวเองด้วยหรือเปล่าครับเนี่ย
ขอบคุณครับ อาจารย์ ดร.รุจโรจน์ อาจารย์และคณะสบายดีนะครับ
ความจริงหนองบัวนครสวรรค์ไม่ไกล จากพิษณุโลกเท่าไหร่ ทำอย่างไร คนวัดโบสถ์จะได้ไปเรียนรู้ด้วยครับ
ชอบอ่านบันทึกของอาจารย์ทุกสำนวนคะ
ประเทืองปัญญาและได้นิยามศัพท์ใหม่ๆในคลังสมองคะ
ประชาสัมพันธ์ศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัวและชาวหนองบัวครับ
งานแสดงกตเวทิตาและมุฑิตาจิต เกษียณก่อนกำหนด คุณครูโสภณ สารธรรม ผู้อำนวยการโรงเรียนหนองบัว
ผ้าป่าการศึกษาและงาน ๔๙ ปีสู่ ๕๐ ปีของโรงเรียนหนองบัว
รวมพลังขับเคลื่อน คนหนองบัวมีความกลมเกลียวดีแท้ เยี่ยมครับ
ขอบพระคุณครับ ต้องน้อมคารวะด้วยความยินดียิ่งที่เอื้อเฟื้อผู้น้อยให้ร่วมเป็นเครือข่าย "เวทีพลเมือง" มีโอกาสเข้ามาอ่านบล็อคอาจารย์ และเครือข่ายเป็นระยะๆ ตามวาระ และโอกาสอันพึงมีและอำนวยให้ ชื่นชม และประทับใจหลายๆ ท่าน อาทิ พระคุณเจ้าพระอาจารย์อาสโยภิกขุ (พระมหาแล) ว่าที่ Ph.D จตุพร แห่งสำนักประชากรศาสตร์ อาจารย์ณัฐพัชร์ .... บทสนทนาระหว่างอาจารย์ ดร.วิรัตน์ คำศรีจั้นทร์ พระคุณเจ้า และเครือข่ายหลายๆ ท่าน ที่ปรากฎผ่านออกมาทางบล็อค ลุ่มลึก และลึกซึ้ง ประเทืองปัญญาให้แก่ผู้อ่านโดยแท้
เพิ่งเห็นแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
มีโอกาสเข้ามาอ่านเจตนารมย์ของการสร้างสังคมเพื่อสุขภาวะ
และการศึกษาเพื่อคนขาดโอกาส
รู้สึกทึ่งมากค่ะ
ขอติดตามเรียนรู้ไปด้วยคนนะคะ
เผื่อมีโอกาสร่วมกิจกรรมค่ะ
การทำลานด้วยมูลสัตว์ : เทคโนโลยีและภูมิปัญญาชาวบ้านเพื่อการผลิต
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ยกหัวคันนา
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
สอก : ทางเกวียนสัญจรไปนา
ขอเจริญพร พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
หลุมละโลก : ดินพรุในผืนนาสร้างใหม่
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
ขอแนะนำคนหนองบัวและศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัวให้เป็นแหล่งข้อมูลบุคคลไว้นะครับ หากดูในรายนามที่ผมได้ใส่ไว้ในเครือข่ายที่ปรึกษาทางวิชาการนั้น เป็นการทำอย่างไม่เป็นทางการและทำให้พอเป็นแนวพัฒนาในโอกาสต่อไปเท่านั้นครับ แต่คนที่ได้ขอนำเอารายชื่อมาแสดงไว้นั้น เป็นแหล่งวิทยาการและเป็นทุนบุคคลากรที่อาจจะเป็นโอกาสการพัฒนาของหนองบัวได้ครับ เลยอยากถือโอกาสแนะนำย่อๆ
ในเรื่องการรู้ว่าใครอยู่ที่ไหนทำอะไรนั้นก็ดีเหมือนกันนะครับ ผมลองแนะนำนำร่องให้ครับ ท่านอื่นๆหากแนะนำตนเองหรือแนะนำเพื่อนที่ตนเองรู้จัก เก็บรวบรวมไว้ในนั้ก็ดีนะครับ แนะนำตนเองและหากเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนหนองคอก ก็บอกด้วยว่ารุ่นปีไหนหรือรุ่นเท่าไหร่ มีเพื่อนๆพออ้างถึงได้ใครบ้าง อย่างนี้ก็ดีนะครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
วันหน้าจะได้นำเสอท่านอื่นต่อไป
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
ตามมาอ่านต่อครับ
อ่านบันทึกแลกเปลี่ยนระหว่างท่านอาจารย์และพระอาจารย์
เหมือนนั่งพระเทศน์สองธรรมมาสน์เลยครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์วิรัตน์..ได้อ่านบันทึกแล้วชื่นชมและอยากจะร่วมเพื่อความเป็นอยู่ชอบวิถีชีวิตพื้นบ้าน และความมีจิตสาธารณะของผู้คน..อยากให้ทุกคนมีจิตสาธารณะค่ะ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแล สวัสดีครับหนานเกียรติ และคุณครูรุจี เฉลิมสุข ครับ
มารายงานตัวก่อน แต่ขออนุญาตเตรียมสอบภาค ข สักแป๊บค่ะ
แล้วจะเข้ามาอ่านรายละเอียด แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
สวัสดีครับคุณครูจุฑารัตน์ งั้นขอแนะนำให้กับชาวหนองบัวและทุกท่านที่มาร่วมเป็นเครือข่ายเรียนรู้กับคนหนองบัวเลยนะครับ คุณครูจุฑารัตน์ ปัจจุบันเป็นครูอยู่ที่สำนักงานพื้นที่การศึกษา เขต ๒ จังหวัดกำแพงเพชร เป็นคนหนองบัวและเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัว ผมลิ๊งค์ไปยังบล๊อกของเธอไว้แล้ว ตรงหัวข้อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาการเรียนการสอน เข้าไปเยี่ยม ทักทาย ขอแบ่งปันประสบการณ์ (คุณครูจุฑารัตน์เป็นบล๊อกเกอร์ที่ได้รางวัล Best of the month ของ GotoKnow นี้ด้วย)และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้เลยครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
น้ำฝน-คนเมือง-เรื่องน้ำ(ไม่)เน่า
คนเมืองโดยทั่วไปไม่ค่อยรักฝน มีทัศนะต่อฝนไม่เป็นไปในเชิงบวกเท่าไร
แต่คนบ้านนอก ชาวนา ชาวไร่ จะมองอีกแบบหนึ่งเป็นอะไรก็ได้ดังใจปรารถนาคนบ้านนอกอยากได้น้ำฝน(เพราะมีต้นข้าวที่กำลังคอยฝน)เป็นอะไรได้บ้างเชิญชม(อ่าน)
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
นมัสการพระอาจารย์มหาและ...สวัสดีพี่วิรัตน์ค่ะ..เอาฝนมาฝากค่ะ..ฝน2ภาพล่างนั้นทำเองกับมือเลยค่ะ..มีความสุขในวันหยุดนะคะ..
ขออนุโมทนาขอบคุณคุณครูอ้อยเล็กเป็นอย่างมาก
ชื่นใจจังเลยนะคุณครูอ้อยเล็ก
ชาวนาคงมีความสุขมากเลยที่คุณครูอ้อยเล็กทำฝนส่งมาให้
ขอบคุณครูอ้อยเล็กแทนพี่น้องชาวหนองบัวด้วย
เจริญธรรม
หน้าฝนที่หมู่บ้านที่เคยอยู่จะมาคู่กับฤดูน้ำหลากเสมอทุกปีจนถึงเดือน 12 น้ำนองเต็มตลิ่งพอเข้าเดือนตุลาฝนเริ่มซาลมหนาวโชยมาน้ำก็จะแห้งตามไปด้วย หมู่บ้านก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติ.. บ้านทุกหลังในหมู้บ้านเป็นเรือนยกใต้ถุนสูงทั้งสิ้น ทุกบ้านมีเรือใช้กันทุกหลัง เรือเป็นพาหนะสำคัญ ทั้งใช้ไปธุระ หาปลา ไปดูนา หรือแม้กระทั่งพวกเด็กๆอย่างครูอ้อยใช้พายเล่นกัน พายแข่งกัน การเตรียมเรือ พ่อ-แม่ ปู่ย่าตายาย จะเอาเรือคว่ำไว้โดยมีขอนไม้หนุนไว้ ให้แห้งสนิทตลอดฤดูแล้ง พอใกล้ๆน้ำมา ก็เกณฑ์พวกเราเด็กๆ กะเทาะชันที่ยาเรือออก เศษชันนั้นแม่หัดให้เราเก็บไว้ทำเชื้อไฟเวลาหุงข้าวติดดีจังค่ะ..ส่วนผสมของชัน ก็มีตัวชัน น้ำมันยาง ผสมกันนวดให้เหนียว เแล้วนำไปยาปิดรอยรั่วของเรือ หรือตะเข็บรอยต่อของเรือให้สนิท ยาทั้งนอกเรือและในเรือ การยาเรือต้องใช้เวลาเพื่อที่จะให้ชันนั้นแห้งสนิทดีแล้วจึงค่อยยาด้านนอกเรืออีกทีหนึ่ง ขั้นตอนสุดท้ายใช้น้ำมันยางในปริมาณมากชันพอประมาณผสมให้ได้ลักษณะเหมือนน้ำเชื่อมข้นๆอาบเรืออีกทีนึงเป็นการเคลือบผิวเรือค่ะ ขั้นตอนที่สำคัญก่อนหน้าที่จะลงชันนั่นก็คือการทำความสะอาดเรือดังที่ว่าต้องทำให้เกลี้ยงเกลา การลงชันจึงจะไม่เกิดปัญหารอยรั่วตามมาค่ะ..พวกเราจะสนุกมากเวลามีการเตรียมเรือเพราะเราจะนั่งปั้นอะไรต่ออะไรของเราเล่นไปเลยแข่งกับการยาเรือของผู้ใหญ่ นั่นคือเมื่อเราปั้นจะเสร็จหรือไม่เสร็จก็ตามผู้ใหญ่จะรวบชันไปรวมและนวดแล้วยาเรือต่อไป..การเล่นสนุกของพวกเราก็พลอยจบไปพร้อมๆกับเรือที่ลงชันเสร็จแล้ว พอเรือแห้งสนิทน้ำเริ่มมา เหล่าพาหนะของเราก็ลอยละล่องในน้ำพวกเราส่งเสียงดังลั่นทุ่งเมื่อผู้ใหญ่หลับไหลที่บ้าน เพราะเราจะได้เอาเรือออกไปพายแข่งกัน เล่นน้ำ งมหอย จับปลาเก็บผักท้องนา จนได้เวลาเราจะเอาเรือมาคืนและบ้านใครบ้านมันจัดแจงทำอาหารที่ได้จากการเล่นไว้สำหรับมือต่อไป..นี่คือความสุขที่ครูอ้อยเล็กจดจำได้เสมอ..เป็นคนอะไรไม่รู้ชอบจำอดีตจังเลย..แจ่มชั้นดีจังหรือว่าช่วงนั้นเรามีความสุขการทำงานของระบบความจำพัฒนาได้ดีก็ไม่ทราบนะคะ..อิๆๆ
ขอแสดงความเคารพและสวัสดีผมได้ลองเข้ามาอ่านในเวบนี้เห็นเป็นเวบของการเรียนรู้ประสบการณ์และแลกเปลี่ยนซี่งกันและกันส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำเภอหนองบัว เมื่อหลายปีก่อนผมก็เคยไปเที่ยวที่อำเภอหนองบัว และได้ไปเที่ยววัดหนองกลับซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่อเดิมเคยมาช่วยทำการก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ซี่งถือว่างดงามและสง่างามสมกับเป็นวัดคู่อำเภอหนองบัวและที่จะลืมไม่ได้ก็คือพิพิธภัณฑ์ในวัดที่เป็นแหล่งเรียนรู้ได้ดีเยี่ยมที่สุดผมชอบใจมากเพราะเป็นการรวบรวมเก็บอนุรักโบราณวัตถุ ขอโทษทีครับผมแพร่มมากไปหน่อย ผมขอชมเชยอาจารย์ ดร.วิรัตน์ ที่ได้สร้างสรรค์เวทีแห่งการเรียนนี้ขึ้นและเป็นผู้จุดประกายไฟแห่งการเรียนรู้แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันในอีกหลายๆ ท่าน
แต่ในฐานะที่ผมเป็นคนต่างถิ่นคงจะไม่มีความรู้ในเขตพื้นที่อำเภอหนองบัวดีซักเท่าไหร่และผมก็อยากนำเสนอสิ่งใหม่ซึ่งมีอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เหมือนกันที่หนองบัว ผมเป็นคนเมืองชายแดน แคว้นขุนเขา ผมเกิดที่จังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งหมู่บ้านอำเภอของผมมีสภาพเป็นป่าและภูเขามาก จนในอดีตมีคำกล่าวว่า อยู่ไกล ไปยาก และลำบาก คือบ้านโคก ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุตรดิตถ์ ความแตกต่างทางกายภาพ สภาพภูมิศาสตร์ ทำให้ชุมชนของผม ไม่เหมือนชุมชนซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ราบลุ่ม การคมนาคมสะดวกสบาย ความแตกต่างเหล่านี้เองทำให้ชุมชนของผม จากบ้านห้วย กล้วยป่า มีวิถีชีวิตที่ผูกพันธ์กับธรรมชาติมากเพราะว่ามองไปทางใหนก็มีแต่ป่าแต่เขา
อย่างเช่นที่วัดบ้านเกิดของผม มีต้นมะม่วงอยู่สองต้น อายุหลายร้อนปีแล้ว ถ้าใช้คนโอบก็คงประมาณซัก 10 -12 ได้ มีเรื่องเล่าขานกันว่าในต้นมะม่วงนี้มีเจ้าเทพดา อารักษ์ รักษาอยู่ โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ พ่อโช้น แม่โช้น พ่อตู้ แม่ตู้ จะนับถือกันมาก เวลาไปวัดหรือมีงานอะไรที่วัดจะต้องมีการทำพิธีกราบใหว้ และนิยมเอาข้าวเหนียวไปติดที่ต้นมะม่วงนี้ จนขาวเป็นจุด ๆ ไป แต่พวกเด็กจะมีความเกรงกลัวกันมาก
ผมขอเล่าเพียงแค่นี้ก่อนครับถ้ามีโอกาศเดี่ยวผมจะเข้ามาเล่าสู่กันฟังใหม่ ( หนาน....แสนเหมียง )
สวัสดีครับคุณครูจุฑารัตน์
สวัสดีครับคุณครูอ้อยเล็ก
สวัสดีหนานแสนเหมียงครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
นมัสการพระอาจารย์มหาแล...
สวัสดีค่ะอาจารย์
อ่านบันทึกแล้ว อาจารย์คงมีงานที่รับผิดชอบมาก และคงยุ่งกับงานอย่างงหนัก
รักษาสุขภาพนะคะ
อ้อ อยากขอทราบที่อยู่โดยละเอียด และชื่อผู้รับของโรงเรียนวันครูด้วยน่ะค่ะ เพราะทราบแต่ชื่อ อำเภอ จังหวัดเท่านั้นค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
กลองยาว แตรวง และกิจกรรมทางศาสนา กับการสร้างชีวิตความเป็นชุมชน
กราบสวัสดีครับ ท่านอาจารย์ วิรัตน์ และทุกๆท่านที่มาเพิ่มเติมแหล่งความรู้
การเป็นแหล่งทรัพยากรความรู้ ส่งเสริมการพัฒนาการเรียนรู้ชุมชนและส่งเสริมการพัฒนาการเรียนการสอนของโรงเรียน
สวัสดีครับคุณเสวก ใยอินทร์
เห็นด้วยต่อการเล็งเห็นการสร้างความรู้และแหล่งการเรียนรู้ชุมชนไว้หนุนโรงเรียน
ขึ้นฐานไว้รองรับเครือข่ายการเสริมกำลังกันของบ้าน วัด และโรงเรียน เพื่อสร้างสุขภาวะสาธารณะของชุมชน
เป็นแหล่งความรู้และข้อมูลชุมชนอีกทางหนึ่ง
อาจารย์ดร.ขจิตคะ..แวะหน่อยนะคะ..ตามลิ้งข้างล่างค่ะ..ขอบคุณค่ะ..
คิดให้ได้พลังใจไปกับเพลง
ค่ะท่านอาจารย์ขจิตท่านก็ได้ช่วยหาที่เขาแปลมาแล้ว..มาวางไว้ให้เสร็จสรรพแล้วค่ะ..
วิธีนี้บ้านครูอ้อยเล็กก็เรียกว่า..ล่อปลาเหมือนกัน..ก็จะมีเหยื่อที่มันดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊กได้เป็นตัวล่อ..แต่ถ้าเหยื่อทนพิษบาดแผลไม่ไหวตายไป..ก็ใช้วิธียกเหยื่อขึ้นลงอันเป็นคำที่มาของอาการหยกปลาก็ได้นะคะ คือยกขึ้นลงแบบสั้นๆเร็วบ้างช้าบ้างตามแต่สถาณการณ์ละมังคะ..วิธีนี้จะได้ปลาช่อนแน่นอนเพราะปลาช่อนต้องโผล่มาหายใจที่ผิวน้ำเป็นระยะๆ แต่ด้วยว่าแถวบ้านครูอ้อยน้ำมากค่ะ..เบ็ดที่นิยมจึงเป็น..เบ็ดราว..คือเบ็ดที่ขึงระหว่างฝั่งคลอง มีเบ็ดผูกไว้เป็นระยะห่างกันพอควร..จะวางไว้ตอนหัวค่ำ เช้ามือค่อยไปดูผลงานค่ะ..กิจกรรมนี้ครูอ้อยเล็กไม่ได้มีส่วนร่วมเท่าใดเพราะเป็นกิจกรรมของเด็กผู้ชายซะมากกว่า..ส่วนอีกเบ็ดหนึ่ง คือเบ็ดปัก...เป็นเบ็ดที่เหลาไม้ไผ่ที่ไม่แก่เกินไปไม่อ่อนเกินไป เป็นไม้กลม ยาวประมาณคันละ 60 -80 เซนติเมตร งอแล้วนำไปลนไฟให้เซทตัวโค้งพอประมาณ ควั่นปลายไม่ให้เป็นร่อง นำเบ็ดพร้อมตะกั่วที่ผูกไว้เรียบร้อยแล้วผูกติดลงในร่องที่ปลายไม้นั้น ส่วนปลายไม้อีกด้านหนึ่งเหลาให้แหลม เพื่อใช้เป็นส่วนที่ปักลงกับดิน..ทีนี้ก็เป็นขั้นตอนของการหาทำเลที่ปักเบ็ดจะหาชายฝั่งคลองที่มีกิ่งไม้ปกคุมแหวกแล้วปักไว้ด้วยเหยือลูกปลา น่าสงสารลูกปลาวิ่งไปมา..เฮ้อแต่ตอนนั้นเป็นเด็กท้องนาชีวิตทุกชีวิตต้องดิ้นรนอยู่รอด..ก็ไม่ค่อยได้คิดอะไรค่ะ..แม่กับพ่อมักบอกเสมอว่ามันเป็นอาหารค่ะ..
ข้อมูลที่ไปรวบรวมมาขององค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐมค่ะ..
อาจารย์ครับ ขอขอบพระคุณอาจารย์มากครับที่เข้าไปเยี่ยม ผมตอนนี้อาการไม่สู้ดีนักครับ เพราะมีงานค่อนข้างมากและมีเรื่องให้คิดทบทวนตัวเองมากเลย เหมือนจะเบลอๆอย่างไรไม่รู้ครับ ผมยินดีมากครับที่จะเป็นเครือข่ายด้วยนับเป็นเกียรติมากเลยครับ ผมเปิดประตูเข้ามาบ้านอาจารย์ ทึ่งครับ สำหรับลายเส้นที่บรรจงวาดลงไป สวย แม่นยำ มีพลังครับ...
เบ็ดสำหรับปักในนาข้าว
"...ส่วนอีกเบ็ดหนึ่ง คือเบ็ดปัก...เป็นเบ็ดที่เหลาไม้ไผ่ที่ไม่แก่เกินไปไม่อ่อนเกินไป เป็นไม้กลม ยาวประมาณคันละ 60 -80 เซนติเมตร งอแล้วนำไปลนไฟให้เซทตัวโค้งพอประมาณ ควั่นปลายไม่ให้เป็นร่อง นำเบ็ดพร้อมตะกั่วที่ผูกไว้เรียบร้อยแล้วผูกติดลงในร่องที่ปลายไม้นั้น ส่วนปลายไม้อีกด้านหนึ่งเหลาให้แหลม เพื่อใช้เป็นส่วนที่ปักลงกับดิน...." วัชรี โชติรัตน์ โรงเรียนเทศบาล ๔ (เชาวนปรัชาอุทิศ) นครปฐม ๒๕๕๒ จาก dialogue box ๗๗
เบ็ดปัก เป็นเบ็ดสำหรับปักตามคันนาของนาข้าว ชาวบ้านจะปักเบ็ดโดยใช้เหยื่อในลักษณะต่างๆ คือ ใช้เหยื่อไส้เดือนสำหรับแหล่งที่มีปลาดุก ปลาหมอ และปลาที่ว่ายน้ำหากินตามผิวดิน เช่น ปลาไหล ปลาหลด และปลาขนาดเล็ก โดยเฉพาะในระยะที่น้ำเพิ่งหลากมา การปักเบ็ดในลักษณะนี้จะปักแบบก้มคันเบ็ดเกือยติดผิวน้ำเพื่อให้สายเบ็ดและเหยื่อหย่อนลงไปถึงผิวดิน
เหยื่อเขียดและลูกปลาตัวเล็กๆ จะเป็นเหยื่อที่เหมาะสมสำหรับปักเบ็ดเมื่อน้ำเริ่มทรงแล้ว หรือเป็นระยะที่ปลาเริ่มโต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นปลาช่อน ปลาค้าว ปลากด การปักเบ็ดโดยใช้เหยื่อเขียดแบบนี้ จะโหย่งคันเบ็ดให้สูงและให้เขียดและลูกปลาลอยลงไปในน้ำครึ่งตัว การดีดตัวของเขียดบนผิวน้ำ และการวิ่งอยู่บนผิวน้ำของเหยื่อลูกปลา จะทำให้ปลาขนาดใหญ่โผเข้ากินเบ็ด ในทุ่งนาที่มีน้ำลึกและนิ่งมักนิยมปักเบ็ดแบบนี้
ถูกต้องแม่นยำค่ะนี่คือวิถีที่ในตอนนั้นไม่มีแม้กล้องจะถ่ายภาพ..แต่อาจารย์สามารถถ่ายทอดตามคำบอกเล่าได้อย่างถูกต้องแม่นยำ..เอครูอ้อยนี่อายุเท่าไหร้หนอ..อิๆถึงได้คุยกะอาจารย์รู้เรื่องน่ะคะ..
พลังการวิจัยและพัฒนาเป็นกลุ่มประชาคม : สื่อการ์ตูนบูรณาการการเรียนรู้ ส่งเสริมสุขภาวะท้องถิ่นและพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นของสถานศึกษา
ผมมีตัวอย่างสื่อการ์ตูนที่อยากนำมาเผยแพร่ให้ผู้สนใจในเวทีคนหนองบัวครับ เป็นตัวอย่างสื่อการ์ตูนที่เผยแพร่และใช้เพื่อการศึกษาไปแล้ว ผมเหลือไว้ดูอยู่เล่มหนึ่งเลยอยากเผยแพร่ไว้ในแหล่งรวบรวมและบันทึกความรู้นี้ อาจจะช่วยจุดประกายความคิดแก่คนหนองบัว รวมทั้งอาจเป็นแนวคิดสำหรับทำสิ่งที่หลายท่านกล่าวถึงในนี้ โดยเฉพาะการใช้ข้อมูล ความรู้ รูปภาพและสื่อ ไปเสริมกำลังให้กับการพัฒนาการเรียนรู้ทั้งสำหรับคนท้องถิ่น สถานศึกษา และกิจกรรมการเรียนรู้ในครอบครัว
ข้อมูลเกี่ยวกับสื่อ : เป็นสื่อการ์ตูนประกอบคำกลอน รักษ์คลอง รักถิ่น เนื้อหาโดย จริยา ศรีเพชร ข้อมูลโดยเครือข่ายประชาคมวิจัยสร้างองค์ความรู้ท้องถิ่นอำเภอพุทธมณฑล วาดภาพโดย ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ระบายสี โดย รุจิรา คำศรีจันทร์ ทุนอุดหนุนการวิจัย โดย มหาวิทยาลัยมหิดล ๒๕๔๓
กระบวนการผลิตและพัฒนา :
การเรียนรู้และสร้างความรู้ท้องถิ่นเพิ่มพลังการปฏิบัติ : สื่อการ์ตูนนี้เกิดขึ้นโดยกระบวนการต่อยอดการวิจัยเสริมพลังการริเริ่มและปฏิบัติการของกลุ่มคนในท้องถิ่น อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ผู้ทำเนื้อหาและนำไปใช้เพื่อพัฒนาการศึกษาเรียนรู้สำหรับเด็กและชุมชนคือ จริยา ศรีเพชร ซึ่งในขณะที่ทำเมื่อปี ๒๕๔๓ นั้นเป็นครูในโรงเรียนบ้านคลองมหาสวัสดิ์ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ขาดโอกาสการพัฒนาในหลายด้าน กลุ่มเด็กๆส่วนใหญ่มาจากครอบครัวคนท้องถิ่นซึ่งยากจน
คุณครูจริยา ศรีเพชร เป็นเครือข่ายของกลุ่มประชาคมวิจัยละปฏิบัติการเชิงสังคมเพื่อพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างบูรณาการในอำเภอพุทธมณฑล ในโครงการวิจัยดังกล่าวใช้วิธีระดมพลังกลุ่มคนในพื้นที่มาช่วยกันวิจัยสร้างองค์ความรู้ท้องถิ่น ทำให้ได้องค์ความรู้ท้องถิ่นกว่า ๒๕ ด้าน และเกิดเครือข่ายปัจเจกผู้มีจิตสาธารณะที่ได้รับการเสริมศักยภาพในการปฏิบัติการเชิงสังคมกว่า ๒๕๐ คนครอบคลุมหลายสาขา ทำให้มีพลังปฏิบัติการในเรื่องต่างๆอย่างมีพลังและเกิดความเชื่อมโยงผสมผสานมากขึ้นเป็นลำดับ
แรงบันดาลใจแบบต่อยอดกิจกรรม : คุณครูจริยา ศรีเพชร ผ่านการศึกษามาทางสังคมศึกษา แต่ต้องสอนและทำงานหลายด้านในสภาพที่มีข้อจำกัดหลายประการ หลังจากสร้างองค์ความรู้ ได้ประสบการณ์มากขึ้นเกี่ยวกับชุมชน และได้เครือข่ายจากการวิจัยและปฏิบัติการเชิงสังคมในรูปกลุ่มประชาคม คุณครูจริยาจึงสามารถนำเอาความรู้และกลุ่มคนมาร่วมกันจัดกิจกรรมค่ายเรียนรู้สิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการให้แก่เด็กในโรงเรียนต่างๆของอำเภอพุทธมณฑล ดำเนินการ ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มีเพื่อนๆและเครือข่ายช่วยกันทั้งอำเภอ เทศบาลก็ให้งบประมาณสนับสนุน ผมและทีมก็ไปช่วยทั้งเพื่อตามเรียนรู้และทำวิจัยเสริมพลังการดำเนินการ และให้การสนับสนุนทางวิชาการ กิจกรรมค่ายการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการดังกล่าว ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างเด็กอย่างกว้างขวาง เด็กๆจากโรงเรียนในอำเภอเข้าร่วมกว่า ๒๕๐ คน ชาวบ้านและคนในชุมชนได้ร่วมเป็นครูชุมชนให้เด็กๆ รวมทั้งใช้สวน นาบัว นาข้าว และแหล่งการผลิตสิ่งๆต่างในชุมชน เป็นแหล่งการเรียนรู้ เด็กๆมีกิจกรรมการเรียนรู้อย่างบูรณาการ ทั้งเป็นนักวิจัยน้อย การทำกิจกรรมกลุ่ม การระดมสมองและวางแผนนำเสนอเป็นกลุ่ม วาดรูป เล่นเกมส์ และกิจกรรมร้องเพลง
เมื่อปิดกิจกรรมค่าย คุณครูจากโรงเรียนทุกคนดีใจที่เด็กๆและโรงเรียนของตนได้มีโอกาสทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่นอย่างบูรณาการที่ร่วมแรงร่วมใจกันจัดขึ้น คุณครูจริยาก็ยิ่งดีใจเพราะเด็กๆและโรงเรียนของคุณครูไม่ค่อยมีโอกาส อีกทั้งหากทำเองโดยลำพังก็ไม่มีกำลังพอจะทำได้ จึงแต่งกลอนเพื่ออ่านบนเวทีตอนปิดค่ายกิจกรรม
ทำการริเริ่มจากการใช้ความรู้ให้เป็นสื่อสำหรับใช้ทำงานต่อเนื่อง : ผมเห็นเป็นข้อมูลที่สืบเนื่องอยู่กับระบวนการเรียนรู้อย่างกว้างขวางของชุมชนและเครือข่ายสถานศึกษา จึงได้นำเอากลอนที่คุณครูแต่งและอ่านสดๆบนเวทีปิดกิจกรรมค่าย มาทำเป็นบทการ์ตูน วาดรูปการ์ตูน และขอให้คุณรุจิรา คำศรีจันทร์ นักวิชาการโสตทัศนศึกษา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ระบายสีและทำเป็นต้นฉบับสื่อการ์ตูน จากนั้นได้ขอการสนับสนุนจากโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ทำเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ให้คุณครู เครือข่ายวิจัย และสถานศึกษาในชุมชนอำเภอพุทธมณฑล นำกลับไปใช้เพื่อพัฒนาการศึกษาเรียนรู้ของเด็กๆต่อไปอีก
การวิจัยและเรียนรู้ชุมชนแปรสู่การสร้างทุนทางสังคมให้การศึกษาในพื้นที่ : คุณครูจริยา ศรีเพชร ได้นำไปใช้เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนหลายลักษณะ ทั้งเป็นส่วนเสริมกิจกรรมที่มีอยู่แต่เดิมและเป็นสื่อในกิจกรรมพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น ทำให้โรงเรียนได้พัฒนาบางส่วนที่ขาดอยู่ขึ้นอีกหลายด้าน ต่อมาได้เป็นตัวอย่างและเป็นสื่อในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ีได้รับรางวัลทางด้านการศึกษาระดับประเทศ ตัวคุณครูจริยา ศรีเพชรเองซึ่งเป็นครูในโรงเรียนที่อยู่ชายขอบมากก็ได้พิจารณาให้เป็นครูตัวอย่าง และต่อมาก็เป็นครูผู้เชี่ยวชาญระดับ ๙ ซึ่งมีอยู่คนเดียวของจังหวัดนครปฐม และปัจจุบัน ได้ย้ายมาเป็นครูของโรงเรียนกาญจนาภิเษก(พระตำหนักสวนกุหลาบ) ในอำเภอพุทธมณฑล และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นอย่างบูรณาการ
เนื้อหาบทกลอนและบทสื่อการ์ตูน
บัวกะหนูนาอยู่อาศัยในพุทธมณฑล บัวกะหนูนาจะพาเที่ยวคลองในพุทธมณฑล
ล่องเรือเลียบคลองมหาสวัสดิ์ เที่ยวเลาะลัดทัศนาถิ่นอาศัย อู่ต่อเรือ สวนเกษตร สมุนไพร เรือนเก่าใหม่ วัดคู่บ้าน ย่านชุมชน
วิถีชีวิตสองฝั่งคลองดูหลากหลาย บ้างค้าขาย หัตถกรรม ล้ำเลิศผล ทั้งนาบัว สวนกล้วยไม้ ชวนให้ยล ชาวชุมชนพาเรียนรู้ชูปัญญา
ธรรมชาติริมคลองทั้งสองฝั่ง พืชพรรณยังเขียวชอุ่มพุ่มไม้หนา นกน้อยน้อยโผผินบินไปมา พลิ้วใบหญ้า บัวสาย ตามรายทาง
แสนเสียดายหากคลองต้องเน่าเหม็น น้ำใสเย็นกลับคล้ำเป็นดำด่าง สรรพชีวิต ปู ปลา ต้องลาร้าง ล้วนร่วมสร้างร่วมก่อจากทุกคน
สังคมดี ธรรมชาติดี ไม่มีขาย แม้อยากได้ต้องร่วมสร้าง ทุกแห่งหน ทั้งคูคลอง ถิ่นฐาน พุทธมณฑล จะน่ายลและน่าอยู่ ตลอดไป
พุทธมณฑล เมืองน่าอยู่ ด้วยทุกคนร่วมกันสร้าง.
เอามาฝากเป็นแนวคิดและเป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ชุมชน สร้างความรู้ท้องถิ่น และร่วมมือกันเพื่อทำให้คนบางส่วนที่มีความริเริ่ม มีจิตสาธารณะ มีความรู้ มีความสร้างสรรค์ และเอาธุระต่อการพัฒนาสุขภาวะของสังคมด้วยการมีส่วนร่วมของตนเองนอกเหนือจากที่ทำในวิธีการอื่นๆอยู่แล้ว แต่ไม่มีกำลังพอที่จะทำได้อย่างเต็มที่อย่างที่ตนเองทำได้ เพื่อเป็นวัตถุดิบคิดสร้างสรรค์ของคนหนองบัว หรือคุณครูและคนทำงานชุมชนท้องถิ่นจะนำไปใช้เป็นสื่อพัฒนาการศึกษาเรียนรู้ต่างๆต่อไปครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์และผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
และสวัสดีค่ะพี่ชาย อ.วิรัตน์ คำศรีจันทร์
------------------------------
เมืองไทยเรานี้ แสนดีหนักหนา
ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
ทำมาหากิน แผ่นดินของเรา
ปลูกเรือนสร้างเหย้า อยู่ร่วมกันไป
เราอยู่เป็นสุข สนุกสนาน
เราตั้งถิ่นฐาน ไปจนยิ่งใหญ่
เมืองไทยเรานี้ แสนดีกระไร
เรารักเมืองไทย ยิ่งชีพเราเอย
กราบนมัสการพระคุณเจ้า และท่านผู้อ่านทุกท่านครับ
สื่อการ์ตูนที่นำมาฝากกันนี้ ร่วมบรรยากาศช่วยกันรณรงค์ วันแม่น้ำลำคลองแห่งชาติ ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายนนี้พอดีครับ สังคมไทยจะได้มีโอกาสรำลึกและหวนกลับมารักษ์คลองและรักถิ่นฐานให้มากขึ้น โดยเฉพาะคนหนองบัวและนครสวรรค์ ซึ่งมีบึงบรเพ็ดและเป็นแอ่งข้าวปลาอาหารของประเทศ
ผมได้ย้ายหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องหนองบัวกลับไปยังหัวข้อต่างๆตามเดิมของเขาแล้วนะครับ เนื่องจากพอย้ายมาแล้วก็ปรากฏว่ากระทบไปทั้งหมดของสิ่งที่ผมเขียนทั้งในเวทีนี้ ใน GotoKnow รวมทั้งในบล๊อกอื่นๆทั้งของผมและผู้อื่นที่เขาลิ๊งค์และเชื่อมโยงไปเขียนถึง ซึ่งพอย้ายมานิดเดียวก็เป็นเรื่องครับ ทำให้โกลาหลและวุ่นวายกันไปหมดเลย กูเกิ้ลก็หาไม่เจอ หัวข้ออื่นๆทั้งของตัวเองและที่คนอื่นเขากล่าวถึงก็หาไม่เจอ รวนไปหมดอย่างคาดไม่ถึง ต้องขออภัยอย่างยิ่งครับ ต่อไปนี้หากเขียนเรื่องหนองบัวและท้องถิ่นนครสวรรค์ก็จะเริ่มมาเขียนที่นี่ครับ
กราบนมัสการด้วยความเคารพ
อาจารย์คะ..พี่จริยา ศรีเพชรเก่งมากๆค่ะ..มีความตั้งใจใฝ่เรียนรู้..พบตัวพี่เขาเป็นๆมาแล้วค่ะ..ยังมีน้ำใจให้ชุดการสอนสังคมมาอีกเล่มใหญ่เลยค่ะ..
คลังข้อมูลและสื่อสำหรับพัฒนาการศึกษาเรียนรู้เพื่อสร้างเด็กและส่งเสริมสุขภาวะชุมชน
ขอเจริญพร
นมัสการพระอาจารย์มหาแล,สวัสดีค่ะอาจารย์พี่วิรัตน์และทุกๆท่านค่ะ..
ขอนมัสการขอบคุณในคำชมพระอาจารย์ค่ะ..ครูอ้อยเล็กก็แค่ทำได้ค่ะ..แต่ยินดีมอบสิ่งที่ทำได้นี้..ได้ช่วยเหลือสังคมบ้างก็พอค่ะ..
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ
กราบนมัสการด้วยความเคารพ
ลอมฟาง ซุ้มฟาง วงผิงไฟ : การจัดการปัจจัยเพื่ออยู่อาศัยกับธรรมชาติให้กลมกลืนและพื้นที่สร้างความเป็นชุมชนในวิถีประชาสังคม
ชุมชนดั้งเดิมของอำเภอหนองบัวเป็นเกษตรกร ทำนา ทำไร่ โดยทรัพยากรและปัจจัยการผลิตต่างๆ เน้นการใช้แรงงานคนและสัตว์เป็นหลัก การจัดการพลังการผลิตและกระบวนการต่างๆ ที่นำไปสู่การสร้างสุขภาวะทั้งของปัจเจก ครอบครัว และความเป็นสาธารณะของชุมชน จะได้จากความเป็นชุมชนและวิถีชีวิตรวมกลุ่มเพื่อจัดการอย่างมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆ เช่น การเอาแรง การลงแขก ธรรมเนียมการดองและใช้แรงงานเพื่อเชื่อมโยงความเป็นเครือข่ายเครือญาติผ่านการแต่งงาน รวมไปจนถึงการแห่นาคและบวชนาคหมู่ซึ่งเป็นงานประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของคนหนองบัวที่ต้องมีการเอาแรง การโฮมนาค
สิ่งที่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนความเป็นชุมชนและวิถีการรวมกลุ่มดังกล่าว จึงเป็นทุนทางสังคม(Social capital) และเป็นโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน ที่ขับเคลื่อนพลังความเป็นชุมชนดังกล่าวให้ดำรงอยู่อย่างมีชีวิต ดังนั้น จึงมีความสำคัญและต้องส่งเสริม บำรุงรักษาให้มีความงอกงามหลากหลายยิ่งๆขึ้นในชุมชน
ลอมฟาง ซุ้มฟาง และวงผิงไฟ เป็นวิถีชีวิตชุมชนแต่ดั้งเดิมที่มีบทบาทต่อความเป็นชุมชนในลักษณะดังกล่าว ในอดีตนั้น หน้าหนาวจะเป็นช่วงเวลาที่หนาวเย็นและตรงกับช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการทำนา ข้าวหนักจะเริ่มแก่ ข้าวเบาก็จะสุกและพร้อมเกี่ยว
ก่อนเกี่ยวข้าวก็จะต้องนาบข้าวให้ลู่ราบไปในทางเดียวกันเพื่อให้เหมาะแก่การเกี่ยวด้วยเคียวและการลงแขก เมื่อเกี่ยวข้าวแล้วก็จะต้องนวดข้าวและเก็บข้าวใส่ยุ้งฉาง สิ่งที่ได้ตามมาส่วนหนึ่งก็จะได้แก่ฟาง สำหรับเป็นอาหารวัวควายตลอดหน้าแล้งเป็นหลัก
ขั้นตอนเหล่านี้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งในอดีตนั้น ชาวบ้าน คนเฒ่าคนแก่ จะทุกข์ทรมานจากความหนาวเย็น ทั้งโดยความเป็นฤดูหนาวเองและเนื่องจากความขาดแคลน บ้านช่องไม่หนาแน่นพอจะกันลมหนาวโกรกให้เย็นยะเยือก เสื้อผ้าไม่พอใส่ และผ้าห่มก็ไม่พอคุ้มหนาว แต่ชาวบ้านก็มีการเรียนรู้ที่อยู่อย่างเรียบง่ายแต่สร้างสุขภาวะชุมชนได้อย่างบูรณาการ
วิธีแก้ไขของชุมชน ชาวบ้านก็จะทำซุ้มฟางและมีวงผิงไฟ ใครอยากนอนอุ่นก็จะทำซุ้มฟางให้เพียงพอ เด็กๆจะชอบมากเพราะเป็นการเล่นที่จริงจังเหมือนกับเล่นสร้างบ้านและสร้างชุมชนขึ้นมาเป็นของตนเอง ให้ประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของกลุ่มก้อนและชุมชนโดยตรง เป็นการจัดการความรู้ในวิถีชีวิต เด็กๆและชาวบ้านต้องเลือกทำเลสำหรับทำซุ้มฟางด้วยความรอบรู้หลายอย่าง ทั้งความปลอดภัยจากงูและสัตว์อันตราย ความปลอดภัยจากลมและฟืนไฟ การหลบทิศทางลมหนาวโกรก การทำซุ้มได้ดีจะน่านอน อบอุ่น ได้เฝ้าดูแลบ้านช่องและข้าวให้ทุกคนมีความอบอุ่นทั้งกายใจ
ก่อนนอนยามมืดค่ำและยามเช้าหลังตื่นนอนลุกจากซุ้มฟาง ก่อนแยกย้ายไปทำการงานเมื่อแดดออก ก็จะล้อมวงผิงไฟข้างลานนวดข้าว ลานบ้าน และข้างซุ้มฟาง บ้างก็นั่งเผาเผือกมัน ปิ้งข้าวเกรียบว่าว เหลาไม้ จักตอก ทำเครื่องจักสานและทำงานฝีมือต่างๆ ก่อให้เกิดวงสังคม ความเป็นกลุ่มก้อน และพัฒนาความเป็นชุมชนเรียนรู้อย่างบูรณาการ (Civility and Learning community) หลายสิ่งจะเกิดขึ้นในวงผิงไฟและพื้นที่ความเป็นชุมชนแห่งการแแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความเป็นชุมชนและการดำเนินชีวิตอยู่ด้วยกันของชาวบ้าน เป็นกลไกเชิงกระบวนการของสังคม ที่นำไปสู่การจัดการอย่างมีส่วนร่วม ทำให้ชุมชนปรับตัวเข้าหาเงื่อนไขธรรมชาติมากกว่าปรับธรรมชาติให้เป็นไปตามความต้องการ อีกทั้งเป็นแหล่งบ่มเพาะภูมิปัญญาการปฏิบัติต่างๆสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม พอเพียง
การมีสิ่งเหล่านี้ของชุมชน บ่งบอกถึงการมีพื้นฐานของการมีสุขภาวะของชุมชนได้อย่างหนึ่ง รวมทั้งทำให้มีความมั่นใจตนเองได้ว่าชุมชนในท้องถิ่นต่างๆมีศักยภาพการเรียนรู้ที่ทรงพลังอย่างนี้อยู่ ซึ่งในปัจจุบันสภาพแวดล้อมต่างๆได้เปลี่ยนไป รูปแบบของกิจกรรมภายนอกก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ความเป็นพื้นที่สร้างความเป็นสาธารณะด้วยกันของชุมชน อาจมีอยู่ในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งจะต้องค้นหาและพัฒนาให้มีความละเอียดอ่อน เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีของชุมชน เหมือนกับเป็นการเพิ่มพูนทุนทางสังคมของชุมชนให้ผู้คนมีโอกาสได้ความอยู่เย็นเป็นสุขจากการอยู่ด้วยกันและมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆกับคนอื่น
ชุมชนที่มีองค์ประกอบด้านนี้น้อย ก็จะมีความทันสมัยแต่เพียงกายภาพภายนอก แต่มีความอยู่เย็นเป็นสุขน้อย คนหนองบัวจึงควรหมั่นสร้างทุนทางสังคมอย่างนี้เยอะๆในชุมชนของตนเอง.
ข้อมูลและวาดภาพโดย ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล กันยายน ๒๕๕๒
เจริญพร
เห็นคนนั่งผิงไฟสูุบยาก็นีกถึงบ้านห้วยน้ำโจนของหนูุเลยค่ะ
ครูอ้อยเล็กก็มีลิ้งค์น้องๆมาฝากอาจารย์ด้วยค่ะ...
วิธีแก้ไขของชุมชน ชาวบ้านก็จะทำซุ้มฟางและมีวงผิงไฟ ใครอยากนอนอุ่นก็จะทำซุ้มฟางให้เพียงพอ เด็กๆจะชอบมากเพราะเป็นการเล่นที่จริงจังเหมือนกับเล่นสร้างบ้านและสร้างชุมชนขึ้นมาเป็นของตนเอง ให้ประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของกลุ่มก้อนและชุมชนโดยตรง เป็นการจัดการความรู้ในวิถีชีวิต เด็กๆและชาวบ้านต้องเลือกทำเลสำหรับทำซุ้มฟางด้วยความรอบรู้หลายอย่าง ทั้งความปลอดภัยจากงูและสัตว์อันตราย ความปลอดภัยจากลมและฟืนไฟ การหลบทิศทางลมหนาวโกรก การทำซุ้มได้ดีจะน่านอน อบอุ่น ได้เฝ้าดูแลบ้านช่องและข้าวให้ทุกคนมีความอบอุ่นทั้งกายใจ
ก่อนนอนยามมืดค่ำและยามเช้าหลังตื่นนอนลุกจากซุ้มฟาง ก่อนแยกย้ายไปทำการงานเมื่อแดดออก ก็จะล้อมวงผิงไฟข้างลานนวดข้าว ลานบ้าน และข้างซุ้มฟาง บ้างก็นั่งเผาเผือกมัน ปิ้งข้าวเกรียบว่าว เหลาไม้ จักตอก ทำเครื่องจักสานและทำงานฝีมือต่างๆ ก่อให้เกิดวงสังคม ความเป็นกลุ่มก้อน และพัฒนาความเป็นชุมชนเรียนรู้อย่างบูรณาการ (Civility and Learning community) หลายสิ่งจะเกิดขึ้นในวงผิงไฟและพื้นที่ความเป็นชุมชนแห่งการแแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความเป็นชุมชนและการดำเนินชีวิตอยู่ด้วยกันของชาวบ้าน เป็นกลไกเชิงกระบวนการของสังคม ที่นำไปสู่การจัดการอย่างมีส่วนร่วม ทำให้ชุมชนปรับตัวเข้าหาเงื่อนไขธรรมชาติมากกว่าปรับธรรมชาติให้เป็นไปตามความต้องการ อีกทั้งเป็นแหล่งบ่มเพาะภูมิปัญญาการปฏิบัติต่างๆสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม พอเพียง
วิถีเหมือนกันทุกประการค่ะ...เหมือนลอกกันมาเลยค่ะ...
วันนี้ที่บ้านแม่อยากกินต้มยำหัวปลี..เห็นสุมไฟสุมฟางของอาจารย์พอดี..เลยเอามาฝากค่ะ..เพราะเคล็ดลับของการต้มยำกะทิหัวปลีนี้อยู่ที่แม่จะไปตัดหัวปลีมาแล้วโยนไปหมกไว้ในกองไฟที่พิงอยู่ให้หัวปลีสุกระอุ..แล้วจึงนำหัวปลีมาต้มยำ..เครื่องต้มยำก็เหมือนทั่วไปเพียงแต่ใช้กะทิเป็นตัวน้ำต้มยำลักษณะเหมือนต้มข่า..ผิดกันตรงที่ต้มข่าใส่พริกขี้หนู..แต่ต้มยำหัวปลีต้มน้ำใส่พริกเผา..
ในตอนนี้ครูอ้อยเล็กไม่มีกองไฟเลยใช้ย่างบนเตาแก๊สเอาค่ะ..ก็ใช้ได้เหมือนกัน...
ปกติต้มยำกะทิหัวปลีนี้แม่จะต้มกับปลากระทิงที่ย่างไว้แล้ว..แต่ก็วิ๔อีกแหล่ะค่ะที่ครูอ้อยเล็กต้องใช้กุ้งแทน..
หน้าตาปลากระทิงค่ะ...ที่บ้านครูอ้อยบางทีก็เรียกปลาเนื้อไก่..เพราะคุณภาพของเนื้อปลาเหนียวเหมือนไก่บ้านเลยค่ะ...
เสร็จแล้วค่ะ..หัวปลีจะดูดำๆแต่รสชาติและความหอมของหัวปลีเผาช่วยชูรสชาติอาหารมากเลยค่ะ...
กราบนมัสการพระอาจารย์มหาแลครับ
ขอเจริญพร
สวัสดีครับท่านอาจารย์วิรัตน์ และทุกๆท่านครับ
กับข้าวครูอ้อยเล็กน่ากินจังเลยครับเห็นหัวปลีเผาแล้วนึกถึง หน่อไม้รวกเผาไฟลอกเปลือกออกให้ดีๆ แล้วบีบมะนาวลงกับพริกเกลือ กินกับข้าวร้อนๆอร่อยน่าดูเลยครับ
ปลากระทิงผมเคยปักเป็ดได้ที่แม่น้ำเจ้าพระยาเห็นตอนแรกตกใจนึกว่างู ตัวมีนั้นร้ายมากหากใครไม่เป็นเช่นผมต้องโดนมันเอาหลังที่มีหนามคมราวกับเลื่อยมือเป็นแผลแน่ต้องเอาผ้าพันตัวก่อนแล้วแกะออกจากเบ็ด ผมเองรู้จักแค่ปลาตามท้องนา ไม่เคยเห็นปลาแม่น้ำมาก่อนก็งี้แหละครับ
อ้อเกือบลืมมั่วแต่ห่วงกินต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์วิรัตน์เป็นอย่างสูงเลยครับที่นำรูปภาพการยาลานมาลงใว้และช่วยแนะนำข้อมูลบล็อกพริกเกลือ
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้มาอยู่ถึงจุดนี้หากไม่ได้ท่านอาจารย์วิรัตน์และหลวงอามหาแล ขำสุข อาสโย เป็นผู้จุดประกายแนวความคิดไม่อย่างนั้นไม่มีหนทางไปจริงๆครับ
สาธุค่ะพระอาจารย์
ค่ะคุณเสวก..ปลานี้แรงเยอะค่ะเบ็ดถ้าไม่แข็งแรงพอเอามันไม่อยู่หรอกค่ะ..ด้วยเหตุนี้มังคะเนื้อถึงได้เหนียวเพราะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงนี่เองค่ะ..ครูอ้อยเล็กเด็กท้องนาแท้ๆยังไม่กล้ากินในตอนแรก..ต้องต่อรองกับแม่ว่า..แม่ช่วยเอาหนังมันทิ้งไปได้ไหม..แม่บอกว่าไม่ได้พ่อชอบกิน..แป่วๆๆ..พ่อก็เสียสละค่ะบอกกับแม่ว่าถ้าลูกกลัวก็แยกหนังออกมาไม่ต้องใส่รวมไป..อีกเมนูหนึ่งคือ...หนูนาย่างค่ะ..เหล่าพี่น้องที่เป็นผู้ชายเสาร์-อาทิตย์แกจะมีกิจกรรมทำกันนั่นคือด้วงดักหนู..ทำแล้วทดลองแล้ว..ตกเย็นก็จะไปหาทำเลดักหนูนากัน..เช้ามืดก็จะถือไฟฉายไปเก็บหนูนากันค่ะ..เก็บมาทั้งด้วงนั่นแหล่ะค่ะ..แล้วก็มาแกะที่ลานบ้าน..ก่อกองไฟเอาหนูลงเผาขนให้เตียนเลย..แล้วเรียกแม่มาชำแหละหนูค่ะ..แต่ไม่ได้สิ้นสุดที่แม่..แม่เรียกครูอ้อยเล็กมาสอนๆให้ทำ..จ๊ากๆๆๆตูอีกแล้วหรือนี่..แต่ด้วยความที่เป็นผู้หญิงในหมู่พี่ชายน้องชาย..ครูอ้อยเล็กจะทำแต่ของที่ตายมาแล้วเท่านั้น..ถ้าเป็นๆมาไม่เอาด้วยค่ะ..พอชำแหละแล้วผ่าท้องหนูนาแผ่ออกดามด้วยไม้ไผ่เหมือนไก่ย่างค่ะ..แล้วนำไปย่างให้พอสุกอีกที..สับให้ละเอียดก่อนนำไปผัดเผ็ด หรือผัดกระเพราะตามชอบ..น้องๆเอาไปกินที่โรงเรียน..เพื่อนๆอร่อยมาก..พอบอกว่าหนูนาเท่านนั้นเตรียมจะอาเจียนกันใหญ่..แต่น้องชายบอกว่าใครอาเจียนเจอดีแน่..ของดีๆหามาเหนื่อยแทบตายมาอาเจียนน่าดู..เลยไม่มีใครกล้าอาเจียน..แต่วันหลังๆน้องชายบอกว่าพี่อ้อยๆหนูนาผัดเผ็ดของเราขายดีทุกวันเลยอิๆๆๆ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแลครับ
สวัสดีครับคุณเสวก คุณเสวกเล่าถึงเรื่องจับปลากระทิงแล้วโดนแผงบนหลังบาดแล้วก็นึกขำครับ พวกปลาหลดก็เหมือนกันครับ คนเห็นตัวลื่นๆ เหมือนไม่มีอะไร ก็เลยชล่าใจ มักจับหมับเข้าไปอย่างไม่ระวัง หากจับให้แน่นเลยก็จะเอาอยู่ครับ แต่หากจับแบบหลวมๆ ก็จะได้เรื่องครับ เงี่ยงบนหลังเป็นแผงจะกางออกมาตำทั้งมือกระทั่งต้องรีบปล่อยไปในทันที
ดูจากรูปวาดของคุณเสวกแล้ว จะเห็นว่าเรืองราวของชุมชนและภูมิรู้เกี่ยวกับชีวิตของชาวบ้านนั้นมีรายละเอียดมากมาย เมื่อสามารถวาดรูปและถ่ายทอดออกมาด้วยภาพผสมกับการเขียนถ่ายทอด และการบอกเล่า เพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆได้ เราก็จะเห็นว่าความรู้เกี่ยวกับชีวิตและเรื่องราวของชุมชนที่ชาวบ้านแต่ละคนว่าเก็บไว้กับตนเองนั้น มีอยู่มากมายครับ
แต่ ณ เวลานี้ คนที่มีประสบการณ์ชีวิตและมีประสบการณ์ต่อชุมชนมากมายในชนบท รวมทั้งหนองบัวของเรา ไม่ค่อยมีวิธีสร้าความรู้ของตัวเองและเก็บรวบรวมไว้ครับ เมื่อคนรุ่นหนึ่งหมดไป คนรุ่นใหม่ก็เหมือนเชื่อต่อไม่ได้กับความเป็นมาของตัวเองครับ อย่างที่ทุกท่านกำลังทำไปตามกำลังนี้ เป็นเรื่องสร้างสรรค์มากๆครับ
ผมก็ต้องกราบขอบพระคุณพระคุณเจ้า พร้อมกับขอบคุณคุณเสวกและกลุ่มพริกเกลือเช่นกันครับ ที่ช่วยต่อความคิดกันไปมากระทั่งออกมาเป็นเวทีของคนหนองบัวซึ่งดูดีมากเลยครับ แถมมีหัวข้อของพระอาจารย์มหาแล กับของคุณเสวกและกลุ่มพริกเกลือต่างหากอีก
นอกจากวาดรูปแล้ว คุณเสวกอาจหาวิธีอื่นๆช่วยได้อีกนะครับ เช่นถ่ายรูปเองหรือให้ลูกหลายถ่ายมาให้ บางครั้งแม้จะเป็นรูปวิวทิวทัศน์แถวบ้านนอกของเรา ก็เก็บรวบรวมเอามาโยนเก็บไว้ถอะครับ เดี๋ยวนี้สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงเร็วมากครับ หลายอย่างที่กำลังเห็นอยู่ในทุกวันนี้ อีกสัก ๕ ปี ๑๐ ปี ก็อาจจะเปลี่ยนสภาพไปอีกแบบแล้วครับ เวลาผมกลับบ้านผมถ่ายรูปเอามาเก็บไว้หมดแหละครับ แต่ออกจะดีหน่อยที่วาดรูปจากประสบการณ์ หรือจากการฟังข้อมูลจากคนอื่นได้ ก็มีวิธีให้เลือกมากขึ้นครับ
มีความสุขครับผม
ขอเจริญพร
นมัสการพระอาจารย์..ครูอ้อยเล็กไม่นึกไม่ฝันว่าอาหารที่เราจำใจกินเพราะจำเป็นจึงต้องกินแต่มันก็อร่อยและสะอาดมากๆนะคะพระอาจารย์ไม่มีสารพิษ สารเร่งเนื้อแดงอะไรเลย หนูนาเป็นหนูที่สะอาด กินข้าว กินหอยโข่ง เรียกว่าอาหารมันนั้นสุดยอดของอาหารเลยล่ะอีกทั้งเห็บหมัดอะไรก็ไม่มี..ไม่เหมือนหนูในตลาด..จ๊ากๆๆๆ...อย่าไปพูดถึงเน๊าะ..บางที่เรา 4 คนพี่น้องยังแปลกใจทำไมเราไม่ค่อยเป็นอะไรเหมือนคนอื่นๆเขา..ย้อนกลับไปดูปูมหลังเรื่องอาหารการกินของพวกเราแต่เยาว์วัยนั้นเราไม่เคยเอาสารพิษไปสะสมไว้ในร่างกายมากเหมือนคนในเมืองน่ะค่ะ..แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงของการเจริญเติบโตที่สำคัญที่สุดของเด็กๆด้วย..คิดว่าอาหารธรรมชาติจากท้องนามีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก..และอาหารที่เราจำเป็นต้องกินนั้นกลับเป็นที่ต้องการของคนโดยทั่วไป มาวางขายให้เกลื่อนซึ่งตะก่อนนั้นไม่มีภาพอย่างนี้ให้เห็นเลยค่ะ..
อ้อคุณครูอ้อยเล็ก ดูสิว่าจะขอขอบคุณที่ลิ๊งค์เว๊บงานของกลุ่ม Visualizer มาฝาก แล้วก็จะขอพูดชื่นชมถึงสักหน่อย ขอเอางานของอาจารย์บรรลุ แห่งวิทยาลัยสารพัดช่างพิจิตร และศิษย์เก่าเพาะช่าง มาให้คนที่เข้ามาเยือนเวทีหนองบัวได้ชมไปด้วยเลยนะครับ ขออานุญาตอาจารย์บรรลุด้วยนะครับ
ผลงานของทุกคนดีมากๆเลยนะครับ ท่านที่สนใจอยากแวะเข้าไปเดินดูงานศิลปะเด็ดๆ เข้าที่นี่เลยครับ ชมรมนัก Visualizer บางทีเด็กๆบ้านนอกหรือเยาวชนหนองบัวอาจจะสนใจวิชาชีพและความเป็นมืออาชีพในสาขานี้ ลองแวะเข้าไปดูนะครับ เป็นสาขาหนึ่งที่คนเรียนศิลปะใฝ่ฝันเพราะมีความเป็นมืออาชีพที่ต้องใช้ความสามารถหลายด้าน ต้องทำงานเป็นทีมกับคนอื่นเป็น ทำงานข้อมูลและย่อยความคิดคนอื่นเพื่อตีโจทย์ต่างๆให้ออกมาเป็นภาพได้ เป็นคนที่ทำงานสำคัญที่ทำให้ความคิดความฝันของคนที่เขามีความคิด ให้สามารถเห็นเป็นภาพก่อนจะนำไปสู่การทำเป็นสิ่งต่างๆ ตามที่ต้องการได้ ทั้งการทำศิลปะสื่อโฆษณา การออกผลิตภัณฑ์ การออกแบบตบแต่ง การเป็นออร์แกไนซ์เซอร์ต่างๆ
ผมแวะเข้าไปดูแล้วคุณครูอ้อยเล็ก งานที่กำลังแสดงอยู่มีทั้งในและต่างประเทศเลยนะครับ หลายคนเพิ่งทราบนะครับว่าเป็นคนเพาะช่างและเป็นน้องๆคุณครูอ้อยเล็ก ฝากชื่นชมมากนะครับ อย่างอาจารย์บรรลุนี่แต่เดิมผมคิดว่ากลับมาเป็นอาจารย์เพาะช่างเสียอีก ทำงานดีในทุกเทคนิคเลย สายตาแม่น พื้นฐานแน่นปั่ก ความแม่นยำและการตัดสินใจจะแจ้ง แล้วก็กล้าเล่นมาก อยู่มือจนเหมือนกับเขียนอย่างธรรมดาๆก็ไม่พอมือแล้ว เห็นผลงานอยู่บ่อยๆครับ หากทำงานและแสดงงานอย่างต่อเนื่องก็คงไปไกลมากๆ
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ แถวเกยไชย ทับกฤช พวกนี้นี่เคยไปบ่อยครับ เวลาไปเป่าแตรงานบวชนาคแถวนั้น พอตกเย็นก็ไปอาบน้ำกันในแม่น้ำ เคยดูเขาหาปลาในแม่น้ำแล้วก็ยืนทึ่งเขาอยู่เหมือนกัน ต้องใช้ทักษะสูงและอุปกรณ์ต่างๆก็ไม่เหมือนอย่างแถวหนองบัวใช้เลยนะครับ
สวัสดีครับคุณครูอ้อยเล็ก หนูนานอกจากจะสะอาด กินอาหารดีๆทั้งกินข้าวและศัตรูที่ทำลายข้าวแล้ว หากชาวบ้านนำมาทำอาหารกินเป็นก็ช่วยควบคุมจำนวนหนูนาที่จะไปกัดทำลายข้าวได้อีกด้วย บางปีนั้นเยอะจริงๆ ผมเคยไปที่พิษณุโลก บางชุมชนต้องจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ชาวบ้านแข่งกันนำหนูนาและหอยเชอร์รี่มาทำอาหารกินกันอย่างเป็นเทศกาลชุมชนไปเลย เพราะถ้าหากใช้ฉีดยาและสารเคมีอย่างเดียวก็เป็นพิษสะสมในข้าว พืชผักและน้ำในนาข้าวได้
ของานศิลปะสวยๆ มาให้คนหนองบัวได้ดูอีกสัก ๒ ชิ้นนะครับ มาจากลิ๊งค์ที่คุณครูอ้อยเธอลิ๊งค์มาให้นั่นแหละครับ แต่ขอดึงออกมาวางในนี้สักสองรูปครับ รูปแรกเป็นของอาจารย์ชูพงษ์ กาลพักษ์ ครูศิลปะของโรงเรียนกรุงเทพวิจิตรศิลป์ เป็นรูปไก่ชนครับ
นอกจากดูและได้ความสวยงามอย่างที่ชาวบ้านพอจะเข้าถึงได้ง่ายๆแล้ว คนหนองบัวโดยเฉพาะศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัว เห็นแล้วก็คงนึกถึงคุณครูที่รักและเคารพยิ่งของเราท่านหนึ่ง คือ คุณครูอุดม โต๊ะปรีชา เป็นครูและคนเก่าแก่ของชาวหนองบัว แต่เดิมนั้นบ้านท่านอยู่เยื้องๆด้านหน้าโรงพยาบาลหนองบัว ซึ่งเมื่อก่อนนั้นออกไปนอกเมืองจนเหมือนอยู่กลางทุ่ง ท่านเป็นคนแรกๆของหนองบัวที่เลี้ยงไก่ชนในหนองบัว ตอนเช้าๆแถวนั้นจะมีเสียงไก่ขันเจื้อยแจ้ว
อีกรูปหนึ่ง เป็นงานเขียนสีน้ำมันรูปทิวทัศน์ของต่างประเทศ แต่คนวาดเป็นจิตรกรคนไทยครับคือ เสงี่ยม ยารังษี เป็นงานชุดที่เขากับเพื่อนชาวต่างประเทศไปตะรอนๆเขียนจากสภาพจริงของเทือกเขาในประเทศเนปาลแล้วก็นำมาจัดแสดงในประเทศไทย
ความน่าสนใจในงานชุดนี้ของเสงี่ยม ยารังษี จะอยู่ที่ความเป็นงานศิลปะที่สะท้อนออกมาจากการสัมผัสโลกภายนอกด้วยการออกไปเห็น เขียนจากของจริงในสภาพแวดล้อมจริง ต้องเดินทางด้วยเท้า ปีนเขา ใช้ชีวิตเพื่อซึมซับและเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่นำมาสะท้อนเป็นรูปเขียน จากนั้นค่อยบันทึกและถ่ายทอดออกมาด้วยภาษาศิลปะ หวังว่าคงมีความสุขและเพลิดเพลินกับการชมภาพนะครับ หากติดใจก็เข้าไปดูต่อตามลิ๊งค์ที่คุณครูอ้อยเล็กท่านลิ๊งค์มาให้โลด
ขอเจริญพร
หมู หมา กา ไก่ เป็นเพื่อนของชาวชนบทไทย
เมื่อก่อนนี่้ แถวหนองบัวนั้น ช่างฝีมือทำเกวียนหรือช่างวาดเขียน มักชอบวาดรูปแผ่นกระดานปิดเรือนเกวียนด้านหน้าและด้านหลังให้ไม้แผ่นธรรมดาดูสวยงาม และเกวียนก็จะดูเป็นงานศิลปะทั้งเล่ม รูปที่มักนิยมวาดลงไปด้วยอย่างหนึ่งก็คือ รูปไก่ยืนโก่งคอขัน ด้านหลังก็มีดวงตะวันกำลังทอแสงจับขอบฟ้า แล้วก็ดูเหมือนจะมีรายการวิทยุแถวนครสวรรค์หลายรายการ รวมไปจนถึงหนังขายยา จะมีโฆษณายาลูกกลอนตรากาไก่ด้วยครับ แต่ยังนึกรายละเอียดไม่ออก
ใช่รายการลุงพรหรือเปล่าคะ..เหมือนจะโฆษณายาเป่าคอตรากาไก่ ยาสมานลิ้นตรากาไ่ก่..ครูอ้อยเล็กว่าใช่นะคะ..ลุงจัดรายการวิทยุ..ปากน้ำโพธิ์...นครสวรรค์...ฟังไปพร้อมกับลุงป้าน้าอาเวลาเกี่ยวข้าว..ฟังจากวิทยุทรานซิสเตอร์..ที่จำได้เพราะขัดใจ..ครูอ้อยเล็กติดละครวิทยุค่ะฮาๆแต่ผู้ใหญ่จะฟังข่าวค่ะ ในตอนนั้นก็มี คณะวิเชียรณีริกานนท์ คณะเสนีย์บุษปะเกศ คณะแก้วฟ้า เจียรภาปัญจศีล คณะเกศทิพย์ และสุดท้ายคณะกันตนาคณะนี้ครูอ้อยติดหนังผีสุดๆเลยค่ะ...กลัวผีแต่ติดหนังผี..แปลกดีค่ะ..
เจริญพรชาวหนองบัวและผู้อ่านทุกท่าน
วันนี้มีข่าวประชาสัมพันธ์จากหนองบัวเป็นงานการกุศลเกี่ยวกับการจัดหาทุนสร้างเสาธงให้กับโรงเรียนในหนองบัวโดยคนหนองบัวที่รวมตัวกันสร้างประโยชน์สาธารณะจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ช่วยประชาสัมพันธ์บอกกล่าวให้คนหนองบัวทุกท่านไห้ได้มีส่วนร่วมและอนุโมทนาบุญกันตามอัธยาศัยตามวันเวลาดังกล่าว
เชิญร่วมงาน
ขอเจริญพร
กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ
คารวาลัย คุณครูบุญส่ง ว่องสารกิจ คนหนองบัวและอดีตครูใหญ่โรงเรียนวันครู(๒๕๐๔) อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์
ชาวบ้านชุมชนบ้านตาลิน คณะครูและลูกศิษย์โรงเรียนวันครู (๒๕๐๔) รวมทั้งญาติพี่น้องบ้านหนองบัว ขอร่วมแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อมรณกรรมท่านคุณครูบุญส่ง ว่องสารกิจ คนหนองบัว และอดีตครูใหญ่ของโรงเรียนวันครู(๒๕๐๔) อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์
คุณครูบุญส่งได้ป่วยด้วยโรคมะเร็งและเข้าดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดจากแพทย์และญาติพี่น้องที่โรงพยาบาลศิริราช กระทั่งถึงแก่มรณกรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๒
บุตรภรรยาและญาติพี่น้องจะตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่ศาลาวัดหลวงพ่ออ๋อย หรือวัดหนองกลับ อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ และจะฌาปนกิจในวันเสาร์ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ นี้ จึงขอประชาสัมพันธ์มายังท่านผู้เคารพนับถือคุณครู รวมทั้งศิษยานุศิษย์ของคุณครูทุกท่าน เพื่อทราบโดยทั่วกัน.
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
ครูที่สานพลังความร่วมมือของโรงเรียนกับชุมชน : ขอรำลึกและคารวะ คุณครูบุญส่ง ว่องสารกิจ
ผมเคยมีโอกาสได้รู้จักคุณครูบุญส่ง ว่องสารกิจ และได้พบท่านอยู่หลายครั้ง ท่านเป็นครูใหญ่ผู้บริหารโรงเรียนวันครู(๒๕๐๔) คนก่อน คุณครูประสงค์ เดือนหงาย ครูใหญ่ท่านปัจจุบัน หากผมได้กลับบ้านตรงกับวันพระ หรือชุมชนบ้านตาลินกับชุมชนโดยรอบโรงเรียนวันครูมีงานทำบุญและทำกิจกรรมต่างๆของชาวบ้าน ก็มักจะได้เห็นคุณครูไปร่วมงานอยู่กับชาวบ้านอยู่เสมอ
เวลาปิดเทอมหรือมีวันหยุดและฝนลงพอที่จะปลูกต้นไม้ดอกไม้ได้ ก็เคยเห็นคุณครูมาชวนพ่อผมกับชาวบ้าน ขับรถกระบะของคุณครูเองไปเชียงใหม่เพื่อหาซื้อต้นไม้ดอกไม้ลงมาช่วยกันปลูกให้โรงเรียน
ชาวบ้านแถวบ้านผม รวมทั้งครอบครัวพ่อแม่ผม เคารพนับถือคุณงามความดีของคุณครู ผูกพันคุณครูและครอบครัวของท่านเหมือนดังญาติคนหนึ่ง
กราบสวัสดีท่านอาจารย์วิรัตน์ หลวงอามหาแล ขำสุข คุณครูอ้อยเล็ก และทุกๆท่านครับ
วันนี้ผมมาขอต่อเนืองจากการยาลาน ผมว่าท่านอาจารย์วิรัตน์นำเสนอเรื่องราวมาตามลำดับภาพเหตุการณ์ได้ดีมาก ตามฤดูกาล จะเห็นได้ว่าการหาปลา คนนั่งผิงกองไฟหน้าหนาว การทำลานตากข้าว และวันนี้ผมเอาภาพบบรรยากาศกาล่าหนูนามาสานต่อคุณครูอ้อยเล็กครับนี่ก็ใกล้หนาวเข้าไปทุกๆทีผมจะเล่าเรื่องราวเมื่อหลายสิบปีก่อนนานมาแล้วให้ฟังครับ วันนี้เป็นเย็นวันศุกร์แต่ต้องกลับบ้านช้าเป็นพิเศษ เพราะที่โรงเรียนมีกิจกรรมสวดมนต์ในวันสิ้นสุดสัปดาห์ในขณะที่สิ้นสุดเพลงสรรเสริญพระบารมี นักเรียนก็นั่งอยู่ด้วยความสงบนิ่งว่าชั้นไหนจะได้กลับก่อนในขณะนั้นนักเรียนชายหลายคนใจจดจ่อกับการออกล่าหนูนาเพราะว่าวันนี้เป็นวันศุกร์แห่งชาติเลยก็ว่าได้สำหรับเด็กๆเพราะไม่ต้องรีบทำการบ้านรอไว้ทำวันเสาร์เมื่อคุณครูบอกให้แยกย้ายกันกลับบ้านได้ นักเรียนก็พากันเฮด้วยความดีใจรีบวิ่งไปถอยรถBM.ออกจากโรงจดรถด้านหลังอาคารเรียนด้วยความรวดเร็ว…อ้อหมายถึงรถจักรยาน BMX.ครับผม ไปเตรียมอุปกรณ์ดักหนูนากับพ่อครับเพราะวันนี้พ่อจะพาไปล่าหนูนากัน เกี่ยวข้าวแล้วหนูเริ่มออกหาเมล็ดข้าวที่ตกหล่นบนท้องนาอากาศหนาวด้วยเพราะว่าเป็นฤดูหนาว หนูจะอ้วนพลีเพราะอุดมไปด้วยอาหาร เมื่อไปถึงท้องทุ่งนาก็ออกเดินสำรวจค้นหาทางเดินของหนูว่าทางไหนใหม่เก่าเพราะเวลาตอนเย็นจะเห็นได้ง่ายเมื่อวางเจ้ากับดักที่ทำจากไม้ไผ่ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ฟ้าผ่า เจ้าฟ้าผ่าผมเองเคยเห็นใช้กันหลายภาคเหมือนกัน ยิ่งแขกเกี่ยวข้าวที่มาจากเก้าเลี้ยวแล้วละก็ขนกับดักฟ้าผ่ามากันเป็นคันรถเลยทีเดียว มีน้องที่ทำงานด้วยกันกับผมเป็นคนสุพรรณนามสกุลชาวบ้านกร่างกันเกือบทั้งตำบลส่วนมากเลยก็ว่าได้ เค้าเห็นรูปที่ผมวาดก็พูดเป็นสำเนียงสุพรรณว่า นี่เค้าดักหนูนาเหรออออ…อันนี้ใช่กับดักหนู่ที่ทำจากไม้ไผ่ป่าววว..ผมเคยเห่น หนูน่าจะออกได้ดีเมื่ออากาศไม่หนาวจัดแต่ต้องเป็นเวลาที่มืดสนิด พ่อพาเดินไปเลาะกับดักไปเมื่อเห็นหนูวิ่งเพียงดูดปาก ฟูดๆ…ราวคล้ายกับมีหนูมาร้องประกอบกับใช้เท้าเขย่าตอซังข้าวเบาๆเท่านั้นหนูก็วิ่งเข้ามาหาแสงไฟ ว่าก็ว่าราวกับเจ้าเงาะที่สามารถเรียกเนื้อเรียกปลาในเรื่องสังข์ทองอะไรประมาณนั้น แถมยังเคยมีคนเรียกพ่อผมว่าไอ้เงาะเลยก็มี ถ้าหากใครหาไม่ได้แต่อย่างน้อยพ่อผมก็มักจะได้หนูนามาย่างให้กินอยู่เสมอ คืนนี้เดินเกือบทั้งคืนน้ำค้างเริ่มดกซังข้าวเริ่มอ่อนนุ่มเข้าไปทุกทีดาวไถจะตกแล้วเสียงเจ้านกกาเหว่าเริ่มร้องส่งเสียงแว่วเจิดจ้าก้องไปทั่วท้องทุ่งดวงจันทร์เริ่มปรากฏกายออกจากกลุ่มก้อนกลีบเมฆนั่นเป็นสันญาณบอกให้รู้ว่าใกล้สว่างเข้าไปทุกทีอีกไม้นานดวงตะวันก็จะขึ้นมารับขอบฟ้าแทน พ่อต้องเดินเก็บกู้กับดักคนเดียวขณะนั้นผมเองก็ทำการเอาหนูมาเรียงกันแล้วเผาให้ขนไหม้หมดแล้วให้ไม้ขูดขนที่ไหม้เกลียมออกก่อนที่จะทำการลอกหนังเจ้าหนา เช้านี้กับบ้านมีอาหารอันโอชะรออยู่คือหนูนาย่างกับข้าวสวยร้อน แต่สำหรับแม่ใหญ่ทรัพย์ คือยายของผมท่านเป็นคนกลัวหนูมาแต่ไหนแต่ไรรู้ว่าวันนี้มีสิ่งน่ากลัวมาอยู่ในบ้านแม่ผมต้องจัดเตรียมสำรับกับข้าวมาคอยท่าต่างหาก ท่านจะไม่เข้าครัวจนกว่าหนูจะหมดไปท่านเคยเล่าว่าถ้ากลัวปลิงอย่างกลัวหนูไม่ต้องดำนากันหลอก แต่ท่านก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรทีเอาหนูเข้าบ้านเพียงแต่ไม่อยากเห็นก็เท่านั้นเองครับ
อย่าปล่อยให้ลมหนาวพัดเอาไอดินกลิ่นตอซังผ่านร่างเราโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยในรอบปี นี่คือความสุขของเด็กบ้านทุ่งคนหนึ่งซึ่งไม่เคยได้นอนเต้นท์ปีนเขาราวกับเด็กสมัยนี้ขอแค่เพียงกระท่อมกองฟางเท่านี้ก็สุขใจ
สวัสดีครับคุณเสวก ใยอินทร์
เจริญพรคุณเสวกและผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
สุนทรียภาพและสมดุลแห่งชีวิตชาวนาในวิถีชุมชนการผลิต
เสวก ใยอินทร์ และวิรัตน์ คำศรีจันทร์ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒
ชุมชนในอดีตของหนองบัวก็เหมือนกับชุมชนส่วนใหญ่ในชนบทของประเทศซึ่งก่อนทศวรรษ ๒๕๒๐ ส่วนใหญ่ร้อยละ ๘๐ ยังเป็นชุมชนเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม ลักษณะของชุมชนในช่วงเวลาดังกล่าวเมื่อเทียบกับสภาพชุมชนและกลุ่มหมู่บ้านเมื่อทศวรรษ ๒๕๔๐ หรือหลัง ๒๐-๔๐ ปีผ่านไปแล้ว ก็จะกล่าวได้ว่าชุมชนดั้งเดิมมีความเป็นชุมชนการผลิตมากกว่า ในขณะที่หลังอีก ๒๐ ปีต่อมากระทั่งปัจจุบันนั้น ชุมชนส่วนใหญ่มีสภาพเป็นชุมชนแรงงานผลิตเพื่อใช้หนี้
ความเป็นชุมชนการผลิตนั้น ชาวบ้านจะทำอยู่ทำกินและเรียนรู้ที่จะพัฒนาความสุขความซาบซึ้งในสิ่งต่างๆโดยเรียนรู้ที่จะปรับตนเองให้กลมกลืนไปกับเงื่อนไขการผลิต ตลอดจนเงื่อนไขแวดล้อมของธรรมชาติ ชาวบ้านจะสร้างความรู้ขึ้นจากประสบการณ์และใช้ความรู้ดังกล่าวนั้นดำเนินชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับกระบวนการธรรมชาติ เป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิตที่มีความสมดุล
"....เกี่ยวข้าวแล้วหนูเริ่มออกหาเมล็ดข้าวที่ตกหล่นบนท้องนาอากาศหนาวด้วยเพราะว่าเป็นฤดูหนาว หนูจะอ้วนพีเพราะอุดมไปด้วยอาหาร...." (เสวก ใยอินทร์ )
ในอีกด้านหนึ่ง การคิดทำกินและการสร้างอุปกรณ์เพื่อการดักหนู จึงเป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อการดำเนินชีวิต ให้มีความสมดุลกับพื้นฐานการผลิตและปัจจัยแวดล้อมของธรรมชาติ
สุนทรียภาพ ความสุข ความรื่นรมย์ใจ และแรงบันดาลใจที่ปัจเจกจะได้พลังสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ออกมาจากภาวะภายในตนเอง ก็มีลักษณะสะท้อนการซึมซับสภาพแวดล้อมของการดำเนินชีวิต
"..คืนนี้เดินเกือบทั้งคืนน้ำค้างเริ่มตก ซังข้าวเริ่มอ่อนนุ่มเข้าไปทุกทีดาวไถจะตกแล้วเสียงเจ้านกกาเหว่าเริ่มร้องส่งเสียงแว่วเจิดจ้าก้องไปทั่วท้องทุ่ง ดวงจันทร์เริ่มปรากฏกายออกจากกลุ่มก้อนกลีบเมฆ..." (เสวก ใยอินทร์ )
"...นั่นเป็นสันญาณบอกให้รู้ว่าใกล้สว่างเข้าไปทุกทีอีกไม่นานดวงตะวันก็จะขึ้นมารับขอบฟ้าแทน..." (เสวก ใยอินทร์ )
สุนทรียภาพและการได้ความรื่นรมย์ใจในลักษณะดังกล่าว เป็นเสมือนอาหารและสิ่งจรรโลงใจที่เป็นกำลังแห่งความอิ่มปีติในชีวิต ทำให้มีความสุขและได้ความอิสรภาพทางจิตใจโดยไม่ต้องซื้อหาหรือบริโภคจากส่วนเกินภายนอก
"...เช้านี้กลับบ้านมีอาหารอันโอชะรออยู่คือหนูนาย่างกับข้าวสวยร้อน..." (เสวก ใยอินทร์ )
ต่างจากการเป็นชุมชนที่มีความเป็นผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งการผลิตได้กลายเป็นการใช้แรงงานผลิตเพื่อใช้หนี้ด้วยความเหนื่อยยาก เมื่ออยากได้ความสุขและความรื่นรมย์ในชีวิต ก็ต้องใช้เงินค่าจ้างจากการผลิตของตนเองไปซื้อหาความสุขจากการบริโภคในสิ่งที่ตนเองผลิตไม่ได้มากยิ่งๆขึ้น
จะเห็นว่า การดำเนินชีวิตและการทำอยู่ทำกินในวิถีชุมชน ไม่ได้มีเพียงสิ่งที่ผลิตและขายเป็นรายได้เท่านั้น แต่มีองค์ประกอบของชีวิตสอดแทรกอยู่อย่างลึกซึ้งซึ่งจะซื้อหาหรือจัดให้จากภายนอกชุมชนไม่ได้ ทว่า เป็นสิ่งที่จะได้จากความเป็นชุมชนและเข้าถึงได้ผ่านการดำเนินชีวิต
"...ขอแค่เพียงกระท่อมกองฟางเท่านี้ก็สุขใจ.." (เสวก ใยอินทร์ ) แก่นสำคัญของสุนทรียภาพ ความสุข และความสมดุลของชีวิตแบบชาวบ้าน จึงมิใช่อยู่ที่รูปแบบของกิจกรรมอย่างเดียว ทว่า เชื่อมโยงอยู่กับการเรียนรู้อย่างมีความหมายบนวงจรการผลิตและเป็นหนึ่งอยู่กับการดำเนินชีวิต มีคุณค่าทั้งต่อจิตใจและการก่อให้เกิดความสมดุลของการดำเนินชีวิตไปตามจังหวะของธรรมชาติ.
ผมได้รับกการแนะนำให้รู้จัก blog นี้ จากพระมหาแล ขำสุข จดหมายของท่านที่เขียนถึง ผมได้รับตั้งแต่วันที่ 22 .09.2552 แต่มีงานติดพันและเดินทางข้ามไป-มาระหว่างไทยกับลาว จึงขออนุญาตพระเดชพระคุณตอบมา ในบล็อคนี้ อ่านดูเน้อหาในบล็อคคร่าว ๆ แล้วรีบตอบ หากมีเวลามาก ๆ จะอ่านอย่างละเอียดในภายหลัง
เรื่องที่ท่านพระมหาขอมา กระผมอนุญาตด้วยความยินดีครับ หากมีสิ่งหนึ่งประการใดที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อชุมชนคนหนองบัว จะได้นำมาเล่าสู่กันอ่านตามแต่โอกาสจะอำนวย
สำหรับชื่อ...สมบัติ พรหมมินทร์ ฆ้อนทองนั้น.....เป็นชื่อที่ใช้ในการเขียนหนังสือ...ถ้อยเสียงสำเนียงลาว ...เพียงอย่างเดียว ขออนุญาตทักทายชาวหนองบัว(เดียวกัน)เพียงแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ.
ยินดีต้อนรับคุณสมบัติ พรหมมินทร์ ฆ้อนทอง เป็นอย่างยิ่งครับ ท่านพระมหาแลท่านเป็นตัวตั้งตัวตีที่นำมาสู่การมีบล๊อกหัวข้อนี้สำหรับคนหนองบัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่เดิมนั้นท่านคุยกับผมอยู่ในหลายหัวข้อ จำเพาะหัวข้อหนองบัวนี้มีคนเข้ามาดูเป็นพันครั้งในเวลาอันรวดเร็ว
อีกทั้งพระคุณเจ้าเอง รวมทั้งหลายท่านที่เป็นคนหนองบัวและคนอื่นๆที่มีน้ำใจต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรูู้กับคนหนองบัว ก็นำเอาข้อมูลและคุยเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับหนองบัวมาถ่ายทอดไว้ ซึ่งหลายเรื่องมีคุณค่าทั้งต่อท้องถิ่นและต่อการเรียนรู้ของสาธารณชนมากเป็นอย่างยิ่ง ผมเลยเปิดหัวข้อนี้รองรับการที่จะคิดและทำสิ่งต่างๆดีๆด้วยกันของคนหนองบัว อย่างที่เห็นนี่แหละครับ
เชิญทำเวทีนี้ให้เป็นทางหนึ่งที่จะนำไปสู่การริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆที่เห็นว่าเป็นสุขภาวะของชุมชนหนองบัว ที่เราเองจะสามารถมีส่วนร่วมได้ตามความสะดวกและตามกำลังของแต่ละคนครับ แค่เป็นสื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสังคมไทย-ลาวมาสู่คนหนองบัวก็ทำให้เกิดความรอบรู้ เห็นโลกกว้าง และพัฒนาตนเองให้มีความกลมกลืนกับสังคมโลกที่กว้างขึ้นได้แล้วครับ
ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวนั้น นอกจากจะเป็นเหมือนมหามิตรสำหรับสังคมไทยแล้ว ก็กำลังจะเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ กีฬาแห่งปวงชนของโลกในแดนอุษาคเนย์ ซึ่งนอกจากผู้คนคงจะได้เรียนรู้ระหวางสังคมผ่านสื่อมวลชนแล้ว การเป็นสื่อด้วยตัวเราเองก็คงจะน่าสนใจไม่น้อยครับ
เห็นกระบวนการที่อาจารย์ได้วางเครือข่ายเเล้ว อดรู้สึกชื่นชมกับ จิตสาธารณะของทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง
หากกระบวนการแบบนี้ ใช้ พื้นที่บ้านเกิด เป็นพื้นที่นำร่อง ผมคิดว่าเหมาะสมเป็นอย่างมากครับ การทำงานกับถิ่นที่รัก ถิ่นที่ผูกพันมีพลังทำให้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ซึ่งผมเองก็คาดหวังแบบนี้กับบ้านเกิดตัวผมเองที่ปายเหมือนกัน
จะดีเป็นอย่างยิ่งครับ หากฝันเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจัง (คาดว่าอีกไม่นานก็จะเป็นจริง) เพราะอาจารย์ได้วางรูปแบบกระบวนการไว้เเล้ว
วิธีคิดแบบนี้ การวางแผนแบบนี้ จะเป็นตัวอย่าง เป็นบทเรียนที่ดี สำหรับพื้นที่อื่นๆต่อไป
---------------------------------------------------
วันนี้ผมไปทำ MOU ด้วยใจ กับ สรพ.(มหาชน) จะช่วยขับเคลื่อน ความสุข ในวงการสุขภาพ เพื่อทุกคนในสังคม ภายใต้ "HA วิวัฒน์" งานชิ้นนี้เป็นงานใหญ่ ที่ผมมีทีมงานไปสมทบกับ สรพ.กว่า ๕ ท่านที่มากความสามารถ
วันนี้ผม ไปคุยเรื่อง งานถอดบทเรียนกับ กองทันตฯ กรมอนามัย งานนี้เพื่อสุขภาวะของสังคม อีกรูปแบบหนึ่ง
และ ข่าวดีว่า เรื่องราวการถอดบทเรียนที่ผมเขียน มีหน่วยงานแห่งหนึ่งติดต่อ ขอพิมพ์เป็นหนังสือ เพื่อเผยเเพร่สู่สาธารณะครับ...
:)
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวดีๆ ที่ผมมีความสุข และผมขอแบ่งปันกับอาจารย์ครับ
ยินดีด้วยครับคุณเอก จตุพร ทั้งในเรื่องการเติมความสุขเข้าไปในเครือข่าย รพ ของ สรพ ซึ่งจะได้ทั้งงานและได้ทั้งความดีงามนะครับ มีแนวทางที่จะสร้างเสริมสุขภาวะเข้าไปได้หลายแนวทาง และทำได้ในหลายขอบเขตครับ
อันที่จริงหาก สรพ ไม่รีบเร่งให้เป็นสูตรสำเร็จ และการถือโอกาส HA วิวัฒน์ ให้เป็นกระบวนการสร้างการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงเรื่องการดูแลรักษาให้ครอบคลุมไปถึงการดูแลองค์ประกอบความเป็นมนุษย์กับความเป็นชุมชนด้วยแล้ว ก็ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปในแต่ละที่ได้เป็นอย่างดีครับ เพราะเรื่องนี้หากทำดีๆก็เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เชื่อมโยงเข้ากับวิธีคิดเรื่องทุกขสัจจะ อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในหน่วยบริการสุขภาพระดับปฏิบัติได้จริงๆ เป็นอย่างดีครับ
ยินดีด้วยเรื่องที่สองก็คือการมีหน่วยงานมาช่วยกันสนับสนุนการตีพิมพ์หนังสือถ่ายทอดบทเรียนเรื่องการถอดบทเรียน งานแนวนี้ยังต้องสร้าง Space ทางวิชาการและบุกเบิกงานทางความรู้ที่พอเหมาะ-พอดีอีกเยอะครับ ช่วยกันทำอย่างนี้ต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ คุณเอกขยันและมีผลิตภาพดีจริงๆ เยี่ยมๆ
เครือข่ายสร้างความรู้และจัดการความรู้อย่างผสมผสาน อย่างที่กำลังก่อรูปในเวทีของคนหนองบัวนี้น่าสนใจและทำให้ผมเห็นโจทย์วิจัยใหม่ๆ รวมทั้งผมเริ่มเห็นเครือข่ายนักวิจัยแนวขับเคลื่อนสังคม ที่ผสมผสานความเป็นโลกาภิวัตน์กับความเป็นท้องถิ่น ที่เปิดความคิดให้เห็นแนวทางใหม่ๆที่ดีๆหลายอย่างครับ
แวะมาเยือนคนหนองบัวเป็นระยะๆอย่างนี้นี่ดีครับ ต้องขอบคุณมากๆนะครับ จะว่าไปแล้วหากคนทำงานแนวนี้จะอาศัยแลกเปลี่ยนเรียนรู้เหมือนเป็น AcademicNet ที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองไปด้วยกันผ่านเวทีหนองบัวนี้ก็ได้นะครับ ในแง่นี้ความเป็นชุมชนหนองบัวก็จะมีฐานะเป็นแหล่งให้บทเรียน ไม่ใช่เรื่องของท้องถิ่นเล็กๆเท่านั้นน่ะครับ
สรพ. ไม่รีบเร่งครับ วันนี้เราเคลียร์ concept กันเป็นที่เข้าใจว่า การพัฒนารูปแบบนี้เป็นงานประณีต และเป็นไปอย่างช้าๆ ไม่มีตัวชี้วัดเชิงประจักษ์ที่มากวนใจ
ผลการพูดคุย ระกว่างทีมงานเราก็เห็นถึงความเข้าใจความเป้นมนุษย์ของทีม สรพ. ตรงนี้ เป็นความสุขที่เป็นทุนเริ่มต้นของคนทำงานครับ
คงต้องเเวะมาเติมพลังจากบันทึกอาจารย์บ่อยๆ
มี file การถอดบทเรียนของอาจารย์ 2 file หากจำไม่ผิด ไม่ทราบว่าจะนำบางส่วนเข้าประกอบเป็นหนังสือได้ไหมครับ โดย acknowledge อาจารย์ ครับ
ด้วยความยินดีเลย ตรงไหนเอาไปใช้ทำงานและเสริมความเข้าใจให้กับกลุ่มเป้าหมายที่คุณจตุพรทำงานด้วยได้ก็เอาไปโลด
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์ อาจารย์สมบัติและผู้อ่านทุกท่าน
ขอแนะนำคนหนองบัว
วันนี้รู้สึกดีใจและมีกำลังใจที่ได้ต้อนรับอาจารย์สมบัติ พรหมมินทร์ ฆ้อนทอง คนหนองบัวนเดียวกันก่อนอื่นก็ขออนุญาตแนะนำให้ท่านทั้งหลายได้รู้จักกับอาจารย์สมบัติแบบย่อ ๆ ตามที่ท่านได้อนุญาตอาตมาไว้แล้ว หวังว่าโอกาสหน้า คงจะได้อ่านข้อเขียนของท่านเกี่ยวกับประเทศลาว จากผู้เชียวชาญ(ท่านเขียนพจนานุกรมลาว-ไทย-อังกฤษ)โดยตรง วันนี้ก็อ่านประวัติของท่านไปก่อนดังต่อไปนี้
ขอเจริญพร
สื่อรณรงค์สุขภาวะชุมชนอย่างบูรณาการ ขยายผลจากเวทีหนองบัวครับ
ผมเอากระเป๋าที่ทำเป็นสื่อจัดการความรู้ ถ่ายทอดและขยายผลสิ่งดีๆจากเวทีนี้ มาอวดพระคุณเจ้าพระอาจารย์มหาแล คุณเสวก คนหนองบัว คุณเอก คุณสมบัติ คุณครูจุฑารัตน์และทุกท่าน นะครับ
ผมดึงเอารูปที่วาดจากสิ่งที่พระมหาแลกับคุณเสวกท่านพูดถึง ไปทำเป็นสื่อที่ใช้สอยได้และเป็นสภาพแวดล้อมที่รณรงค์ให้คนได้เรียนรู้ เกิดแรงบันดาลใจที่ดีๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้เพื่อจะสร้างส่วนรวมด้วยกัน การอยู่เป็นกลุ่ม การไม่แยกส่วน และการเชื่อมโยงกับถิ่นฐาน
ใต้รูปวาดมีคติให้วิธีคิดการเรียนรู้เพื่อเป็นซึ่งกันและกันของปัจเจกกับผู้อื่นด้วยครับ คือ " เดินทางร่วมกันเพียง ๗ ก้าว แม้เป็นคนอื่น ก็นับได้ว่าเป็นเพื่อน กินข้าวด้วยกันเพียง ๑ มื้อ แม้เป็นคนอื่น ก็ให้ความคุ้นเคยกันเสมือนญาติ นอนแรมทางร่วมกันแม้เพียง ๑ ราตรี แม้เป็นคนอื่น ก็ให้ความวางใจกันเหมือนดังเป็นตัวเอง " เป็นคติที่ขยายจากพุทธวจนะที่ว่า ความคุ้นเคยกันเป็นญาติอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นวิถีคิดที่ทำให้คนแปลกหน้าสามารถมีความเป็นพี่น้องและเพื่อนร่วมทุกข์สุขกันได้ดังคติพุทธธรรมน่ะครับ
มีคนที่ช่วยออกแบบและจัดวางรูปแบบกระเป๋าอย่างนี้อยู่ที่ภาคเหนือของประเทศ โดยรับต้นฉบับภาพถ่ายและข้อความไปจากผม จากนั้นคนที่ตบแต่งทำเป็นต้นฉบับ รวมทั้งทำเป็นซิ้ลค์สกรีน ๑๕๐ ใบ อยู่ที่กรุงเทพฯ ใช้เวลาประสานงานกัน ๑ สัปดาห์ พรุ่งนี้เขาจะทำเสร็จและนำไปให้ผมที่มหาวิทยาลัยมหิดล
กระบวนการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มีคนเกี่ยวข้อง ๒-๓ คนโดยที่เราก็ยังไม่ต้องเจอกันและบางส่วนก็ไม่รู้จักกันมาก่อนเลยครับ ด้านหนึ่งก็ได้ผลการปฏิบัติที่งอกเงยต่อเนืองจากเวทีคนหนองบัวของเรา แต่อีกแง่หนึ่งก็เป็นกระบวนการเรียนรู้วิธีเดินบวกกันตั้งแต่ท้องถิ่นไปจนถึงเครือข่ายที่ไม่จำกัดขอบเขต ให้สามารถทำสิ่งต่างๆด้วยกันที่ดีมากทีเดียวครับ
เจริญพรคุณจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ขอเจริญพร
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์และผู้อ่านทุกท่าน
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์และผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ
นมัสการพระคุณเจ้า ขอคารวะท่านอาจารย์วิรัตน์และสวัสดีทุกท่าน ขอขอบคุณชุมชนคนหนองบัวที่ช่วยให้ได้ทราบข่าวกรณีท่านอาจารย์บุญส่ง ว่องสาริกิจถึงแก่กรรม ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของท่านด้วยครับ ท่านเป็นเขยบ้านห้วยวารีใต้และเป็นอาจารย์ใหญ่สมัยที่ผมเรียน ป.5 - ป.6 หากไม่มีท่านผมอาจจะไม่ได้เรียนต่อ ม.1 ที่โรงเรียนหนองบัว
เย็นวันนี้ได้รับการประสานงานทางโทรศัพท์จากคนหนองบัวที่มาประกอบอาชีพขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หนองคาย.....คุณพิชัย(สามี) คนห้วยร่วม .....คุณม่วย(ภรรยา) คนข้างขอบสระวัดหลวงพ่ออ๋อย ว่าท่านอาจารย์โสภณ สารธรรม จะมาชมบั้งไฟพญานาคที่ริมฝั่งโขง จังหวัดหนองคาย ขอให้ไปร่วมกันต้อนรับ(เหมือนเคย) นัดกันไว้ 1 ทุ่มที่ร้านเลอของ ริมแม่น้ำโขงครับ
พี่น้องชาวหนองบัวที่สนใจเรื่องนี้ ยังพอมีเวลาเดินทางครับ ปีนี้บั้งไฟพญานาคจะขึ้นตั้งแต่ เวลาโพล้เพล้พลบค่ำ - ประมาณ 4 -5ทุ่มในวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2552....ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11....
การเดินทางจากบ้านเรา.....4 แยกหนองบัว - สะพานมิตรภาพไทย - ลาว ......มาได้หลายทางครับ
1. หนองบัว - วังทอง - นครไทย - ด่านซ้าย - เลย - เชียงคาน - ปากชม -สังคม - ศรีเชียงใหม่ - ท่าบ่อ - หนองคาย ทางเส้นนี้เลาะเลียบตามริมโขง สวยงามมาก แต่คดเคี้ยวและไกลครับ
2. หนองบัว - บึงสามพัน - วังชมพู - หล่มเก่า - วังสะพุง - เอราวัณ - นาวัง - นากลาง -บ้านผือ- ท่าบ่อ-หนองคาย ช่วงหล่มเก่า -วังสะพุง เปลี่ยวมาก ไม่ค่อยมีมนุษย์อยู่อาศัยมากนัก หรือจะไปทางหล่มเก่า - น้ำหนาว - ชุมแพก็ได้ครับ
3. หนองบัว - ชัยภูมิ - ขอนแก่น - อุดรธานี - หนองคาย เส้นทางนี้ผ่านภูเขาน้อยที่สุด ขับรถสบาย ทำเวลาได้ดี
4. หนองบัว - ภักดีชุมพล - หนองบัวแดง - เกษตรสมบูรณ์ - ภูเขียว - ชุมแพ -หนองบัวลำภู
ขณะที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ ได้รับโทรศัพท์จากทั้งสองสามีภรรยาว่าอาจารย์โสภณและคณะมาถึงแล้ว
คุณพิชัย คุณม่วย และผม ขออนุญาตไปทำหน้าที่ศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัวก่อนนะครับ
เจริญพรอาจารย์สมบัติคุณพิชัยคุณม่วยด้วยความยินดี
มาชมความจริงวันนี้ค่ะ
ความจริงวันนี้ เมื่อวันที่ 3 มากันเป็นแสนทั้งอุดร-หนองคายดูแดงไปหมด สงสัยว่าจะตั้งใจมาดูบั้งไฟพญานาคด้วย
ครับ ศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัวทั้งสามคนได้ทำหน้าที่กันเรียบร้อย ท่าอาจารย์โสภณ อาจารย์วันเพ็ญพร้อมคณะ ศิษย์เก่ามศว.บางแสน (รุ่นเดียวกับท่าน) ได้ข้ามไปทานอาหารและเที่ยวในนครหลวงเวียงจันทน์ กลับมาครบทุกท่าน ไม่มีคนตกค้าง ท่านบอกว่ามีนัดต่อที่พิจิตรในวันที่ 5......(ไม่ได้ถามว่านัด เคอิโงะซัง ไว้หรือเปล่า) วันที่ 4 สาย ๆ หน่อยไปส่งท่านกลับที่ โรงแรมนาข่าบุรี จ.อุดรธานี ท่านจึงไม่ได้อยู่ดูบั้งไฟพญานาคด้วย
ปีนี้บั้งไฟขึ้นน้อยกว่าทุกปีครับ นักท่องเที่ยวหลายหมื่นต่างผิดหวังตาม ๆ กัน แต่จังหวัดยังประชาสัมพันธ์ว่า วันที่ 5 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของลาว บั้งไฟน่าจะขึ้นมากกว่าวันพระไทย ก็ต้องลองพิสูจน์กันดู
ก่อนกลับท่านอาจารย์ได้มอบหนังสืองานเกษียณของท่านให่เล่มหนึ่ง ได้ความรู้เกี่ยวกับโรงเรียนหนองบัว ชุมชนหนองบัว บุคลากรทางการศึกษาของหนองบัว อย่างชนิดที่ลูกหนองบัวแท้ ก็ไม่เคยรู้มาก่อน ...ที่สำคัญท่านได้มอบหลวงพ่อเดิม และ ใบจองผ้าป่าสร้างโรงอาหารให้กับโรงเรียนเก่าด้วย........ถ้าไม่ติดธุระสำคัญจริง ๆ วันที่ 6 ธันวาคม 2552 คงได้พบกับหลาย ๆ ท่านนะครับ
เจริญพร
เจริญพร
ท่านพระมหาแลให้ทุนตั้งต้น ๒,๐๐๐ บาทเพื่อทำหนังสือและสื่อพัฒนาการเรียนรู้ชุมชนหนองบัว
สาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว ชื่อนี้เริ่มใชเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1975 ก่อนหน้านั้นประเทศนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ....ราชอาณาจักรลาว....สมัยนั้นมีเจ้ามหาชีวิตทรงดำรงตำแหน่งประมุขรัฐ
ผมขออนุญาตเพิ่มเติมท่านอาจารย์วิรัตน์ ในความเห็นที่ 133 ว่า การเป็นเจ้าภาพแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งนี้ เป็นซีเกมส์ครั้งที่ 25 ลาวให้ความสำคัญกับการจัดงานนครั้งนี้มาก เนื่องจากเพิ่งจะมีโอกาสเป็นเจ้าภาพครั้งแรก สนามกีฬาก็สร้างเสร็จไปแล้ว 98% กว่าจะถึงวันแข่งจริง 9 - 18 ธันวาคม 2009 (พิธีเปิด 12 ธันวาคม) ทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อย
สำหรับบรรยากาศริมแม่น้ำโขง หรือที่คนลาวเรียกว่า...แคมของ....ในความเห็นของอาจารย์วิรัตน์ ข้อ 147 นั้น แม่น้ำโขงแต่ละจุด แต่ละพื้นที่ จะมีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกัน มีเสน่ห์คนละแบบ กวีหลาย ๆ ท่านต่างก็มีหลายมุมมอง หลากหลายอารมณ์ต่อแม่น้ำโขง ความสวยงามของบรรยากาศริมฝั่งโขง ในฤดูน้ำหลากกับในฤดูน้ำแล้ง/ ในยามหนาว ... หรือยามฝนก็แตกต่างกัน บทกวีอันไพเราะของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ก็น่าจะยังพอหาอ่านได้ครับ
ความเห็นที่ 153 ของท่านพระมหาแลฯ กระผมเข้าใจว่าหนังสือของท่านอาจารย์โสภณ น่าจะยังพอเหลืออยู่นะครับ หากพระเดชพระคุณได้กลับบ้าน จะลองไปโปรดท่านอาจารย์พร้อมบอกจุดประสงค์ ท่านคงจะดีใจไม่น้อย......บ้านท่านอยู่ในซอยตรงข้ามโรงเรียนหนองบัวนั่นแหละครับ ผมเองก็เคยไปเยี่ยมท่านถึงบ้าน.....................ถามใครก็รู้จักครับ
ขอขอบพระคุณท่านพระมหาแลฯ และท่านอาจารย์วิรัตน์ ในความเห็นที่ 153/154 ครับ หากจะได้มีโอกาสต้อนรับท่านทั้งสองเหมือนที่ได้ต้อนรับท่านอาจารย์โสภณฯบ้าง ก็มีความยินดี.............อาจารย์ขุน โอภาษี รวมถึงอาจารย์ท่านอื่น ๆ ก็เคยแวะมาหาที่หนองคาย...... แต่ก็หลายปีแล้วครับ.
โอ้โฮ แทบจะเรียกได้ว่าแม้จะอยู่ตั้งไกลโพ้น แต่ก็เป็นแหล่งพบปะของครูอาจารย์และศิษย์เก่าของหนองบัวไปเลยนะครับ
เจริญพร
ผมกำลังขอให้น้องๆเขาส่งหนังสือและกระเป๋าผ้าดิบมาถวายพระคุณเจ้าด้วยครับ จะส่งไปตามที่อยู่ในจดหมายและธนาณัติที่พระคุณเจ้าได้ส่งไปถึงผมนะครับ อยากมอบถวายทั้งเพื่อได้เป็นกำลังใจในฐานะที่เป็นผลสืบเนื่องอย่างหนึ่งที่จุดประกายขึ้นมาโดยพระคุณเจ้า และเพื่อร่วมกับพระคุณเจ้าในการเป็นสื่อส่งเสริมให้เกิดสิ่งดีๆโดยชาวบ้านนะครับ
สวัสดีค่ะอ.วิรัตน์
มาทักทายด้วยความระลึกถึงและเรียนอาจารย์ว่า
ขอบคุณที่กรุณาติดตามอ่านอนุทินของคนไม่มีรากค่ะ แต่เนื่องจากปัจจุบันคนไม่มีรากไม่ได้เขียนอนุทินแล้วค่ะ...
แต่เปิดเป็น อนุทินเปิดส่วนตัว...เพราะคิดว่าจะได้ประโยชน์และเปิดกว้างกว่า...
หากอาจารย์สนใจ ก็อ่านได้ที่นี่ค่ะ ชื่อ บล็อก เส้นทางระหว่างบรรทัด ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณครับคุณคนไม่มีราก เลยขอนำเข้าไปไว้ในแพลนเน็ทของผมเอาไว้ติดตามอ่านนะครับ
เห็นบัวสวยในอินเตอร์เน็ตเลยเอามาฝากพี่อาจารย์วิรัตน์และชาวชุมชนหนองบัวนะคะ..
สวัสดีครับคุณครูอ้อยเล็ก ช่างไปเสาะหาเจอแล้วนำมาแบ่งกันดูเนาะ เป็นรูปดอกบัวที่งามจริงๆ
เจริญพร
การรักษ์ถิ่นเกิดและรักษ์หนองบัวนี้ ก็คงจะสอดคล้องกับแนวทางที่พระคุณเจ้าและพวกเราจำนวนหนึ่งคุยกันแล้วก็มาทำเป็นเวทีเสวนาในโลกไซเบอร์นี้เลยนะครับ เพราะเป็นเวทีคิด เขียน สนทนา และแลกเปลี่ยนทรรศนะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ทั้งการทำงานและประสบการณ์ชีวิต เพื่อทำให้สำนึกของเราได้มีโอกาสพัฒนาและยกระดับให้คลายออกจากตัวเองได้มากยิ่งๆขึ้น การรักษ์ถิ่นเกิดเป็นการนำเอาตัวตนของปัจเจกไปรวมเป็นหนึ่งกับสิ่งที่มีความเห็นแก่ตัวน้อยลง ในแง่การกล่อมเกลาตนเองนั้น ก็น่าจะเป็นปฏิบัติการเรียนรู้เพื่อลดอัตตา ลดความเห็นแก่ตัวให้แก่ตนเองของเราได้นะครับ
บัวหลวงเป็นพืชน้ำที่มหัศจรรย์มากครับ เป็นสื่อการเรียนรู้ชีวิตและสาธิตการเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสมดุลกับสรรพสิ่งรอบข้างได้ดีจริงๆครับ...หาความมหัศจรรย์แห่งบัวมาเพิ่มเติมจากพี่วิรัตน์ค่ะ...
บัว สมุนไพรมีคุณค่า
เมื่อกล่าวถึงบัวใครๆก็รู้จักดี ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในทางพุทธศาสนา ดอกบัวถูกนำไปใช้ในพิธีการต่างๆ ทางศาสนกิจ พระพุทธเจ้าได้เปรียบมนุษย์เหมือนดอกบัว 4 ประเภท
บัวนอกจากมีความสำคัญในทางศาสนาพุทธแล้ว นักกวีหรือจิตรกรมักนำเอาบัวไปเป็นวัตถุดิบในการประพันธ์หรือวาดภาพ และที่สำคัญคือ ทุกส่วนของบัวตั้งแต่เหง้า ใย ใบ ดอก รังบัว ล้วนแล้วแต่สามารถนำไปใช้เป็นยาสมุนไพรและนำไปปรุงอาหารได้
⇒ ชื่อวิทยาศาสตร์ Nelumbo nucifera Gaerth วงศ์ Nymphaeaceae
⇒สรรพคุณ
ใบบัว มีคุณสมบัติเป็นกลาง รสฝาดขม แก้ร้อนใน แก้ปวดหัว เลือดกำเดาออก
สายบัว มีสรรพคุณ แก้ร้อนใน ท้องเสีย ขับนิ่ว แก้ระดูขาว
ขั้วใบ คุณสมบัติเป็นกลาง รสขม แก้บิด ท้องเสีย
เมล็ดบัว คุณสมบัติเป็นกลาง รสฝาด แก้อาการท้องเสีย หรือมักนอนฝันเวลาหลับ ระดูขาวและประจำเดือนมากเกินปกติ
เยื่อหุ้มเมล็ด รสฝาด สรรพคุณห้ามเลือด
ดอก มีคุณสมบัติร้อน รสขมหวาน แก้ช้ำใน อาการผื่นคัน ห้ามเลือด
เหง้าบัว มีคุณสมบัติเย็น รสหวาน แก้ร้อนในกระหายน้ำ อาเจียน โลหิต เลือดกำเดาออก
รังบัว มีคุณสมบัติร้อน รสขมฝาด แก้ประจำเดือนมากผิดปกติ ปัสสาวะเป็นเลือด ริดสีดวงมีเลือดออก คันตามผิวหนัง
เกสรบัว คุณสมบัติเป็นกลาง รสฝาดหวาน แก้ฝันเปียก เลือดกำเดาออก ประจำเดือนมากกว่าปกติ ระดูขาว ท้องเสีย
* ดีบัว คุณสมบัติเย็น รสขม แก้ร้อนในกระหายน้ำ อาเจียนเป็นเลือด ตาอักเสบ
⇒ตำรับยา
1. บิดเป็นมูกเลือด ใช้ขั้วใบบัวต้มน้ำดื่ม
2. ท้องเสีย ใช้เมล็ดบัว (เอาดีออก) บดเป็นผงผสมน้ำข้าว กินครั้งละ 1 ช้อนชา
3. ผื่นคัน ใช้กลีบดอกบัวพอกบริเวณที่คัน
4. ความดันโลหิตสูง ใช้ดีบัว 2 กรัม ชงดื่มต่างน้ำชา
5. แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้ใบบัวสด หั่นเป็นฝอยๆ ชงดื่มต่างน้ำชา หรือต้มดื่มน้ำ
6. ร้อนในกระหายน้ำ ใช้เหง้าบัวสดคั้นน้ำ ผสมน้ำผึ้งดื่ม จะทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ
มีรายงานทางการแพทย์ว่า ใช้ใบบัวต้มน้ำให้ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง 47 ราย กินติดต่อกัน 20 วัน ทำให้โคเลสเตอรอลลดลงได้ผลถึง 91.3% โรงงานผลิตยาในจีนได้สกัดอัลคาลอยด์ (Alkaloid) และ Flavon ในใบบัว แล้วผลิตเป็นยาเม็ด เมื่อนำไปใช้ในทางคลินิกสามารถลดโคเลสเตอรอลและลดความอ้วนได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ
⇒ผลทางเภสัชวิทยา
ขั้วใบ พิษของ Roemerine ต่อกบ หนูถีบจักร กระต่ายและสุนัข ทำให้เกิดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง (convulsion) เมื่อฉีดเข้าไปในสุนัขที่ดมยาสลบในปริมาณ 5-7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จะทำให้ความดันโลหิตลดลง 30-50 มิลลิเมตรปรอท เป็นเวลา 20-30 นาที ถ้าใช้ในปริมาณที่มากกว่านี้จะทำให้มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อเป็นระยะๆ แต่ความดันโลหิตไม่ลดลง ถ้าใช้ในปริมาณน้อยจะทำให้หายใจเร็วขึ้น
ดีบัว : มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต ผลึก Liensinine ที่สกัดจากดีบัว มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตชั่วคราว
* ไส้สีเขียวที่อยู่กลางเมล็ดบัว
ที่มา.... http://www.doctor.or.th/node/5652
เจริญพรขอบคุณคุณครูอ้อยเล็กที่นำสาระดี ๆ มาฝากชาวหนองบัว
นมัสการพระอาจารย์มหาแล
สวัสดีค่ะพี่อาจารย์วิรัตน์
ครูอ้อยเล็กเอากระเป๋าผ้าเขียนด้วยมือกันเองเลยมาฝากค่ะ..ครั้งทำกิจกรรมชุมนุมลูกเสือระดับภาคกลาง ของกรมส่งเริมการปกครองท้องถิ่น ระดับภาคกลางค่ะ...
เสร็จแล้วแลกเปลี่ยนเป็นที่ระลึกกันค่ะ
ส่วนภาพนี้เป็นเครื่องบูชาขวัญข้าวที่ทำจากแป้งขนมปังบูรณาการกับวิชาสังคมศึกษา...สื่อศิลปะคือสอนการปั้นจากแป้งขนมปัง..สื่อสังคมคือนำผลของการเรียนที่ได้จากศิลปะไปใช้ในเรื่องของพิธีกรรมการทำขวัญข้าว..เป็นสื่อจำลองค่ะ..
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ
อันที่จริงสามารถทำเป็น OTOP ได้นะครับ โดยเพิ่มเนื้อหาและรายละเอียดเพื่อทำให้เป็นสื่อเผยแพร่เรื่องราวของชุมชนไปในตัว แล้วก็ขายระดมทุนเอาไว้ทำงานกลุ่มชาวบ้านหรือชุมชนได้ หากชุมชนไหนทำหรือกลุ่มชาวบ้านไหนทำก็ดึงรูปวาดและเนื้อหาออกไปเรียบเรียงแล้วทำได้เลยนะครับ ในส่วนของผมนั้นอนุญาตให้เลย ส่วนเนื้อหาไหนที่พระคุณเจ้า คุณเสวก และท่านอื่นๆเขียนไว้ให้ ก็ขออนุญาตทุกท่านก็คงได้เช่นกันนะครับ
ข้อความที่ผมพิมพ์ลงไปบนกระเป๋าใต้ภาพการลงแขกเกี่ยวข้าวนั้น มีที่มาจากพุทธวจนะที่ว่า ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่งน่ะครับ
ขณะเดียวกันการทำสิ่งต่างๆเป็นชุนชนและกลุ่มก้อนเหมือนการลงแขกเกี่ยวข้าวนั้น เป็นตัวตนที่ความเป็นอัตตาของปัเจกลดลงหรือคลายลง แล้วกลายเป็นตัวตนความเป็นส่วนรวมขยายใหญ่ขึ้น ดังนั้น จึงเป็นการปฏิบัติการลดอัตตา หรือเป็นภาคแสดงออกทางการปฏิบัติในสังคมของการเกิดภาวะอนัตตามากยิ่งๆขึ้น ทำให้เราเรียนรู้ทางสังคมและเจริญสติให้ได้ปัญญาที่แยบคายไปด้วยได้เป็นอย่างดีครับ
ลักษณะการทำอย่างนี้เป็นการเอาความรู้ท้องถิ่นที่เราช่วยกันสร้างขึ้น มาทำเป็นสิ่งใช้สอยให้บูรณาการการเรียนรู้ของชุมชนในสิ่งที่มีดีอยู่แล้วในสังคมนั่นเองครับ
สวัสดีครับน้องคุณครูอ้อยเล็ก กระเป๋าที่ทำอย่างนี้ก็ได้ความเป็นแบบฉบับจำเพาะชิ้นมากเลยนะครับ ที่สำคัญคือกระบวนการทำงานศิลปะด้วยตนเองแล้วก็นะมาใช้สอยได้ด้วย มีความสุข ได้การเรียนรู้และได้ประโชน์มากเลยครับ อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย แม้แต่ผมหรือคนเรียนศิลปะมาก่อน ก็คงจะพูดสอดคล้องกันว่าการได้วาดรูปนั้นมีความสุขและเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตนเองที่ดีมากอย่างยิ่ง
dialogue box ๑๗๕ เป็นสื่อที่สร้างสรรค์และแยบคายมากเลยครับ นอกจากใช้ในพิธีทำขวัญข้าวแล้ว ชุดผ้าดิบ ขนมต้มแดง ต้มขาว และสิ่งที่นำมาจากผลผลิตจากแรงกายชาว้บาน อย่างนี้ จะใช้สำหรับเป็นของไหว้ครูและทำพิธีต่างๆที่เป็นเรื่องมงคลด้วยครับ
ตอนที่ผมไหว้ครูแตรวงก็ทำอย่างนี้แหละครับ แต่มีอย่างอื่นเพิ่มเข้ามาด้วยคือเหล้าขาว ไก่ต้ม และขันธ์ห้า ทั้งหมดนี้พอเสร็จพิธีแล้วก็จะเป็นของส่วนรวม นั่งแบ่งกันกินทั้งชุมชนในที่นั้นๆครับ
จากความเห็นที่ ๑๗๔/๑๗๕/๑๗๖
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแลครับ
เรียนอาจารย์พี่วิรัตน์
หนังสือวิถีประชาศึกษา "บันทึกเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ภาคสนาม"..น่าอ่านค่ะต้องใช้วิธีอ่านไปเรื่อยๆค่ะ..แอบยิ้มกับปกหลังค่ะ..ขอบคุณในน้ำใจอาจารย์พี่วิรัตน์เช่นกันค่ะ...
ความยากจนในวัยเยาว์มีค่ายิ่งสำหรับบทเรียนชีวิตบทต่อมาของครูอ้อยเล็กค่ะอาจารย์พี่วิรัตน์..ณ..วันนี้ครูอ้อยเล็กมีความพรั่นพรึงในใจลึกๆของวิถีชีวิตของเด็กไทยที่เปลี่ยนไปอย่างยากที่จะทำใจ..แต่ก็พยามหาข้อดีของเขามาพัฒนาปรับปรุงชักจูงให้รักในการทำงานด้วยวิธีเข้าใจและเข้าถึง..โดยพบและพูดคุยกับผู้ปกครองโดยตรง..ว่าลูกเขามีความสามารถด้านนี้ๆและครูก็มีข้อเสนอแบบนี้ๆขอให้เด็กได้ทำงานที่ตนเองรักโดยมีครูเป็นผู้ควบคุมดูแล..ให้เป็นไปตามความสามารถของเด็กด้วย..ก็ทำได้เท่าที่ผู้ปกครองจะเห็นสมควร..แต่เมื่อทำไปแล้วอยู่กับเราแล้วทำงานศิลปะกับครูหลังเลิกเรียนแล้วไม่มีเรื่องชู้สาว..เราก็สบายใจไปค่ะ..แต่ถ้ามีมาครูก็ต้องประสานกับผู้ปกครองบอกเล่ากันและช่วยกันแก้ปัญหากัน..ก็ผ่านรอดปลอดภัยไปก็หลายรุ่นแล้วค่ะ..
สวัสดีครับคุณครูอ้อยเล็ก
ผมมีชื่อเล่นว่า ม่อย เป็นชื่อเล่นเมื่อตอนเรียนเวชนิทัศน์ศิริราชแล้วคนก็เรียกชื่อนี้มากกว่าชื่ออื่นๆที่เพื่อนๆแต่ละกลุ่มมักขนานนามให้มาจนเดี๋ยวนี้ อาจารย์ผมซึ่งเป็นที่เคารพรักของทุกคนเป็นคนเรียกก่อนเพราะผมนั่งวาดรูปจากกล้องจุลทรรศน์เพลินไปหน่อยเลยนั่งหลับคากล้อง อาจารย์ท่านเลยเรียกแบบระอาใจว่า โธ่ไอ้ม่อย เพื่อนๆเลยใช้เรียกล้อเลียนความเป็นคนชอบหลับ กระทั่งกลายเป็นชื่อเรียกไปเลย
ตอนทำหนังสือวิถีประชาศึกษาที่ได้ส่งมาให้คุณครูอ้อยเล็กด้วยนี้ น้องๆและเพื่อนร่วมงานเขาแอบทำเซอไพรส์เลยซุ่มเลือกสรรกันเอง เห็นรูปคนนอนหลับในขณะที่มีคนตะโกนเรียกก็ยังหลับอุตุอยู่ พอเห็นหน้ากระดาษเหลือก็เลยเลือกรูปที่คุณครูอ้อยเห็น ใส่ลงไป
เป็นรูปที่ผมวาดสองสหายอาจารย์กู้เกียรติกับคุณครูอ้อยเล็กเมื่อวัยยุวชนนักศึกษากว่า ๒๕ ปีก่อน แต่คงคิดว่าผมวาดรูปผมเอง เลยนำมาใส่ไว้ในหนังสือให้
เจริญพรอาจารย์วิรัตน์
เจริญพร
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแลครับ
ต้องกราบขอบพระคุณพระคุณเจ้าเป็นอย่างยิ่งครับที่เหมือนกับช่วยรณรงค์และส่งเสริมทั้งหนังสือและการได้พูดคุยกันอย่างในนี้ไปยังหมู่ผู้ที่ได้มีโอกาสสนทนาปสาทะทั้งพระและฆราวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนบ้านนอกด้วยกัน
ผมจะขอน้องๆเขาไว้สักเล่มพร้อมกับกระเป๋านะครับ หากพอเหลือก็จะส่งมาถวายที่พระคุณเจ้าเพื่อผ่านไปยังท่านหรือคนอื่นๆที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไปครับ
รากบัว ในน้ำเก๊กฮวย เพื่อสุขภาพ..น่าอร่อยค่ะเลยเอามาฝากค่ะ...
วิธีทำตามลิ้งค์เลยค่ะ...
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=nuoomsin&date=23-09-2009&group=10&gblog=3
วิธีทำ
1. นำรากบัวมาปลอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นๆ นะคะ แล้วก็ล้างน้ำให้สะอาดอีกประมาณ 2 รอบ เอายางมันออก
ขอบคุณครับคุณครูอ้อยเล็ก เหมือนรากบัวหลวงและบัวหิมะของจีนนะครับ แต่ดูรูปร่างที่ป้อมๆ ท่อส่งน้ำที่มีขนาดใหญ่ และสีสันอย่างนี้แล้วน่าจะเป็นบัวหิมะนะครับ รากบัวหิมะเป็นผลผลิตเกษตรส่งออกของจีน
ของพื้นถิ่นไทยเราจะเป็นรากบัวหลวงกับรากบัวสาย รากบัวหลวงจะมีลักษณะคล้ายรากบัวหิมะนี้แต่ขนาดเพรียวยาวและท่อข้างในจะเล็กกว่านี้ ส่วนรากบัวสายก็จะมีลักษณะเหมือนสายบัวที่ลอกผิวนอกออก รากบัวมีสรรพคุณทางยาหลายอย่าง หากชงดื่มกินเป็นชา จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายสดชื่นและเกิดผลดีต่อการรักษาโรคหัวใจในทางอ้อม
รากทำหน้าที่น่าเรียนรู้เพื่อเป็นอนุสติในการดำเนินชีวิตมากครับ หากแล้งจนแหล่งน้ำแห้ง บัวจะหยุดการเจิญเติบโตทั้งหมดจนเหลือแต่รากบัว ยิ่งแล้งก็ค่อยๆย่อยสลายตนเองไปจนเหลือเพียงเหง้า จึงสามารถส่งผ่านตนเองข้ามฤดูกาลเป็นปีๆ บัวจึงมีโอกาสการดำรงอยู่ทั้งโดยรากและเมล็ด
เมื่อมีน้ำหลากมา ก็ต้องเป็นน้ำขังนานพอที่จะทำให้ดินอ่อน รากบัวจึงจะเริ่มงอกและทำหน้าที่ตรงข้ามไปอีกทางหนึ่งโดยแทนที่จะย่อยสลายตนเองและหดตัวลง ก็จะค่อยๆงอกแผ่ออกไปตามความอ่อนตัวของดิน
ในกรณีของบัวหลวงนั้น เมื่อได้ระยะและจังหวะที่เหมาะสมก็จะผุดใบและดอกไปพร้อมกัน ๑ คู่ เวลาเห็นบัวหลวงแตกใบขึ้นมา ๑ ใบ ไม่นานก็จะเห็นดอกตูมผุดขึ้นมาด้วย ๑ ดอก หากเป็นระยะแรกๆ ใบบัวยังไม่หนาแน่น โอกาสจะโดนลมตีสูง ใบและดอกบัวหลวงจะปริ่มและแบนราบอยู่กับผิวน้ำ เมื่อหนาแน่นพอสมควรก็จะเหมือนกับร่วมแรงกันกำบังลมไหว จึงจะชูก้านขึ้นเหนือน้ำ
ดูแล้วก็เห็นความเป็นชุมชนและเห็นวิถีการพัฒนาอย่างมีความเป็นซึ่งกันและกัน หรือเห็นความเป็นสังคมของพืชได้เหมือนกันครับ พิจารณาดูให้ดีก็เห็นกระบวนการกลุ่มก้อน ต่างเป็นปัจจัยสร้างความลงตัวและสร้างความพอดีให้แก่กัน ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติที่น่าสนใจและให้สติปัญญาดีจริงๆครับ
ที่สระหลวงพ่ออ๋อยนั้น ลึกหลายเมตร แต่กลับมีบัวหลวงอยู่เต็ม พอหน้าแล้งสระน้ำแห้งขอด ชาวบ้านหนองบัวก็จะขุดท้องสระให้น้ำซึมบ่อทรายและบางคนก็ขุดรากบัวเอาไปทำขนมขาย ที่ร้านหมอหลุย หรือร้านปานขลิบโอสถข้างสระวัดหลวงพ่ออ๋อย ก็มีรากบัวขายเป็นยาสมุนไพร ยาสูบแก้ริดสีดวงจมูกหมอหลุยบ้างก็กล่าวกันว่ามีใบบัวหลวงเป็นส่วนประกอบ
หน้าตลาดสดหนองบัวนั้น เมื่อก่อนนี้มีแม่ค้าขนมหวานและบางครั้งก็มีรากบัวเชื่อมขาย ลูกของแม่ค้าขนมและช่วยคุณแม่ขายขนมด้วยนั้นเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัวและเรียนจบด้วยคะแนนดีเยี่ยมได้ชื่อขึ้นบอร์ด Hall of fame ของโรงเรียนหนองคอก
เด็กคนนั้นปัจจุบันเป็นนายทหารเสนาธิการและผู้บัญชาการยศพันเอก ชื่อพันเอกโกศล ประทุมชาติ นามสกุลก็มีความหมายเป็นดอกบัว เป็นคนหนองบัวและเส้นทางชีวิตก็เหมือนการงอกงามเติบโตของบัวจริงๆ เป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี ดูเหมือนว่าตอนนี้จะประจำอยู่ที่ค่ายกาวิลละ เชียงใหม่
เหนื่อยนักพักหน่อย กราบสวัสดีครับท่านอาจารย์วิรัตน์และท่านผู้อ่านทุกท่านครับ วันนี้ผมเองตั้งใจมาน่านแล้วว่าจะทำตามสัญญา ผมเองได้กลับไปเที่วยวบ้านที่หนองบัวเมื่อวันลอยกระทง ปีนี้ที่วัดหนองบัวหนองกลับมีการจัดงานการแห่กระทงอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีพ่อแม่พี่น้องกลุ่มหมู่บ้านชาวหนองบัวเข้าร่วมขบวนแห่กระทงและเทพีสาวงามนางนพมาศร่วมด้วยทุกชุมชนอย่างหหน่าแน่น แต่ละชุมชนจะมีแตรวงและวงแคลนสร้างความคึกคลื้นในขบวนแห่อย่างสนุกสนาน ตอนกลางคืนมีการประกวดเทพี มีรำวงย้อนยุคอีกด้วยครับปีนี้ ภาพทั้งหมดด่านล่างนี้ผมได้ลงไว้ที่คนหนองบัวกับพริกเกลือแล้วท่านหลวงอามหาแลท่านบอกว่าเห็นหนุ่มน้อยเป่าแตรและวงแคลนเลยทำให้นึกถึงท่านอาจารย์วิรัตน์ด้วยครับ
หนุ่มน้อยเป่าแตรจากวงโรงเรียนเทพวิทยาคม ฝึกตั้งแต่เด็กอย่างนี้โตขึ้นรุ่งแน่
พี่หัวโตก็มาสร้างความฮา เดินมาทักทายน้องหนูร้องไห้เกาะแม่ไม่ยอมห่าง
ชุมชนบ้านเนินขี้เหล็กของผมเองครับ วันนี้แม่บ้านตั้งใจเอาชุดผ้าทอมือของกลุ่มแม่บ้านใส่มาออกงานด้วย
เทพีนางนพมาศบ้านเนินสานครับ
บ้านเนินตาเกิดสนุกมากรำกันยกหมู่
อ้าววว...เป่ายาวเลยทิด..กำลังมัน รอบหน้าขอม้าย่องนะ......
ดูอย่างมีความสุขเหมือนได้กลับบ้านครับคุณเสวกครับ ต้องขอขอบคุณคุณเสวก ใยอินทร์มากเป็นอย่างยิ่งครับ
เห็นสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นกับการทำกิจกรรมของคนรุ่นลูกรุ่นหลานแล้ว ช่างต่างกับเมื่อก่อนมากจริงๆนะครับ เดี๋ยวนี้มีความพร้อมกระทั่งสามารถใส่ลูกเล่นได้เลยนะครับ มีชุดคาวบอยและนุ่งยีนส์ อุปกรณ์ต่างๆก็ใหม่เอี่ยมเชียว
เป็นภาพจากสถานที่จริงในปัจจุบันภาพแรกของอำเภอหนองบัวที่ลงบล๊อคหลังจากพูดเขียนคุยกันมาหลายเรื่องหลายเพลา
ขออนุโมทนาคุณเสวกที่นำภาพกิจกรรมดีๆชาวหนองบัวบ้านเรามาฝาก ทำให้คิดถึงบ้านเลยเนาะ
ได้ชมทั้งภาพวาดอาจารย์วิรัตน์และภาพถ่ายปัจจุบันให้อารมณ์คล้ายกันเลยก็คือเหมือนได้กลับบ้านและได้มีส่วนร่วมงานด้วยเลย
ขบวนแห่กระทงค่ะ..ของโรงเรียนครูอ้อยเล็กค่ะ..
โคมแขวนประเภทความคิดของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครปฐมค่ะ
เทศบาล ๑ วัดพระงาม (สามัคคีสมัครพลผดุง
เทศบาล ๔ (เชาวนปรีชาอุทิศ)
โรงเรียนกีฬาเทศบาลนครนครปฐม
เทศบาล ๕ (พระปฐมเจดีย์)
ประเภทสวยงามดอกไม้สดของโรงเรียนเทศบาล ๔ (เชาวนปรีชาอุทิศ)ได้ที่1ค่ะ
ประเภทความคิดได้ที่ 2 สรุปโรงเรียนเทศบาล ๔ (เชาวนปรีชาอุทิศ)ได้มา 2 รางวัลค่ะ
ขอหนุนมุมมองพระอาจารย์มหาแลด้วยอีกคนครับ ว่าจะชื่นชมตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณเสวกนานๆก็โผล่มาโพสต์ทีหนึ่ง แต่มาคราวนี้มีของติดมือมาฝากเวทีชาวหนองบัวนี้แบบก้าวกระโดดเลย คงไปซุ่มฝึกฝีมือมา เพราะการออกไปถ่ายรูปแล้วก็นำมาจัดไฟล์ข้อมูลกระทั่งโพสต์ขึ้นมาในอินเทอร์เน็ตนี้ เมื่อตอนที่ผมทำนั้นก็มะงุมมะงาหราอยู่เป็นนาน
คุณเสวกทำอย่างนี้ได้ เวทีคนหนองบัวนี้ก็ได้นักปฏิบัติการสื่อขึ้นมาอีกคนอย่างดีเลยละครับ การมีคนคอยเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งภาพและรายละเอียดของกิจกรรมที่ดีๆในชุมชนท้องถิ่น แล้วก็นำมาถ่ายทอดไว้ในนี้ นอกจากจะช่วยเป็นคนตัวเล็กๆขยายเสียงสิ่งดีช่วยพัฒนาสังคมของชาวบ้านแล้ว ก็เป็นการสะสมเรื่องราวที่เป็นความรู้และสิ่งที่อยู่ประสบการณ์ในวิถีชีวิต ไว้ให้ผู้คนได้ใช้ประโยชน์ต่างๆด้วยครับ
ตอนนี้ผมพอจะนึกภาพออกบ้างแล้วว่าทำไมตัวเลขในหัวข้อของชุมชนหนองบัว ทั้งของท่านพระมหาแล กลุ่มพริกเกลือ ของผม และที่เวทีที่เปิดขึ้นเฉพาะนี้ ถึงได้มีคนเข้ามาเยอะจริง ตรงหัวข้อของพระคุณเจ้านั้น เกือบจะ ๓ พัน และหัวข้ออื่นๆของคุณเสวกกับผมที่เป็นเรื่องหนองบัวและท้องถิ่นบ้านตาลินกับชุมชนโดยรอบหนองบัว ก็มีคนเข้ามาดูเป็นพันครั้ง ผมลองนึกจินตนาการดูอยู่หลายครั้งเหมือนกันว่าจะเกิดจากอะไรบ้าง
มาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว น้องผมที่เป็นครูอยู่ที่หนองบัวเช่นกัน ได้เล่าให้ฟังว่า มีเด็กนักเรียนมาถามว่ามีคนคุยเรื่องหนองบัวอยู่ในอินเทอร์เน็ต และมีคนนามสกุลที่เขารู้จักด้วยหลายคน น้องเขาเข้ามาดูแล้วก็ไปตอบนักเรียนว่ากลุ่มคนที่เขียนเป็นคนหนองบัวและผมเองก็เป็นพี่ของเธอ เป็นศิษย์เก่าหนองบัว
แสดงว่าส่วนหนึ่คงเป็นเพราะเด็กๆเข้ามาดูและเป็นหัวข้อที่จูงใจให้เขาได้มีกิจกรรมฝึกทักษะคอมพิวเตอร์กับการใช้งานที่สร้างสรรค์ คือ การลองค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับตนเองและท้องถิ่นของตน ซึ่งเหมือนกับท่านพระมหาแลกับผมได้คุยกันและมุ่งหวังว่าอยากให้เกิดขึ้นเมื่อนตั้งใจทำอย่างนี้กันในตอนต้นๆ
ผมเลยแนะนำน้องซึ่งต้องสอนหนังสือว่า หากมีโอกาสสอนเด็กและให้โครงงานหรือให้กิจกรรมเพื่อเด็กได้เรียนรู้จากการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นทำเดี่ยวหรือทำเป็นกลุ่ม หรือกลับไปทำกับพ่อแม่ ให้ลองมอบโจทย์เกี่ยวกับการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับหนองบัวแบบต่างๆ ทั้งข้อมูลความรู้ ข้อมูลภาพ ทำเนียบบุคคล เพื่อสร้างความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองให้ได้ทักษะอย่างบูรณาการดูบ้างสิ เขาก็บอกว่านึกอยากทำอยู่นานแล้วและจะลองดูไปทีละนิด
นี่ถ้าหากที่ไหนได้ลองทำให้มีประสบการณ์เกิดขึ้นสักนิดหนึ่ง เราก็จะสามารถตามไปถอดบทเรียนและทดลองพัฒนารูปแบบการร่วมมือกันอย่างเป็นเครือข่ายระดับประเทศ แต่สะท้อนสู่การทำสิ่งดีให้เกิดขึ้นในท้องถิ่นได้ผ่านบทบาทของสถานศึกษาและความเป็นปัจเจกที่มีจิตสาธารณะจำนวนหนึ่งของคุณครู
สวัสดีครับน้องคุณครูอ้อยเล็ก กัลยาณมิตรของคนหนองบัว
ขอบคุณแทนหมู่เสวนาผ่านเวทีนี้ที่นำกิจกรรมดีๆของคนนครปฐมมารายงานผ่านสื่ออย่างนี้ ให้คนหนองบัวและผู้สนใจได้มีโอกาสสัมผัสกิจกรรมประเพณีของพี่น้องในชุมชนไทยต่างถิ่น
ดูงดงามไปคนละแบบนะครับ เห็นความดีของความหลากหลาย เพราะมองไปด้านบนของชาวบ้านหนองบัวนั้น เมื่อดูแต่โดยลำพัง ผมว่าก็ดูดี๊-ดี ดีกว่าในคนรุ่นผมอย่างเทียบไม่ได้
แต่พอคุณครูอ้อยเล็กนำเอารูปกิจกรรมของพี่น้องจากท้องถิ่นในชุมชนเมืองนครปฐมมาฝากให้ชมแล้ว มองของชาวนครปฐมก็เห็นความละเมียดละไม ส่วนของชาวบ้านหนองบัวก็ดูเป็นชาวบ้านๆ โจ๊ะโละและจริงใจ
อันที่จริงที่นครปฐมนั้นก็มีเพื่อนๆชาวหนองบัวไปอยู่และทำงานที่นั่นครับ เพื่อนๆมักถามไถ่ถึงเสมอ ผมเองก็เคยคุยทางโทรศัพท์แต่ไม่เคยได้เห็นตัวเลยสักทีมากว่า ๓๐ ปีแล้ว เป็นตำรวจนายดาบ ชื่อ นายดาบตำรวจสุขสันต์ พวงสมบัติ เขาบอกเคยมาเป็นพนักงานดูความเรียบร้อยเวลามีงานสำคัญแถวพุทธมณฑลและที่อื่นๆในจังหวัดนครปฐมด้วย ตอนนี้เลยได้คนทางการศึกษาของนครปฐมคือคุณครูอ้อยมาเป็นเพื่อนของชาวหนองบัวแลกกันนะครับ
กราบสวัสดีครับท่านอาจาร์วิรัตน์ พี่น้องชาวหนองบัว และท่านผู้อ่านทุกท่านครับ
ผมเองไม่ได้มีแต่บรรยากาศการลอยกระทงมาฝากอย่างเดียวนะครับ วันนั้นผมได้เดินไปสำรวจวัดหนองบัวหนองกลับเลยเก็บภาพมาให้ชมกันอีกครับ
วิหารหลวงพ่อเดิมมาทังทีขอเชิญเข้าไปปิดทองไหว้พระด้วยกันครับ
เรือใหญ่ทีทางวัดจัดทำเป็นแหล่งสะสมความรู้มีหนังสือให้อ่านมากมาย
ไถอาสา เครื่องมือไถนาหนุ่มๆสมัยก่อนใช้ไปชวยคู่ดอง(คู่มั่น)ไถนา
งานนี้โชคดีจริงที่ยังมีเครื่องหีบอ้อยของจริงให้ชมกันเว้นแต่เจ้าแบ้ครับทีไม่มีให้ชมกัน
เรือขุด หรือรางน้ำสมัยก่อนชาวบ้านนิยมใช้ใส่น้ำไว้ให้วัวควายกินกัน
สีฝัด เครื่องคัดแยกเมล็ข้าวหลังจากการนวดข้าว
ตะเกียงมากมายจนนับไม่ถ้วน
เครื่องมือจับสัตว์น้ำจำพวากกุ้งหอยปลาปู
ชาวหนองบัวเรียกกระแหล่ง ใช้คลองสัตว์เช่นวัวควาย
ชุดเครื่องแห่นาคมีทั้งเครื่องแต่งกายและคานหาม
เครื่องหันใบยาให้เป็นเส้น
จากนั้นแวะชมสวนสัตว์วัดหนองบัว เมื่อก่อนบริเวณนี้มีแต่ต้นมะขวิดเต็มไปหมดเมื่อมีหนังกลางแปลงมาฉายต้องคอยนระวังลูกมะขวิหล่นใส่กันเลยทีเดียวครับ
ขากลับกรุงเทพเห็นสวยดีกำลังบานเลยเก็บมาฝากทั้งทุ่งถ่ายมาจากไร่ทานตะวันที่อำเภอตากฟ้าครับ ถ้าใครออกจากถนนเส้น อินทร์บุรีเข้าตากฟ้า ก่อนถึงอำเภอหนองบัวก่อจะพบกับทุ่งทานตะวันที่กำลังบ้านเต็มไปหมดในช่วงนี้ครับ นี่ก็เริ่มหนาวแล้วรักษาสุขภาพกันด้วยทุกท่านนะครับ
คุณเสวก ใยอินทร์ กลับมารอบนี้พัฒนาไปมากจริงๆ ดีใจจังเลยครับ มีเครื่องมือและวิธีการในการเป็นสื่อเรียนรู้และสร้างความรู้จากชีวิตของชุมชนที่ทำได้เองอย่างนี้ จะเป็นทุนทางสังคมและทุนมนุษย์ที่ช่วยส่งเสริมความเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ของสังคม ที่เข้มแข็งครับ
อย่างพิพิธภัณฑ์ที่ทำขึ้นในวัดหนองกลับนั้น ผมก็เคยไปดูครับ มีคุณค่ามากมายทั้งต่อชุมชนหนองบัวและต่อสังคมในวงกว้าง แต่ยังสามารถเข้าไปเสริมกำลังในการพัฒนาให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ชุมชนได้อีกหลายอย่างครับ โดยเฉพาะการช่วยกันเขียนเรื่องราวและสร้างความรู้ด้านต่างๆ ที่จะทำให้พิพิธภัณฑ์และสิ่งของนำไปสู่การเรียนรู้ทางสังคมและมิติอื่นๆอย่างลึกซึ้ง
หากขาดสิ่งนี้แล้ว ก็จะทำให้สิ่งของมากมายเพียงมีการรวบรวมมาอยู่ด้วยกันเหมือนเก็บครุภัณฑ์และสิ่งของรกๆเท่านั้นครับ คนที่มีความรู้จำเพาะเรื่องเท่านั้นจึงจะเห็นความหมาย แต่เด็กๆและคนทั่วไปคงไม่สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ให้ได้ปัญญาและแรงบันดาลใจชีวิตที่ดีๆ
ยิ่งถ้าหากไม่สามารถจัดการให้เกิดกิจกรรมต่อเนื่องด้วยแล้ว ก็จะยิ่งกลายเป็นภาระของทางวัดและผู้ดูแลรักษามากเป็นทวีคูณ เอาแค่เรื่องฝุ่นที่เกาะเกรอะกรังในแหล่งที่ร้อนแล้งอยู่เสมออย่างชุมชนหนองบัวของเรานั้นก็เล่นเอาแย่แล้วครับ
จากความเห็นของอาจารย์ที่ ๑๙๓
"นี่ถ้าหากที่ไหนได้ลองทำให้มีประสบการณ์เกิดขึ้นสักนิดหนึ่ง เราก็จะสามารถตามไปถอดบทเรียนและทดลองพัฒนารูปแบบการร่วมมือกันอย่างเป็นเครือข่ายระดับประเทศ แต่สะท้อนสู่การทำสิ่งดีให้เกิดขึ้นในท้องถิ่นได้ผ่านบทบาทของสถานศึกษาและความเป็นปัจเจกที่มีจิตสาธารณะจำนวนหนึ่งของคุณครู"
อ่านความเคลื่อนไหวบางอย่างจากน้อง ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ผ่านคุณครูน้องสาวอาจารย์วิรัตน์แล้วก็ชื่นใจไม่น้อยเลย ขอบคุณคุณครูที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียนค้นคว้าหาความรู้ในชุมชนหนองบัวอันเป็นเรื่องใกล้ ๆ ตัวของเขาเอง
อ้าว นักเรียนท่านใดสนใจเรื่องต่าง ๆ ในหนองบัวแล้วอยากให้คุณลุงวิรัตน์คุณเสวกคุณครูจุฑารัตน์หลวงลุงแลหรือท่านอื่น ๆ เล่า(เขียน)ให้อ่านบ้างก็เชิญเลยนะ หรือถ้านักเรียนมีเรื่องอะไรจะเล่าให้หลวงลุงฟังบ้างก็ยิ่งดีใหญ่เลยแหละ หลวงลุงมีความรู้เขียนได้ก็จะเขียน ไม่มีความรู้เขียนไม่ได้ก็จะเขียน(นักเรียนงงไหมเนี่ย)
หวังว่าทุกท่านที่คงยินดีให้ความรู้แก่นักเรียนอย่างแน่นอน
ต้องขอบคุณคุณครูอ้อยเล็กอย่างมากที่มีน้ำใจแบ่งบันให้ชาวหนองบัวอย่างสม่ำเสมอ ขอบคุณหลาย ๆ
ทางโรงเรียนขอให้ช่วยประชาสัมพันธ์อยู่เรื่อยๆให้ด้วย...........
ผ้าป่าการศึกษาและงาน ๔๙ ปี สู่ ๕๐ ปีของโรงเรียนหนองบัว
ม.1 รุ่นแรก(ม.1/1 - ม.1/5) โรงเรียนหนองบัว โดยเฉพาะ ม.1/1 ที่มีอาจารย์ประจำชั้นชื่อ อาจารย์เรณู จองกา ลูกสาวกำนันตำบลห้วยถั่วเหนือ /บ้านกระดานหน้าแกล ขอเชิญเข้าร่วมแสดงตัวด้วยครับ
เลยทำให้คลับคล้ายคลับคราไปด้วยว่าเพื่อนหนองบัวรุ่นผมคนหนึ่งชื่อเรณู แต่นามสกุลเดิมยังนึกไม่ออกในตอนนี้ กลับไปเป็นครูที่หนองคอก เมื่อก่อนนี้เคยได้พบปะกันอยู่ แต่กลับไปหลังๆนี้ไม่ยักเจอ ไม่รู้ว่าจะเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า เพื่อนเรณูนี่ผมจำบุคลิกชอบหัวเราะลูกเดียวได้ เป็นคนเรียบร้อยและชอบหัวเราะหัวเหอแดงไปหมดอยู่เสมอ เลยมักโดนเพื่อนๆแหย่หรือแกล้งทำเรื่องขำๆให้หัวเราะ
สวัสดีชาวหนองบัวทุกท่าน
ผม ฉิกครับ ศักดิ์ศรี พิทักษ์อำนวย ปัจจุบันอยู่ กทม.
ลูกหนองคอก รุ่น 17 ครับ ม.ศ. รุ่นเกือบสุดท้ายครับ (มีต่ออีก 2 รุ่น)
เพิ่งจะเจอบทความของ พี่วิรัตน์ คำศรีจันทร์ (ขออนุญาตเรียกพี่ละกัน)
ลองไปค้นหา ชื่อพี่ในกูเกิ้ล โอ้โห เยอะมากเลย ดีครับ
อ่านเรื่องเกี่ยวกับหนองบัวแล้ว เหมือนได้กลับไปนุ่งขาสั้น อยู่ทีบ้านเลย
ผู้คนต่างๆที่พี่เล่ามานี่ ก็รู้จักเกือบจะทุกคน ไว้ว่างๆจะมาแจมเพิ่มเติม ให้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับลูกหลานชาวหนองบัว
จะชวนเพื่อนๆที่รู้จัก เข้ามาที่นี่กัน
วันที่ 6 ธ.ค. นี้ เจอกันทุกคนนะครับ
สวัสดีครับคุณศักดิ์ศรีครับ ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่งครับ คุณฉิกรุ่น ๑๗ นี่เป็นรุ่นน้องผม ๓ รุ่นเอง ผมรุ่น ๑๔ ครับ เลยค่อยร่วมสมัยกันหน่อย เพิ่งได้เห็นคนแรกนี่แหละครับที่บอกว่ารู้จักผู้คนต่างๆที่ผมพูดถึง ดีใจครับ
พี่ชายผม (รักษ์ แซ่แต้/พิทักษ์อำนวย) ก็รุ่นเดียวกับพีวิรัตน์
รุ่นนี้ผมรู้จักอยู่หลายคน เช่น อ.สืบ อ.เสน่ห์ อ.ทูน (ทูนหรือทูลไม่แน่ใจ เพราะได้ยินแต่เค้าเรียกกัน ไม่เคยเห็นว่าสะกดอย่างไร)
3 คนนี้ จะอยู่ แถวเนินน้ำเย็น (แถวๆบ้านแป๊ะอ้อ-ขุนอ้อ)
พี่ประเวศ อ.มานิตย์ พี่โอ่ง
เจ๊เกียง-น้ำเต้าหู้ คนนี้เล่นกีฬาเก่ง
อ.สุนันท์-ขายหมู
และอีกหลายๆคน
พอเอ่ยชื่อขุนอ้อออกมา ก็เลยนึกได้ว่า จริงๆ มีบุคคลสำคัญในหนองบัวอีกเยอะมาก เช่น ผู้กองชม ครูนุช ครูลำดวน ฯลฯ
พวกกำนันก็หลายคน เช่น กำนันเทิน กำนันเทียน กำนันแหวน กำนันผล ฯลฯ (ผมรู้จักกับลูกสาวกำนัน 3 ท่านแรก โดยเฉพาะ ลูกสาวกำนัน 2 ท่านแรกนั่นซี้ปึ้กเลย)
ยังมีข้อมูลอีกเยอะนะครับที่น่าจะถูกบันทึกถ่ายทอดออกมาให้ชาวหนองบัวได้ระลึกนึกถึงท่านเหล่านี้
ไว้ผมจะช่วยพี่เพิ่มเติมข้อมูลในส่วนทีผมรู้ (แต่มันออกจะเป็นสไตล์ของผมนะ - แต่ตอนนี้ยังไม่ค่อยออกมาเท่าไหร่)
วันสองวันนี้ ผมมีความสุขมาก เหมือนได้นั่ง Time Machine ของโดราเอม่อนกลับไปหนองบัวอีกที
เมื่อคืนก็ได้ไปงานเลี้ยงที่เทคโนพระจอมเกล้า พระนครเหนือมา ได้เจอเพื่อนฝูงหลายคนที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอกัน เลยเม้าส์กันซะดึก
ช่วงนี้มีแต่งานเลี้ยงรุ่น
วันที่ 6 ธ.ค. เจอกันที่หนองคอกครับ
ยิ่งดีใจและมีความสุขจริงน้องฉิก เรียกว่าได้อารมณ์โคตรดีใจเลยนะนี่
เมื่อตอนเด็กๆตอนที่เรียนอยู่หนองบัวนั้น ครอบครัวของฉิกหรือครอบครัวรักษ์นั้น ก็เหมือนกับเป็นครอบครัวของพวกเราเพื่อนของรักษ์ไปด้วยเหมือนกัน รักษ์ พี่ของฉิกนั้น นอกจากเป็นที่รักของเพื่อนๆคนอื่นๆแล้ว เขาเป็นเพื่อนจำเพาะกลุ่มของผมเลย
เมื่อก่อนนี้ เวลาไปที่ร้านครอบครัวของฉิก ผมและเพื่อนๆก็เดินเข้าไปอย่างกับบ้านตัวเอง หากไปยังไม่เจอรักษ์ ก็เดินหยิบข้าวของช่วยเตี่ยขายให้กับคนที่เข้ามาในร้านเลย แต่พอโตๆและไม่ค่อยได้เจอกัน ก็ท้าวความกันไม่ค่อยออกแล้วครับ
พี่ชื่นชมฉิกอีกอย่างหนึ่งนะครับ ฉิกทำให้เห็นวัฒนธรรมชุมชนของเด็กต่างจังหวัด และวัฒนธรรมความเป็นญาติกันของผู้คน แบบสังคมไทยๆ ให้ได้ความประทับใจมากครับ ฉิกรู้จักพวกพี่ๆตั้งเยอะแยะเลย รวมไปจนถึงคนเก่าๆที่คนหนองบัวรู้จักและเคารพรัก โดยเฉพาะคุณครูลำดวนนั้นทั้งเป็นครูประจำชั้นของพี่และเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งของพี่และญาติพี่น้องของพี่เลย
พี่เองก็มักจะต้องใส่ใจกับเพื่อนๆของพี่และน้องๆ เพราะถือว่า เพื่อนของพี่ก็เป็นพี่เรา เพื่อนของน้องก็เป็นน้องเรา ญาติและแขกของเพื่อนก็คือของเราด้วย รวมทั้งพ่อแม่ของเพื่อนก็เคารพนับถืออย่างเป็นพ่อแม่ของเราด้วย (ยกเว้นเมื่อตอนเด็กๆชอบทะลึ่งเรียกชื่อพ่อ-ชื่อเตี่ยเพื่อนแทนชื่อของตัวเพื่อนเองแต่ละคนกัน)
ชวนเพื่อนๆที่มีความรู้ มีความคิด และมีประสบการณ์ดีๆ มาคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในนี้ได้นะครับ แล้วก็ถ้าหากใครทำลิ๊งค์ไปยังเว็บของโรงเรียนและหน่วยงานต่างๆในหนองบัวเป็น ก็ทำไปด้วยเลยก็จะดีมากอย่างยิ่งนะครับ ทั้งหนองคอก หนองบัวเทพ วัดเทพ และอื่นๆ ผมเองนั้นก็ลิ๊งค์เว็บของมหาวิทยาลัยมหิดลและคณะสังคมศาสตร์ฯมาเชื่อมต่อให้เด็กๆกับคนหนองบัว ไว้ที่เวทีของคนหนองบัวแล้วนะครับ
คุยกันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไปเรื่อยๆก่อน หากมีโอกาสพี่จะจัดเวทีพบปะหรือจัดประชุมในหมู่คนที่คิดทำสิ่งต่างๆได้และมีจิตใจที่อยากทำให้กับชุมชนหนองบัวนะครับ เมื่อสามสี่ปีก่อน มีเพื่อนๆน้องๆและหน่วยงานท้องถิ่น อยากคุยกันหลายเรื่องเพื่อทำสิ่งต่างๆดีๆด้วยกันให้หนองบัวแล้วอยากจัดเวทีกัน
โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาการศึกษา สุขภาพ และการพัฒนาพื้นที่ แล้วบางครั้งก็อยากให้พี่มา Run เวทีและเชื่อมโยงพวกเราให้ แต่พี่ลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว พวกเราเป็นคนหนองบัวก็จริง แต่เราไม่ค่อยได้เรียนรู้และไม่ค่อยมีข้อมูลเพื่อที่จะคิดให้แตกต่างไปจากสภาพเดิมกันเท่าไหร่
อีกทั้งพี่เห็นว่าโดยปรกตินั้น เราก็ใช้วิธีคิดและลงแรงทำกันเป็นกลุ่มและเป็นรุ่นศิษย์เก่ากันอยู่แล้ว เลยก็ยังไม่ชวนกันทำสิ่งใดไปมากกว่าเดิม ซึ่งนัยยะก็คือเป็นการบอกกันทางอ้อมว่าเราควรจะเตรียมตัวเองง่ายๆสักนิดหนึ่งไปก่อนดีกว่าไหม ตามแต่ใครจะถนัดและชอบไปทางไหน
อย่างการใช้การทำงานข้อมูลจากการคุยกันในนี้ไปเรื่อยๆก็ได้ อย่างน้อยก็เหมือนได้กลับบ้านและสื่อสารถึงคนที่รู้จักคุ้นเคยนะครับ
สวัสดีครับพี่วิรัตน์
สวัสดีครับฉิก
วันที่ 6 ธ.ค. เจอกันที่หนองคอกครับ
เจริญพรคุณศักดิ์ศรี พิทักษ์อำนวย
รู้สึกดีใจมากที่คนหนองบัวบ้านเราเข้ามาช่วยกันเขียนเรื่องราวบอกกล่าวเล่าขาน ร่วมเสวนาพูดคุยร่วมรำลึกถึงบ้านตัวเอง
คนหนองบัวหลายท่านที่ได้ช่วยกันเขียนเรื่องหนองบัวคงมีความสุขที่เห็นคุณศักดิ์ศรี บอกว่าได้อ่านเรื่องราวในหนองบัวแล้วมีสุขเหมือนได้กลับบ้านเรา
สำนวนแบบนี้ได้อรรถรสเป็นคนกันเองดี
เจริญพร
ฉิกนี่คุยสนุกนะครับ
# 199 .....#....200 เข้าใจว่าจะเป็นคนเดียวกันนะครับ
ที่ทำให้คิดไปเช่นนั้น เนื่องจากเข้าเค้ากับบุคลิกที่ท่านอาจารย์บอก คือว่า เป็นคนยิ้มเก่ง อารมณ์ดี....และใจดีด้วย
อาจารย์เรณู จองกา น่าจะเป็นนามสกุลดั้งเดิมของท่านนะครับ เนื่องจากผมเคยเห็นในทะเบียนบ้านของผมเอง มีลายเซ็นและรอยประทับตราประจำตำแหน่งของนายบุญสม จองกา กำนันตำบลห้วยถั่วเหนือ ซึ่งตอนนั้น(ผมอยู่ ป.5) จำได้ว่า บ้านท่านอยู่ข้างโรงเรียนบ้านกระดานหน้าแกล และสิ่งสำคัญซึ่งน่าจะยืนยันว่าอาจารย์เรณู เป็นเพื่อร่วมรุ่นของอาจารย์คือท่านใช้คำนำหน้าชื่อว่า...นางสาว ครับ
ถึงตอนนี้ ก็ยังระลึกถึงท่านอาจารย์เรณูอยู่ และด้วยความเคารพครับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า สวัสดีพี่วิรัตน์ น้องสมบัติ
ปล. ไม่รู้จะเป็นการไม่สุภาพรึเปล่า (มันควรจะเป็นหรือไม่) ที่ออกจะเป็นภาษาพูดมากไปหน่อย
อย่างไรก็ติติงกันได้นะครับ
เพื่อนๆหลายคนได้บรรจุและทำงานที่บ้านกันดีจังเลยนะครับ เมื่อก่อนนี้แถวกระดานหน้าแกลเป็นชุมชนที่คนแถวบ้านผมคุ้นเคยมากที่สุดรองจากหนองบัวและเกาะแก้ว คนแถวบ้านมักจะไปบวชที่วัดกระดานหน้าแกลพอๆกับไปที่วัดหนองกลับ เวลาเที่ยวงานประจำปีและงานทอดกฐินก็จะไปที่วัดเกาะแก้ว
ที่หนองคายมีโรงแรมอยู่ริมโขงและข้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เจ้าของหรือหุ้นส่วนนี่แหละก็เป็นศุลกากร ผมเคยไปพักและนั่งกินข้าวยามเย็นอยู่ที่นั่นครั้งหนึ่งเมื่อตอนร่วมเป็นทีมเก็บข้อมูลทำวิจัยให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แต่หลายปีมากแล้ว กว่าสิบปีแล้วมั๊ง เป็นการสำรวจศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวไทยกับกลุ่มประเทศอินโดจีน ประทับใจบรรยากาศแถวนั้นมากด้วยเหมือนกัน
...ดีใจกับพี่อาจารย์ดร.วิรัตน์ด้วยนะคะ..ชุมชนนี้เริ่มคึกคักอบอุ่น..มากขึ้นแล้วนะคะ...
สวัสดีครับน้องคุณครูอ้อยเล็ก : คึกคักและมีการพัฒนาให้สิ่งต่างๆที่ดีอยู่แล้ว เกิดความเชื่อมโยงและมีการปฏิสัมพันธ์กันในแง่ของความรู้ การสื่อสาร และการไหลเวียนข่าวสารไปถึงกันที่กว้างขวางและหลากหลายมากขึ้น
ผมเองก็ประทับใจและกำลังสนใจมากๆด้วยเหมือนกันครับ โดยเฉพาะกำลังเห็นบทบาทของการเป็นเวทีสำหรับได้พูดคุยและหารือกัน เพื่อมุ่งไปสู่การได้ทำสิ่งดีๆด้วยกันทั้งต่อท้องถิ่นและต่อสังคมวงกว้าง
ในแง่การสื่อสารและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนั้น ผมว่าเวทีนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายหวยออกซึ่งตามต่างจังหวัดมีอยู่เสียอีกครับ
ยิ่งในแง่ของการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลและการจัดการความรู้แล้วละก็กินขาดเลย
โดยเฉพาะในเรื่องที่เปิดโอกาสให้คนท้องถิ่นได้มีโอกาสคิดและหารือกันเพื่อชุมชนท้องถิ่นของตนเองแล้ว ในเวทีนี้หลายเรื่องไม่สามารถทดแทนได้ด้วยเวทีอื่นเลยทีเดียว เช่น การที่ผมได้พูดคุยและชวนกันคิดและทำสิ่งต่างๆกับคุณสมบัติ พระมหาแล คุณเสวก และคุณฉิกนั้น ในโลกภายนอกและในวิถีการทำงานก่อนหน้านี้แล้ว เป็นการยากครับที่จะได้เจอ คุย และทำสิ่งต่างๆให้เชื่อมโยงกัน
แทบทุกคนมีศักยภาพและมีบทบาททั้งต่อสังคมและต่อชุมชนบ้านเกิด โดยเฉพาะคุณสมบัตินั้น เป็นทั้งแหล่งวิทยาการทั้งของประเทศ ชุมชน และต่อประเทศเพื่อนบ้าน ยิ่งพอได้ทราบว่ากำลังทำงานอะไรและมีเครือข่ายทำกับหน่วยงานและผู้คนอย่างไรบ้างแล้ว ก็เห็นโอกาสและการทำงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอยู่ไม่ไกลกันเลย
รูปถ่ายของคุณครูอ้อยเล็กสวยและสื่อความหมายดีจัง ขอบคุณที่นำมาฝากและแบ่งปันกันครับ สบายดีและมีความสุขนะครับ เวทีนี้ต้องถือว่าคุณครูอ้อยเล็กเป็นผู้ร่วมบุกเบิกและก่อตั้งให้มีความงดงามนะครับเนี่ย
สวัสดีค่ะ อาจารย์วิรัตน์ คำศรีจันทร์ และทุกๆ ท่าน
นี่ถ้าหากอาจารย์ณัฐพัชร์แวะไปเยือนและเขียนความรู้สิ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์วัดหนองกลับบ้างก็จะยิ่งมีกำลังใจกันใหญ่เลยนะครับ
หรือไม่ก็หากทางพวกเรามีโอกาสรวมกลุ่มคนที่พอจะเป็นกลุ่มนักวิจัยและเครือข่ายชาวบ้านท้องถิ่น ที่สามารถพัฒนาตนเองให้เป็นคนร่วมกันสร้างความรู้ท้องถิ่นได้ ก็จะขอแรงอาจารย์ไปช่วยถ่ายทอดวิทยายุทธในการเก็บข้อมูลและวิธีเขียน วิธีทำสื่อนำเสนอที่จะทำให้พิพิธภัณฑ์สามารถเป็นแหล่งความรู้ได้มากยิ่งๆขึ้นโดยฝีมือชาวบ้านนะครับ หรือไม่ก็ทำในแหล่งอื่นๆของชุมชนก็ได้นะครับ
กราบสวัสดีท่านอาจารย์วิรัตน์ ครับ
ตั้งแต่ผมเองเข้ามารู้จักท่านอาจารย์ตั้งแต่วันแรกจนมาถึงวันนี้ ทำให้เข้าใจถึงคนหนองบัวมากขึ้น ก็จะอะไรเสียอีกล่ะครับ ไม่เพียง จะได้เข้ามาหาความรู้รอบตัวแล้วยังได้เห็นถึงบุคลากรของชาวหนองบัวที่เติบใหญ่ขึ้นมาแล้วได้เป็นครูบาอาจารย์ และอีกหลากหลายอาชีพเป็นที่น่ายกย่องแก่คนรุ่นหลังมากมายเลยทีเดียวครับ นอกจากนั้นยังได้มารวมตัวกันแจกจ่ายความรู้ให้กับผู้น้อยได้เดินตามแสงสว่างไปสู่โลกกว้างอีกด้วยครับ
อาจารย์ณัฐพัชร์ครับ หากวันนั้นผมเองไม่ได้ท่านแนะนำการนำรูปภาพขึ้นโพสแล้วละก็คงไม่มีรูปภาพมาฝากกันชม ต้องขอขอบพระคุณอย่างยิ่งเลยนะครับ เรื่องการถ่ายภาพที่ได้ก็ถ่ายแบบที่เรียกว่า เห็นอย่างไรก็ถ่ายอย่างนั้นไม่ได้มุ่งเน้นไปถึงมุมกล้องและเงาแสงผมเองคิดว่า อะไรก็แล้วแต่ทีทำมาโดยแบบไม่คำนึงถึงความถูกผิดเมื่อมองดูแล้วอีกมุมนึงก็จะได้รูปที่เป็นธรรมชาติที่สุดครับ
ผมเองเรื่องราวต่างต่างก็ถ่ายทอดออกมาหรือจะสือให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายนั้นมันก็เป็นเรื่องยาก เรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาบางครั้งก็ได้จากความเคยชินการเล่าต่อจากคนเก่าแก่บางครั้งก็บิดเบือนจากความจริงครับ เสียดาอย่างที่ ท่านหลวงอามหาแล ท่านได้เคยพูดไว้ เราต่างก็อยู่จากบ้านมาไกลนานๆจะได้มาเยียมบ้านบ้าง คำนี้ทำให้ผมคิดว่าถ้าเราได้ใช้ชีวิตประจำวันอยู่ที่บ้านหนองบัวผมว่าน่าจะมีเรื่องราวมาถ่ายทอดหลากหลายเรื่องราวเลยทีเดียวครับ แต่ก็ไม่เป็นไรครับผมเองก็จะพยายามเก็บเล็กผสมน้อยนำมาถ่ายทอดไว้เลื่อยๆครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์วิรัตน์ คำศรีจันทร์ และ คุณเสวก ใยอินทร์ ค่ะ
ภาพวาดโดย คุณเสวก ใยอินทร์
เครื่องหีบอ้อย จาก พิพิธภัณฑ์บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา
สวัสดีครับคุณเสวก ใยอินทร์ : ผมก็ได้รู้จักความเป็นหนองบัวเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเรื่องมากเลยครับ รวมทั้งได้เรียนรู้ไปกับคุณเสวกด้วยครับ บันทึกและการเขียนถ่ายทอด-เก็บรวบรวมเรื่องราวเล็กๆน้อยๆของคุณเสวกนั้นมีพัฒนาการไปมากเลยนะครับ ขอชื่นชมและยินดีไปกับคนหนองบัวที่มีคนมีน้ำใจทำสิ่งดีๆไว้ให้คนอื่นๆครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ณัฐพัชร์ แล้วอีกด้านหนึ่งก็เป็นการเรียนรูัจากกันและกัน ต่างเป็นครูให้กันไปด้วยเลยนะครับ
ขอประชาสัมพันธ์ให้โรงเรียนหนองคอกอีกรอบครับ จะถึงวันงานแล้ว : ผ้าป่าการศึกษาและงาน ๔๙ ปี สู่ ๕๐ ปีของโรงเรียนหนองบัว
สวัสดีครับ พี่วิรัตน์ พี่เสวก อ.ณัฐพัชร์ และทุกๆคน
เงียบหายไปซะหลายวัน จากเริ่มจะหนาวนี่ก็จะหายหนาวแล้ว แค่ 2-3 วันเอง
จำได้ตอนเด็กอยู่หนองบัว หน้าหนาวนี่ ไปเรียนตอนเช้าต้องออกมาเรียนที่สนามหญ้า เป็น outdoor-class ก็สนุกไปอีกแบบ เปลี่ยนบรรยากาศ มาผึ่งแดดยังไม่หายหนาวเลย แถวบ้านจะมีที่ดินว่างเปล่าอยู่หน้าบ้านคนละฟากถนน ก็จะมาก่อไฟผิงกันที่นี่ แถวๆนั้นจะมีบ้านครูจำลอง ทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ก็จะมีเศษขี้กบที่เกิดจากการไสไม้โดยกบไสไม้ ติดไฟดีกว่าขี้ไต้อีก แต่ไม่นานเท่า และก็มีเศษท่อนไม้รวมทั้งกิ่งไม้แห้งแถวๆนั้นเอามาก่อผิงกัน ผิวหนังแขนขาแตกหมด เมื่อก่อนโลชงโลชั่นไม่มี มีแต่น้ำมันมะกอก ก็เอามาทาแขนขากันแตก และสีผึ้งทาริมฝีปากกัน ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนอุณหภูมิเท่าไหร่ ไม่มีเครื่องมือวัด น่าจะหนาวกว่าปัจจุบันอยู่ แต่ยาวนานเป็นเดือนจนหมดหน้าหนาวเลย เสื้อกันหนาวได้ใช้จนคุ้ม
เรื่องเครื่องไม้เครื่องมือภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่พิพิธภัณฑ์วัดหนองกลับ ก็เห็นมีเยอะอยู่ กลับไปคราวนี้จะลองไปสำรวจดูอีกทีว่ามีอะไรบ้าง เครื่องหีบอ้อยก็เคยเห็น
อยากจะช่วยพี่วิรัตน์เชิญชวนลูกหลานหนองคอก มาช่วยกันตอบแทนโรงเรียนของเรา สังคมของเรา ใครติดธุระไปไม่ได้ ก็ฝากปัจจัยไปก็ได้ เรื่องครอบครัวกองผ้าป่า ก็เป็นไอเดียที่ดีครับ เดี๋ยวจะไปชวนพี่น้องตั้งกองผ้าป่าขึ้นมา นอกเหนือจากกองผ้าป่าของรุ่นแล้ว
แล้วเจอกันครับที่หนองบัว 6 ธ.ค. นี้
สวัสดีครับฉิกและทุกท่านครับ : เมื่อก่อนนี้ รุ่นพวกพี่เวลาหนาวก็จะใช้สีผึ้งทาปากกันปากแตก แล้วโลชงโลชั่นนั่นก็ยังไม่มีและไม่รู้จักกัน ก็ต้องใช้โลชั่นแบบทำเอง คือเอาเม็ดลูกดูก หรือเม็ดมะกอก ตำจนป่น หากเป็นเม็ดลูกดูก(ข้างสนามบอลหน้าโรงเรียนหนองคอกเมื่อตอนที่ยังเป็นทุ่งเลี่ยงวัวควาย จะมีอยู่ต้นหนึ่ง) ก็ตำให้ป่นใส่ใบหญ้าคา บีบๆจนน้ำมันออกแล้วก็ใช้ทาตามแขนขาและหน้า กันผิวแตก
หากเป็นเม็ดมะกอกก็ตำในกะลาแล้วก็อังไฟให้น้ำมันออก ก็จะได้น้ำมันมะกอกทางตัวได้อีกเหมือนกัน บางทีก็ใช้กากมะพร้าวที่มีกะทิและน้ำมันตกค้างอยู่ กำๆแล้วก็เอามาทาตามตัวได้อีกเหมือนกัน
ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงการประเทองผิวกันหรอก แต่กันผิวแตก เพราะมันหนาวและเนื้อตัวแตกปริจนเลือดซึมเลย มันเจ็บ
เมื่อวานนี้ได้เจอคนหนองบัวด้วยครับ คืออาจารย์พนม จันทร์ดิษฐ์และคณะคุณครูโรงเรียนบ้านหนองไผ่ อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ของเรานี่เอง อาจารย์พนมและคณะไปประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเครือข่ายครูวิจัยเพื่อจัดการเรียนการสอนส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียน ได้นั่งคุยกันหลายเรื่อง มีทีมไปด้วยอีก ๓ คนเป็นคนห้วยร่วม ครูนาฏศิลป์ลูกหลานกำนันมา รอดสการคนหนึ่ง ครูคณิตศาสตร์คนบ้านเนินสอาดคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งเป็นคุณครูวิทยาศาสตร์ เป็นคนเพชรบูรณ์ อาจารย์พนมนี้เป็นสามีคุณครูสุนันท์ จันทร์ดิษฐ์ ครูคณิตศาสตร์ โรงเรียนหนองคอก และเป็นเพื่อผมกับเพื่อรักษ์พี่ของฉิกน่ะครับ
แล้วก็เพิ่งรำลึกได้ว่าคุณครูพนมนี้เคยไปเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนว้นครู(๒๕๐๔) บ้านผมด้วย น้องผมซึ่งเป็นครูอยู่ที่หนองบัวด้วยบอกว่าอาจารย์เก่งมาตั้งนานแล้ว และตอนไปอยู่บ้านตาลินและโรงเรียนวันครู ชาวบ้านก็รัก
หนาวมาก ๆ นี่น้ำค้างจะตกโชกจนต้นข้าวนั้นเปียก
เกี่ยวข้าวเปียกน้ำค้างนี่ปวดมืออย่าบอกใครเชียว
มือไม่อยากกำข้าวเลยหนา
กว่าแดดจะร้อนจนน้ำค้างแห้งก็สามโมงเช้าโน่นเลย
เวลาเดินลุยน้ำค้างบนหัวคันนานี่เย็นไม่อยากก้าวขา เท้าก็แตกเจอน้ำค้างอีกแสบเหมือนเป็นแผล
พอบ่าย ๆ ปวดหลังมาก ๆ ก็นอนบนซังข้าวนั่นแหละเป็นการเบรคไปในตัว ไม่ใช่อะไรหรอกเพราะมันปวดจะทนไม่ไหวต้องพักบ้าง
ตอนกินข้างกลางวันนี่อร่อยจริง ๆ ไม่มีอะไรก็แกงผักบุ้ง(พริกเกลือ)ซดน้ำร้อน ๆ ชื่นใจดี อร่อยเพราะหิวที่เขาว่านั่นแหละ
เสื้อองเสื้ออุ่นผ้านวมอะไรก็ไม่มีกับเขาเสียด้วยซิ
กราบสวัสดีท่านอาจารย์วิรัตน์ และทุกท่านที่เข้ามาช่วยกันแจกจ่ายความคิดเห็นครับ
ปีที่ผ่านมาหลานสาวได้ทำนาปรังเป็นครั้งแรกในชีวิต
ด้วยไม่เคยทำมาก่อนน้ำก็มีไม่มากเท่าไร
พอข้าวโตฝนก็ไม่ตกน้ำก็เริ่มแห้งเพราะมีเจ้าอื่นสูบไปใช้ก่อนจนน้ำหมดทั้งคลองเลย
ข้าวขาดน้ำจนเกือบจะแห้งตายอยู่แล้ว นาทีสุดท้ายมีฝนตกลงมาครั้งเดียวข้าวไม่ตายรอดตัวหวุดหวิด
พี่ป้าน้าอาแซวหลาน ๆ ว่าถ้าฝนไม่ตกหนา ไม่ได้ข้าวแม้สักเม็ด นี่ดีนะที่มันยังได้ทุนคืน
ตอนนี้กรุงเทพฯหายหนาวเสียแล้วครับ อากาศเย็นอยู่ไม่กี่วันครับ แต่แถวบ้านหนองบัวตอนนี้คงจะยังหนาวกันอยู่
สวัสดีครับท่านอาจารย์วิรัตน์ พระคุณเจ้าพระมหาแล พี่ฉิกและทุก ๆ ท่านครับ
หายไปสิบกว่าวัน วันนี้กลับมา พบว่ากระทู้นี้แตกแขนง /จูมดอก / ออกหมาก /เจริญงอกงามดีจังเลยนะครับ
#212 ....=ใช่แล้วครับ น้อย/กวีศักดิ์ เรียนอยู่ห้องเดี่ยวกันตั้งแต่ ม.1/1 - ม.3/1 ได้ข่าวแว่ว ๆ ว่าเอ็นติดวิศวะ(ตอนนั้น) หัวหน้าชั้นก็เอ็นติดทันตแพทย์ มช. และเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ่แล้วคนที่อยู่ในตัวอำเภอจะพบกันบ่อย ส่วนผมนั้นอยู่ห่างจากตัวอำเภอออกไป 12 ก.ม. (ผ่านทางบ้านตาลิน) .... 16 ก.ม. (ผ่านทางห้วยด้วน/น้ำสาดกลาง) กลับบ้านทีไรก็ไม่ค่อยได้เจอเพื่อน ๆ สักเท่าไหร่
เรื่องที่อาจารย์ขุน โอภาษี เล่าให้ฟังนั้นก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ต้อนรับท่านและคณะอาจารย์จากโรงเรียนหนองคอก ประมาณ 20คน ด้วยความดีใจน่ะครับที่.....อยู่ไกลถึงสุดชายแดน ท่านยังนึกถึงและแวะมาหา ในจำนวนนั้นก็มีนักเรียนรุ่นน้องหลายคนที่เป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนเดิม ซึ่งการทำงานอยู่ที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย - ลาว ได้มีโอกาสพบปะผู้คนมากมายจากทุกมุมโลก /ได้ต้อนรับแขกที่มีความหลากหลาย การที่ครูบาอาจารย์มาหานี่ มันเป็นอะไรที่วิเศษจริง ๆ ครับ ........ สำหรับคนที่จากบ้านมาไกลแล้ว ..... จะเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ได้ดี
ตอนกลับบ้าน ผมเคยแวะไปหาอาจารย์ขุน ที่โรงเรียนวังบ่อวิทยาครับ (เมื่อก่อนเป็นโรงเรียนสาขาของหนองคอก) รู้สึกว่าอาจารย์จะบอกว่าพี่ฉิกหรือนักเรียนรุ่นพี่ของผมนี่แหละ รวมตัวและรวมเงินกันจัดซื้อคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์การศึกษาไปมอบให้โรงเรียนวังบ่อหลายสิบเครื่อง โรงเรียนแห่งนี้อยู่เชิงเขา/ชายขอบของนครสวรรค์ / ติดชายแดนเพชรบูรณ์ ผมได้ฟังแล้วยังอดปลื้มใจแทนพวกพี่ๆ ไม่ได้เลย
#214.....=โรงแรมที่ท่านอาจารย์วิรัตน์ไปพัก ชื่อโรงแรมแม่โขงรอยัลครับ เมื่อก่อน...เมื่อสัก10 ปีก่อนอยู่ในเครือฮอลิเดย์อินน์ เจ้าของผู้เป็นสามีในอดีตเป็นข้าราชการสรรพสามิตครับ ภรรยาเป็นนายกสมาคมวัฒนธรรมจังหวัดหนองคาย ส่วนลูก ๆ ก็ดูแลธุรกิจครอบครัวบ้าง เป็นนักการเมืองท้องถื่นบ้าง สถานที่ตั้งก็อยู่ในมุมที่สวยงามดีครับ
สวัสดีครับคุณสมบัติครับ
ศิษย์เก่าหนองคอกที่ไปเป็นอาจารย์คณะทันตแพทย์ฯ มช.นี่ อาจารย์หมอเกี้ยใช่ไหม เคยทราบมาจากเพื่อนว่ามีน้องจบทันตแพทย์และเป็นอาจารย์อยู่ที่ มช. งั้นต้องเป็นรุ่นหลังๆหลายรุ่นเหมือนกันนะครับ
ขอร่วมชื่นชมกับน้องๆที่มีการรวมตัวกันแล้วไปช่วยเรื่องโอกาสการพัฒนาการศึกษาและอื่นๆของชุมชนอย่างหนองบัวนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์การเรียนการสอนต่างๆไปให้ หรือแม้แต่พากันไปทำกิจกรรมกับวัด ชุมชน และชาวบ้าน อย่างที่กลุ่มพริกเกลือเคยช่วยกันทำเมื่อต้นๆปี เหมือนกับเป็นเครือข่ายพี่ช่วยน้อง เพื่อนช่วยเพื่อน ศิษย์เก่าช่วยศิษย์ปัจจุบัน
หน่วยงาน สถาบัน องค์กร ที่มีความพร้อมและเข้มแข็งกว่าในเมือง ช่วยหน่วยงานและแหล่งสร้างคน เช่นโรงเรียน หรือแหล่งดูแลสารทุกข์สุขดิบของชาวบ้านในชนบทที่ผู้คนได้รับโอกาสจากการพัฒนาน้อยกว่า อย่างนี้ก็ทำให้มีเครือข่ายการร่วมทุกข์สุขและใช้ทุนศักยภาพที่มีในสังคมเพิ่มโอกาสการพัฒนาตนเองได้ดีมากขึ้นนะครับ จนเงินจนงบประมาณและทรัพยากร แต่รวยและมั่งคั่งทางน้ำใจต่อกันนี่ ก็เป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้สุขภาวะเผื่อแผ่ไปสู่กันได้มากขึ้นครับ เลยคุยแบบช่วยรณรงค์ส่งเสริมไปด้วยเลยน่ะครับ
โรงแรมแม่โขงรอยัลนั้นคงจะใช่แล้วครับ เจ้าของเป็นอดีตข้าราชการสรรพสามิตอย่างที่คุณสมบัติว่านั่นแหละครับ
โอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาชีวิตเพื่อพึ่งตนเองได้
น้องผมเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนหนองคอก เคยออกไปเยี่ยมนักเรียนที่บ้าน ไกลออกไปจากโรงเรียน แต่เดิมก็รู้สึกว่าลูกศิษย์ยากจนและมีสภาพที่ลำบาก แต่พอไปเห็นสภาพแล้วคุณครูที่เป็นน้องผมนี้ก็เล่าให้ฟังว่า สภาพการเป็นอยู่ทั้งลำบากและน่าเวทนาเกินกว่าที่คิดเห็นภาพไว้แต่แรกมากเข้าไปอีกหลายเท่า เป็นเด็กผู้หญิงและอยู่กับแม่ที่ป่วย ดูเหมือนจะเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตด้วย บ้านเป็นเพิงสังกะสีผุพัง การกินอยู่แร้นแค้น ดูแล้วแค่ทนเรียนให้จบมัธยมชีวิตก็คงจะสาหัสทั้งเด็กและแม่ อนาคตก็ไม่ต้องพูดถึงเลย
พอคุยกันแล้วก็หารือกันว่าจะหาทางช่วยอย่างไรดี ในที่สุดก็ตกลงกันว่าจะช่วยให้เด็กได้ทำงานไปด้วยให้มีรายได้พอใช้จ่ายเพื่อตนเองและเพื่อดูแลแม่เล็กๆน้อยๆ แล้วก็ให้ได้ทักษะทั้งทักษะชีวิตและทักษะวิชาความรู้ หากเรียนต่อไม่ได้ก็จะได้ประสบการณ์ตรงให้พอมีความมั่นใจในชีวิตพอเลือกทางไปได้ดีกว่าเดิมบ้าง แต่ถ้าหากมีโอกาสเรียนต่อก็จะได้มีคุณครูและเพื่อนๆเป็นพี่เลี้ยงดูแลให้เรียนรู้เพื่อจะทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วยเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
คุณครูของเธอที่เป็นน้องผม บอกว่าเด็กเป็นคนเรียนดีและมีฝีมือทางศิลปะ มีความอดทนทำงานดี อัธยาศัยดี ผมเลยไปเดินเลือกซื้อสีและอุปกรณ์ทำงานศิลปะ เป็นชุดสีเขียนแสตมป์อย่างดีชุดใหญ่ซึ่งเป็นสีที่นักเรียนศิลปะ รวมทั้งผมเองด้วย มักใฝ่ฝันอยากได้ใช้ กับสีโปสเตอร์ พู่กัน และกระดาษ แล้วก็มอบให้น้องไปมอบให้นักเรียนคนดังกล่าวนั้น
พอเด็กได้สีและวัสดุอุปกรณ์สำหรับทำงาน อีกทั้งเพื่อนๆและครูทราบสถานการณ์ ก็มาขอให้เด็กทำงานฝีมือศิลปะให้ เช่น ทำการ์ดแสดงความยินดีในโอกาสต่างๆแก่คนที่รักนับถือ แล้วก็ให้ค่าตอบแทนคนละเล็กละน้อย
ผมเอาผลงานของเธอไปโพสต์เผยแพร่ให้ในเว็บของศิษย์เก่าเพาะช่าง เพื่อให้เธอเห็นผลงานตนเองอยู่ในนั้นและเกิดพลังใจว่าเธออยู่ไม่ไกลเลยกับคนทำงานมีอาชีพในวงการของประเทศและสถาบันศิลปะแถวหน้าของประเทศแห่งหนึ่ง
ครั้งหนึ่งพวกผมพี่ๆน้องๆในฐานะศิษย์เก่าของโรงเรียนหนองบัว ก็ขอร่วมกับโรงเรียนให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนสมทบกับศิษย์เก่าและครูอาจารย์อื่นๆ เธอก็ได้รับทุนการศึกษาด้วย
ผ่านไป ๓-๔ ปีคงจะได้ เมื่ออาทิตย์ก่อน คุณครูของนักเรียนที่เป็นน้องผม บอกว่า เด็กได้เรียนต่ออาชีวศึกษา สาขาศิลปหัตถกรรมที่นครสวรรค์ และบอกว่าเรียนได้ดี อยู่ที่หนึ่งหรืออันดับต้นๆตลอด ได้ทราบแล้วก็พอจะประมาณได้ละครับว่าไปรอดแล้ว ทั้งชีวิตของเด็ก แม่และคนรอบข้าง ซึ่งสภาพย่ำแย่กันทั้งนั้น
แถวหนองบัวคงยังมีคนขาดโอกาสกันอีกมากนะครับ แต่การช่วยดูแลกันผ่านการได้สร้างคน สร้างโอกาสการศึกษา พัฒนาการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพให้กับชุมชนเพื่อเป็นทุนชีวิตนี่ ก็เป็นการให้ที่จะก่อเกิดความงอกงามและได้พัฒนาต่อไปให้ยั่งยืนได้มากอย่างหนึ่งเช่นกันครับ การคุยเพื่อสร้างความเคลื่อนไหวทางข่าวสาร ความรู้ และการรับรู้ตนเองต่างๆอย่างนี้ ก็คงถือว่าเป็นการแบ่งปันเกื้อหนุน และให้ปัญญาความรู้เป็นทาน ที่ดีมากด้วยเหมือนกันครับ
ขออนุโมทนากับอาจารย์ คุณครูและทุกท่านที่ได้ช่วยน้องให้ได้รับโอกาสดี ๆ
ฟังตอนแรกนึกว่า ยังไม่มีใครหยิบยื่นโอกาสให้เธอเสียแล้ว
ได้ฟังแล้วก็ชื่นใจแทนน้องไปด้วยเลย
ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลายที่มีเมตตาต่อผู้ด้อยโอกาสขาดโอกาส
ให้ได้รับโอกาสในการพัฒนาการศึกษาพัฒนาตัวเองซึ่งเกือกจะหมดหนทางอยู่แล้ว
สวัสดีครับท่านอาจารย์วิรัตน์
ใช่แล้วครับ....... เพื่อนเกี้ยนั่นเอง
เรื่องที่ชวนอาจารย์ไปร่วมงานสถานทูตลาวที่กรุงเทพฯนั้น พอเอาเข้าจริง ๆ มีงานเข้าครับ ทั้งสนามบินนานาชาติอุดรธานี/สนามบินนานาชาติขอนแก่น/ร่วมงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา มหาราช ณ ศูนย์แสดงสินค้า LAO ITECC ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว .........งานรวมศิษย์เก่าโรงเรียนหนองบัว 6 ธันวาคม ตามที่นัดหมายกันไว้แต่เดิมนั้น พอถึงเวลาจริง ๆ ชักจะไม่ค่อยมั่นใจแล้วครับ สุดท้ายหากไปไม่ได้จริง ๆ จะฝากเงินไปร่วมทอดผ้าป่าโรงอาหารผ่านหลาน ๆ ที่ยังเรียนที่นั่นครับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์ มหาแลครับ
อย่างที่พระคุณเจ้าบอกว่าได้ทราบแล้วชื่นใจนี่ ต้องนับว่าสื่อและช่องทางการได้รับรู้โลกรอบข้างจากสื่ออย่างอื่นจะไม่สามารถให้ได้อย่างที่ทุกท่านกำลังได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกันในเวทีของชาวหนองบัวนี้เลยนะครับ
เรามีโอกาสนำเอาเรื่องของชาวบ้านในชุมชนเล็กๆมาคุยถึง แล้วก็เป็นการได้รู้ที่สร้างความชื่นใจ ไม่เหมือนกับข่าวสารทั่วไป ซึ่งถึงแม้จะทำให้ได้รับรู้กว้างขวาง แต่กลับมักทำให้ร้อนใจ
เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้เกิดขึ้นเพราะมีการได้ทำสิ่งดีๆกันหลายอย่างให้เป็นเหตุปัจจัยนำมาก่อน พูดอย่างนี้ก็คงได้นะครับ เป็นหลักแห่งอิทัปปัจจยตาและปฏิจจสมุปบาททางสังคมเหมือนกันนะครับ
สวัสดีครับคุณสมบัติ ฆ้อนทองครับ : เหมือนกันเลยทีเดียวครับ อยากเจอเพื่อนๆก็อยากเจอ ณ เวลานี้ยังตั้งใจอยู่ครับว่าจะแว่บไปให้ได้ อย่างน้อยก็ไปตอนเย็นแล้วก็กลับดึกๆ นั่นเลย แต่ไม่รู้จะวางมือจากงานพอให้คลายกังวลใจไปได้ไหม
สวัสดีทุกท่านเลยครับ ตกลงผมไม่ได้ไปครับคุณสมบัติและทุกท่านๆครับ จะมีใครเอารูปถ่ายกิจกรรมในวันทอดผ้าป่ามาเผื่อแผ่กันดูไหมครับเนี่ย แต่มีเพื่อนๆคุยถ่ายทอดเรื่องราวให้ทราบตลอดตั้งแต่ก่อนถึงวันงานกระทั่งอยู่ในบรรยากาศของการพบปะสังสันทน์และเสร็จสิ้นงาน
ทราบว่ามีผู้คนไปร่วมมากมาย รุ่นผมรุ่นที่ ๑๔ ก็มากันร่วม ๔๐ คน ระดมทุนจากกองผ้าป่าทั้งหมดได้กว่าล้านบาท คุณครูโสภณ สารธรรม ผู้อำนวยการ และคุณครูสืบศักดิ์ ปฏิสนธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการและเป็นผู้ประสานงานของรุ่น คงมีกำลังใจหายเหน็ดเหนื่อยทีเดียว
มองย้อนกลับไปในยุคผมนี่ คงมองล่วงหน้ามาถึงวันนี้ไม่ออกเลยครับ เพราะเมื่อก่อนนี้ ตอนอยู่โรงเรียนหนองบัว(เทพวิทยาคม) แรกๆก็ใช้ห่อข้าวใส่ใบตองไปกินที่โรงเรียน พอเริ่มมีกล่องข้าว ก็ใช้กล่องข้าว ตั้งแต่เป็นกล่องสังกะสีซึ่งชอบบุบบูบี้ และต้องใช้แบบสืบทอดกันตั้งแต่รุ่นพี่ไปจนถึงรุ่นน้องๆหลายรุ่น ผ่านไปจนจบจากหนองคอกตั้งหลายปีแล้วถึงจะเข้าสู่ยุคกล่องพลาสติก แล้วก็ต่อมาอีกตั้งหลายปีถึงได้มีถุงพลาสติก เริ่มจากถุงเย็นสำหรับใส่นมเย็นกระทั่งเป็นถุงใส่ของร้อนได้
ตอนไปอยู่หนองคอก พอถึงมื้อกลางวัน ก็เดินเอากล่องข้าวไปนั่งกินด้วยกันตามใต้ต้นไม้ กินๆไปก็โยนให้แย้ออกจากรูมากินไปด้วย
สวัสดีค่ะ อาจารย์วิรัตน์ คำศรีจันทร์
ระดมทุนได้มากกว่าล้านบาทนี่ทำให้หลายๆ ท่าน หลายๆ ฝ่ายหายเหนื่อยไปเลยนะค่ะ ชื่นใจแทนชาวหนองบัวค่ะ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ ^^
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย) [IP: 118.172.151.111]
เมื่อ พฤ. 12 พ.ย. 2552 @ 11:23
#1670147 [ ลบ ]เห็นข้าวห่อใบบัว
ทำให้นึกถึงข้าวห่อใบตองพลวง(ควง)ที่หนองบัวเลย
ห่อไปนาไปไร่ไปเลี้ยงควายไปหาหน่อไม้ในป่ากินกับเมนูแกงพริกเกลืออร่อยดี
^
^
เห็นอาจารย์พูดถึงข้าวห่อใบตอง เลยนึกถึงพระคุณเจ้าท่านได้โพสข้อความไว้ที่บันทึก “ด้วยน้ำมือ : พลังปัจเจกเพื่อสร้างสุขสาธารณะ” ว่าจะแวะมาถามหลายครั้งแล้วแต่ลืมค่ะ “ข้าวห่อใบตองพลวง(ควง)ที่หนองบัว” มีเฉพาะที่เหรอค่ะ แล้วหน้าตาเป็นอย่างไรหนอใบตองพลวง (ตวง) อ่ะค่ะ หอม อร่อยกว่าการห่อด้วยใบตองทั่วๆ ไปไหมค่ะ?
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีทุกท่านครับ เพิ่งมาถึงกทม. เมื่อคืนนี้ (20.30 7 ธ.ค.) ออกจากกทม.ประมาณเก้าโมงเช้าวันที่ 6 ธ.ค. ยกโขยงไปกันหมดเลยทั้งครอบครัวเมียและลูกสาวลูกชายอีก รวม 4 ชีวิต จะไปเยี่ยมแม่ด้วย ตอนแรกพี่สาวคนโตที่ฝั่งธนจะไปด้วย ไปเยี่ยมแม่ แต่โทรมาบอกตอนเช้าที่จะออกเดินทางว่าไม่ไปแล้ว ไว้สัปดาห์หน้าจะให้ลูกสาวเค้าขับรถไปให้ พอมีที่ว่างอยู่บ้างก็เลยโทรไปหาแดงเพื่อนกัน (ลูกสาวกำนันเทิน) พอดีเค้าก็ยังทำธุระไม่เสร็จ จะนั่งรถตู้ไปหนองบัวเอง ตัวเราตั้งใจจะไปถึงหนองบัวประมาณเที่ยงๆบ่ายๆ เพื่อไปดูสภาพโรงเรียน และอื่นๆ รวมทั้งจะได้ไปเจอเพื่อนเร็วๆ พอขับรถไปถึงดอนเมืองน้องสาวที่หนองบัวโทรเข้ามาบอกว่า แม่ไม่สบายพี่ชายกับพี่สาวพาไปหาหมอที่ นว.เมือเช้า และหมอบอกว่าอาการไม่ค่อยดี ให้อยู่ ICU ก็เลยต้องบึ่งเข้าไปดูอาการแม่ที่ รพ.ศรีสวรรค์แทน ไปถึงก็เกือบบ่ายแล้ว แม่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้สึกตัว หมอให้อ๊อกซิเจนอยู่ ใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกัน พี่สาวที่ฝั่งธนที่กะจะไปเยี่ยมแม่สัปดาห์หน้าก็เลยชวนพี่ชาย-รักษ์ ตามมาที่ รพ.ด้วย เค้ามาถึงเอาก็บ่ายแก่ๆ ก็รอจนตอนเย็นได้เจอคุณหมอ ซักถามอาการ หมอบอกว่า เป็นเพราะร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้มีคาร์บอนไดออกไซด์สะสมอยู่ในเลือดค่อนข้างสูง แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วปริมาณ Co2 ลดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว และแม่ก็เริ่มรู้สึกตัวบ้าง ถามตอบพอได้ โดยการผงกหัวหรือส่ายหัว ก็เลยสบายใจไปได้เยอะ
คือแม่เนี่ย ปอดไม่ค่อยดี เคยเป็นวัณโรคเมื่อกว่า 30ปีมาแล้ว แต่ก็รักษาจนหายไปนานแล้วเหมือนกัน แต่ก็ทำให้ปอดเสียหายไปเยอะ และช่วง2-3ปีมานี่ เริ่มไม่ค่อยมีแรง เดินจากบ้านไปตลาด ซึ่งห่างกันประมาณ 100เมตรก็ไม่ค่อยจะไหว ปกติแกจะไปจ่ายตลาดทุกเช้า ยังจำได้ตอนเด็กๆ จะรอแม่กลับจากตลาด ซึ่งแม่จะมีขนมมาให้เด็กๆได้กินก่อนมื้อเช้าอาทิเช่น ขนมครก ขนมถ้วย ขนมข้าวโปง(เดี๋ยวนี้หากินยากแล้ว) และอีกหลายๆอย่าง แต่ไม่ได้ซื้อมาเยอะนะ แค่พอให้แย่งกันกิน แต่ไม่ซ้ำกันจะเปลี่ยนไปแต่ละวัน แต่ที่ไม่ชอบให้แม่ซื้อมาคือถั่วงอก เพราะเราจะต้องมาเด็ดรากออก โอ๊ยกว่าจะเสร็จเรารู้สึกว่ามันใช้เวลานานมาก แต่แม่ก็ชอบซื้อมาจัง คงเพราะมันถูกตังค์และได้จำนวนเยอะด้วย เอามาผัดกินหรือไม่ก็เอามาทำแกงจืดกับหมูบะช่อ (คนจีนจะเรียกว่าทึง) ...รู้สึกว่าได้เล่าเรื่องสมัยเด็กๆแล้วมันมีความสุขอย่างไรก็ไม่รู้
กลับมาเรื่องอาการของแม่อีกที ช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมานี่ น้องสาวที่อยู่กับแม่ที่หนองบัวก็บอกว่า แม่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แม้แต่จะลุกไปห้องน้ำหลังบ้านก็ยังไม่ค่อยไหว เอาแต่นอนอย่างเดียว เตี่ยก็จะบ่นว่าแม่อยู่บ่อยๆ (เตี่ยอายุ 88 แม่อายุ 85) แต่เห็นน้องบอกว่าเตี่ยก็เป็นห่วงแม่มาก กังวลทำให้นอนไม่ค่อยหลับ กลายเป็นว่าอีกคนก็เอาแต่นอน อีกคนก็นอนไม่ค่อยหลับ กรรมมาตกเอาที่น้องสาวนี่แหละที่ต้องมาดูแลคนแก่ 2 คน ด้วยสาเหตุของปอดนี่แหละที่ทำให้มี Co2 ค่อยๆสะสมอยู่ในเลือดเพิ่มขึ้นๆ เลยมีอาการเซื่องซึม ไม่มีแรง นั่งหลับคอตกเหมือนสมัยเราเรียนหนังสือในห้องเลย จนแม่เกือบจะน็อคไปแล้ว ก่อนกลับเข้ากทม. เมื่อวานออกจากหนองบัวก็ได้แวะไปเยี่ยมแม่อีกที แม่ลืมตาได้แล้ว มีอาการดีขึ้นมากเลยจนคลายความกังวลใจไปได้เยอะมาก ตอนนี้นอกจากหายใจเองทางจมูกแล้ว ก็ยังต้องให้อ๊อกซิเจนต่อท่อเข้าทางปากอีกที แกก็พยายามจะพูดนะ แต่ยังพูดไม่ได้ ยังติดที่มีท่อหลอดอยู่ในปากอยู่
วันนั้นกว่าจะออกจาก รพ.เพื่อไปหนองบัวก็ทุ่มครึ่งได้ แล้วแวะส่งพี่สาวและกินข้าวเย็นที่ชุมแสงอีก ไปถึง บ้านที่นบ.ก็ 3 ทุ่มกว่าๆ อาบน้ำเสร็จเข้าไปที่งาน รร.หนองคอกก็เกือบ 4 ทุ่ม บางคนก็ทยอยกลับกันบ้างแล้ว แต่เพื่อนๆทุกคนยังรอเราอยู่ในงาน ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เป็นห่วงอาการแม่ คนมาร่วมงานเยอะมาก รุ่นผม (17) ก็เกือบ 40 คน เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปในงานมาให้คนที่ไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานได้ดู แต่ผมก็ได้กลับเข้าไปที่ รร.อีกทีตอนเช้าก่อนกลับ เพื่อไปร่วมทำบุญผ้าป่าครั้งนี้ด้วย รวมทั้งของเพื่อนบางคนที่ฝากมากับผม เนื่องจากเมื่อคืนเพื่อนได้รวบรวมและส่งให้ รร.เรียบร้อยแล้ว เมื่อคืนไปในงานไม่ได้ควักตังค์ซักบาท เห็นรุ่น14 พี่วิรัตน์ได้กว่าล้านบาทแล้ว รุ่นผมนี่เด็กๆเลย แต่ก็รวบรวมได้ 7 ล้านกว่า(กีบ) คิดเป็นเงินไทยก็ 3 หมื่นกว่าบาท แต่ไม่ว่าใคร-รุ่นอะไรจะได้เท่าไหร่ ก็ถือว่าได้มีส่วนร่วมในการตอบแทน รร.เก่าของเราที่ทำให้เราเป็นอยู่ในตอนนี้ อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้
ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นได้เข้าไป รร. ได้ไปเจออาจารย์ลี (ที่เห็นนั่งมอเตอร์ไซด์หน้าโรงอาหาร)เป็นรุ่นพี่ 1 ปี (รุ่น16) อาจารย์ลีได้พาไปดูบริวเวณอาคารเก่า ตอนผมเข้าไปเรียนม.ศ.1 นี่มีอยู่ 2 หลัง เป็นอาคารไม้ 2ชั้น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีชั้นละ2ห้องเรียน ซึ่งได้ถูกรื้อออกไปแล้ว และได้สร้างองค์พระไว้ มีบันได2-3ขั้นขึ้นไปกราบไหว้องค์พระ ซึ่งตรงกับบริเวณบันไดขึ้นอาคารเดิม ตอนเรียน ม.ศ. 1 จะได้เรียนอาคารนี้ ด้านหน้าจะเป็นเสาธง มาเข้าแถวเคารพธงชาติทุกเช้า ด้านหลังอาคารจะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่งจำไม่ได้ว่าต้นอะไร (ไม่ได้จำด้วยสมัยเรียน) ซึ่งจะบังโรงอาหารเล็กๆที่อยู่ถัดเลยออกไปอีก เป็นโถงหลังคาสังกะสีไว้กันแดดกันฝน พื้นเป็นดิน มีแม่ค้าอยู่รายเดียว ป้ารวย อาหารก็มีให้เลือกอยู่ 2 อย่างคือเลือกจะกินหรือไม่กิน สมัยนั้นพวกเราจะนิยมเอาข้าวพร้อมกับข้าวใส่ตลับอลูมิเนียมไปนั่งกินกันใต้ร่มไม้แถวชายป่า จับกลุ่มกันกิน นานๆผมจึงจะได้ใช้บริการโรงอาหารซักที ฉะนั้นผมกับโรงอาหารก็เลยไม่ค่อยได้ผูกพันกันซักเท่าไหร่ ถัดจากอาคารไม้ไปก็จะเป็นอาคารปูน 2 ชั้น ที่นี่ผมได้มาเรียนตอนม.ศ.2 อยู่ชั้นล่างห้องริมในสุด ด้านหลังจะเป็นแท้งค์น้ำทำด้วยปูนทรงกระบอกสูงเลยชั้นล่างขึ้นไป น่าจะมีซัก 6 แท้งค์ได้ หนองบัวก็อย่างที่รู้ๆ น้ำท่านี่ขาดแคลนหนักโดยเฉพาะหน้าแล้ง อ.ลีบอกว่าอาคารนี้ได้มีการต่อเติมขยายยาวออกไปอีก พอดีไม่มีเวลาพิจารณาเท่าไหร่ เลยไม่ได้ขึ้นไปสำรวจ อีกอาคารเป็นอาคารใหม่ 2 ชั้น แต่ชั้นล่างจะยกสูงเป็นที่จอดจักรยาน และใช้เป็นที่สวดมนต์ของนักเรียนตอนเย็นวันศุกร์ อาคารหลังนี้เสร็จใช้ครั้งแรกตอนผมอยู่ ม.ศ.3 พอดี สรุปผมเรียนที่นี่ 3 ปี ได้ใช้ 3 อาคารเรียนเลย ปัจจุบันมีอาคารอีกหลายอาคารก็ขยายตัวตามจำนวนนักเรียน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1,800 คน ม.1-ม.6
สำหรับโรงอาหารใหม่ ถ้าสมัยก่อนจะมีประตูเล็กซึ่งเป็นประตูหลักที่ผมใช้ประจำ ถ้ามาจากหลังอำเภอก็จะขนานไปกับถนนใหญ่เป็นทางเล็กๆ (แต่ก็กว้างพอประมาณถ้าเทียบกับจักรยานพาหนะหลักที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่) ถ้าเข้าประตูนี้เข้ามาขวามือจะเป็นบ้านพักครู และมีสระน้ำเล็กๆ น้ำใสแจ๋ว (พูดให้เห็นภาพแบบประชด) ไปคราวนี้ลืมสังเกตสระน้ำนี้ น่าจะเป็นบริเวณนี้นะที่จะใช้สร้างโรงอาหารแห่งใหม่ ส่วนโรงอาหารปัจจุบัน ก็คือโรงอาหารที่เคยใช้มาแต่เดิม และโครงเดิมก็ยังอยู่เป็นศูนย์กลาง แต่ได้ขยายออกไปทุกทิศทางทั้ง 4 ทิศ จนขยายออกไปไม่ได้แล้ว ผมได้ถ่ายรูปมาให้ดู จะเห็นหลังคามีแสงรอดออกมาเยอะแยะ ถ้าฝนตกลูกหลานเราน่าจะกินข้าวอร่อยน่าดูเลย อ.ลีได้ชี้ให้ดูภายในโรงอาหารซึ่งได้ติดตั้งทีวีไว้ให้นักเรียนได้ดูภาพอย่างเดียว ส่วนเรื่องเสียงนี่ให้ฟังเสียงพัดลมระบายอากาศเอา ก็หวังว่าโรงอาหารหลังใหม่เสร็จแล้ว นักเรียนคงจะได้มีสถานที่ทานอาหารที่ดีกว่าเดิม และก็ได้งบจากจังหวัดมาสร้างอาคารคู่กันอีก 1 หลัง
ป.ล. ไม่เคยเอารูปขึ้นที่นี่ ยังงงๆอยู่
โล่งอก คิดว่าจะเอารูปขึ้นไม่ได้ซะแล้ว
อีกอย่าง ข้อความมันค่อนข้างยาว เลยไปทำไว้ในเวิร์ดแล้วก๊อปมา ตอนเอามาไว้ที่นี่ตัวมันเล็ก ยังเสียวๆว่าผู้อาวุโสแบบเราจะมองเห็นรึปล่าว แต่พอเอาขึ้นไปแล้ว โอ้โฮตัวใหญ่กว่าคนอื่นเลย
ใบตองพลวงนี่เดี๋ยวนี้หายากแล้วนะ เมื่อก่อนที่บ้านจะมีคนเอามาขาย ซื้อเอาไว้ห่อผ้าที่มีคนเค้าเอามาให้ที่บ้านย้อม
ลักษณะก็คล้ายๆใบสักแหละ อธิบายไม่ค่อยจะถูก รอผู้รู้จริงมาอธิบายละกัน
สวัสดีครับฉิก
ที่ คห.๒๓๓ ผมได้คุยถึง : โอกาสการพัฒนาเพื่อการพึ่งตนเอง แล้วก็ยกตัวอย่างของนักเรียนของโรงเรียนหนองบัวซึ่งยากจน และทำท่าว่าจะหมดโอกาสได้เรียนหนังสือ แต่ครูและเพื่อนๆได้ช่วยให้ได้ใช้ทำงานศิลปะหารายได้พอได้ดูแลตนเอง และต่อมาได้เรียนต่อสาขาศิลปหัตถกรรม ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษา นครสวรรค์ เป็นคนเรียนเก่ง
เมื่อสักครู่ผมลองแวะไปเยือนเว็บศิษย์เก่าของโรงเรียนเพาะช่าง ซึ่งผมเป็นศิษย์เก่าของที่นั่น ดูไปดูมาก็ได้เจอผลงานของน้องเขาที่ผมเอาไปเผยแพร่ให้ในเว๊บนั้น เลยขอเอามาโพสต์ไว้ให้ดู เธอชื่อ ศรีสมร เร่งสูงเนิน ครับ คงจะเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ หรือเป็นญาติพี่น้องของใครบ้างกระมังครับ
เจริญพรคุณศักดิ์ศรี
ขอให้คุณแม่หายไว ๆ และมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรงเป็นพระในบ้านของลูกหลานอันยาวนานต่อไป
อนุโมทนาต่อผู้มีจิตศรัทธาที่ได้สละทุนทรัพย์เพื่อการศึกษาสำหรับเยาวชนหนองบัวเราด้วย
ขอบคุณคุณศักดิ์ศรีที่ได้นำข่าวสารกิจกรรมอันเป็นกุศลครั้งนี้จากหนองบัวมาให้ได้รับรู้กัน
จากความเห็นที่ ๒๓๙
ขอตอบอาจารย์ณัฐพัชร์ที่ถามเรื่องข้าวใบตองพลวง(ควง)
หน้าตาต้นพลวงน่าจะหาได้ในอินเตอร์เน็ตนะอาจารย์-คล้ายใบเหียง(แต่ใบเหียงนั้นมีขนที่ใบและเมื่อจับจะคายและคัน)
ลักษณะใบเป็นรูปไข่ กว้างประมาณ ๑๕.๒๘ ซม. ยาวประมาณ ๑๕.๔๐ ซม. ปลายใบสอบทู่
ใบตองพลวงใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง
ทางอีสานใช้ห่อข้าวเหนียว
ใช้ห่อยาสูบ
ทำห่อหมก
สานทำฝาบ้าน
มุงหลังคา
เคยทำเป็นหลังมุงเกวียนประทุน(คนรุ่นหลังไม่รู้จักแน่)
ที่คุณศักดิ์ศรีว่าคล้ายใบสัก ใช้ห่อผ้าที่นำมาย้อมก็ถูกต้อง
คนหนองบัว-หนองกลับ ใช้ทำประโยชน์เยอะ แต่ที่เห็นเด่นชัดคือใช้ห่อข้าวไปนาไปไร่
เมื่อก่อนชาวบ้านทำขนมจีกกินเอง ก็ใช้ใบตองควงปูที่ตะแกรงไว้รองเส้นขนมจีนแทนผ้าขาว
เก็บไว้ใช้ได้นาน ๆ โดยชาวบ้านจะนำใบตองควงมาตากแดดให้แห้งแล้วเก็บไว้ในครัวร้อยเป็นพวงด้วยตอก
ใช้ได้ทั้งใบสดและใบแห้ง(ใบแห้งจะกรอบหักง่าย คนห่อต้องมืออาชีพ)
ใบสดอังไฟให้อ่อนตัวจะมีกลิ่มหอมห่อข้าวสะดวกไม่ฉีกขาดง่าย(ถ้าห่อไม่เป็นก็ขาดทำให้ใช้หลายใบซ้อนกันสิ้นเปลืองอีก)
ใบบัว -ใบตองกล้วยฉีดขาดง่ายกว่าใบตองควง
ปัจจุบันหาได้ยากซะแล้ว
เห็นรูปการ์ตูนที่วาดโดยน้องศรีสมร เร่งสูงเนิน สวยมากไม่แพ้มืออาชีพเลย
ก็ขออนุโมทนากับอาจารย์วิรัตน์ที่นำมาเผยแพร่ให้ชาวหนองบัวได้เห็นผลงานของเธอ น้องศรีสมรจะมาแนะนำตัวเองบ้างก็ได้นะ ถือว่าเวทีนี้เป็นเวทีคนบ้านเรากันเอง
อาจารย์และหลายท่านที่สนับสนุนให้โอกาสหนูคงจะดีใจไม่น้อยเลยหนา
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระมหาแล ขำสุข (อาสโย) และสวัสดีคุณศักดิ์ศรี-ฉิก ค่ะ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแล อาจารย์ณัฐพัชร์ และทุกท่านครับ
สวัสดีทุก ๆ ท่านครับ
ขอบคุณพี่ฉิกครับสำหรับภาพโรงเรียนหนองบัว อีกไม่นานคิดว่า คงจะมีภาพกิจกรรมการจัดงานเข้ามาให้ได้ชมกันนะครับ
ผมเองถึงแม้จะไม่ได้ไป แต่ก็ได้ฝากให้หลานชายสำรองจ่ายไปก่อนแล้วจะส่งใบเสร็จรับเงินมาให้ภายหลัง
ที่ไปร่วมงานไม่ได้เพราะมีงานติดพันกับ สปป.ลาวหลายเรื่อง วันชาติลาว........ไปอวยพรวันชาติลาว วันพ่อแห่งชาติ....รับการอวยพรจากเจ้าหน้าที่ฝั่งลาว และไปร่วมงาน 5 ธันวา มหาราช ซึ่งสถานทูตไทยที่จัดขึ้นในเวียงจันทน์
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ไปร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 25 ที่สนามกีฬาแห่งชาติลาว มีนายกฯหลายประเทศมาร่วมงาน....คงเห็นภาพจากสื่อมวลชนกันไปบ้างแล้วนะครับ นี่เดี๋ยวอีกสักพัก มีการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษระหว่างไทย - มาเลเซียในเวียงจันทน์ กลับมาจะนำบรรยากาศสนก ๆ มาเล่าสู่กันฟังครับ
การไปต่างประเทศแต่ละครั้งดูเหมือนว่าจะต้องมีการเตรียมการหลายอย่าง แต่ที่นี่...หนองคาย ต่างประเทศที่ว่า คือนครหลวงเวียงจันทน์ ห่างจากหนองคายเพียง 20 ก.ม.เองครับ การเดินทางไป - มา จึงมีความสะดวกมากกว่าการเดินทางไปในอีกหลาย ๆ ประเทศครับ
ท่านที่ติดตามการถ่ายทอดสดทางทีวี คงทราบผลการแข่งขันฟุตบอลระหว่างไทย - มาเลเซียแล้วนะครับ
ท่านใดพลาดการชม ขอรายงานผล...(แม้จะช้าไปนิดเมื่อเทียบกับสื่อต่าง ๆ)....... ไทยแพ้มาเลเซีย 1 : 2 ครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ไทยยังมีโอกาสและพละกำลังโกยเหรียญที่รอการชิงอีกเป็นจำนวนมาก
สวัสดีครับท่านอาจารย์วิรัตน์
ก่อนมาทำงานที่ชายแดนลาว (ไม่เคยมาภาคอีสานมาก่อน) ผมไม่เคยเปิดพจนากุกรมดูมาก่อนเลยว่า นิยามศัพท์ของคำว่า....ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ....มีความหมายว่าอย่างไร.....พิธีการทูต.....เป็นอย่างไร เมื่อมาทำงานได้ระยะหนึ่ง ก็ได้รับหนังสือจากสถานทูตไทยในเวียงจันทน์ให้ไปรับใบประกาศเกียรติคุณ..... บุคคลที่มีผลงานดีเด่น สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ราชอาณาจักรไทย - สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว).... ตอนนั้นยังงง ๆ อยู่ว่าไม่ได้เสนอผลงานอะไรไป หรือได้รับการบอกกล่าวจากสถานทูตมาก่อน เหตุใดจึงได้รับการพิจารณา...แต่ลึก ๆ ก็แอบดีใจครับ
ผมได้รับการบอกกล่าวภายหลังว่า คณะกรรมการฯ ที่สถานทูตแต่งตั้งขึ้นได้มีมติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ทุกประการ
เมื่อนำเหตุการณ์ปัจจุบัน คือการตอบโต้กันระหว่างไทย-กัมพูชา ที่อาจารย์พูดถึงมาพิจารณา ผมเห็นรัฐประศาสโนบายด้านการต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพฯ ที่มีต่อประเทศ สปป.ลาวนั้น สามารถนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้เป็นอย่างดีครับ ไม่ว่าจะเป็นระดับรัฐบาลส่วนกลาง ระดับกระทรวง ระดับจังหวัด ระดับท้องถิ่น หรือแม้แต่ข้าราชการหรือประชาชนตามแนวชายแดนทั่วไป ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้างครับ และไม่ต้องหวังผล เมื่อทำความดี ผลดีจะออกมาเองโดยธรรมชาติ
การทำลายสิ่งที่ร่วมสร้างกันมานั้นง่ายครับ แต่การสร้างสรร/สร้างความสัมพันธ์/สร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันนั้น ไม่ง่ายเลยครับ นอกจากจะไม่ง่ายแล้ว....ยากยิ่งนักและต้องใช้เวลานานมากครับ
สวัสดีครับคุณสมบัติครับ
มาสวัสดีปีใหม่ค่ะ..
เจริญพรคุณครูอ้อยเล็กกัลยาณมิตรชาวหนองบัว
อนุโมทนาขอบคุณแทนชาวหนองบัวด้วยที่คุณครูอ้อยเล็กอวยพรปีใหม่แก่ชาวหนองบัว
ขอให้คุณครูอ้อยเล็กมีความสุขสวัสดีในปีใหม่ ๒๕๕๓ และตลอดไป
อนุโมทนา สาธุ
เจริญพรอาจารย์ ดร.จรูญ(atozorama)
อนุโมทนาขอบคุณที่อาจารย์ให้เกียรติมาเยี่ยมเยียนชาวหนองบัว
ร่วมขอบคุณกับท่านพระอาจารย์มหาแล ขอบคุณการสวัสดีปีใหม่แก่ชาวหนองบัวของคุณครูอ้อยเล็ก และขอขอบคุณท่าน ดร.จรูญ ด้วยครับที่แวะเข้ามาทักทายเวทีนี้พร้อมกับให้ข้อสังเกตหนุนเสริมกำลังใจแก่คนหนองบัวและผู้ที่เข้ามาคุยกันในเวทีบล๊อกนี้ อาจารย์แวะเวียนมาแบ่งปันเรื่องราวต่างๆกับคนหนองบัวและเวทีนี้บ้างนะครับ คนหนองบัวและผู้ที่เข้ามาอ่านคงจะได้สิ่งๆดีๆกลับไปใช้ในชีวิตและการทำงานด้วยมากมายครับ
พรใดที่ประเสริฐ
ขอจงเป็นของพี่น้องชาวหนองบัวและชาวบล๊อกนี้ทุกท่าน....และขอให้มีสุขภาพดีตลอดปี 2553 ครับ
ขอร่วมบรรยากาศความสุขในเทศกาลปีใหม่กับทุกท่านด้วยครับ
ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก และสิ่งอันเป็นที่เคารพนับถือของชาวหนองบัว หลวงพ่อเดิม หลวงพ่ออ๋อย เจ้าพ่อเจ้าแม่ฤาษีณารายน์ รวมทั้งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยกายวาจาใจทั้งหลาย จงร่วมอำนวยพรและเป็นพลวัตรปัจจัย ให้ชาวหนองบัวและทุกท่านในบล๊อกนี้ มีความสุข มีกำลังกาย กำลังใจ สุขภาพดี ดำเนินชีวิตและทำการงานให้ได้ทั้งความสำเร็จ ได้ความงอกงาม ได้ความสบายกายสบายใจ เบิกบานแจ่มใส ตลอดปีใหม่ ๒๕๕๓ ที่กำลังจะมาถึงนี้ เทอญฯ
วันนี้ลองกลับมาอ่านเวทีคนหนองบัวแล้วรู้สึกดีใจภูมิใจอย่างมากจริง ๆ คนอื่นจะเคยเป็นเหมือนอาตมาบ้างหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาเอ่ยถึงพูดถึงหนองบัวกับใครทีไรคู่สนทนามักจะถามกลับมาว่าหนองบัวไหน หนองบัวลำภูหรือหนองบัวระเหวหรือหนองบัวแดงหรืออะไรประมาณนี้แหละ เราก็คนบ้านนอกชื่อที่เขารู้จักและพูดถึงนั้นเรากลับไม่รู้จักเลย แต่เมื่อได้อ่านหนังสือศึกษาชื่อบ้านนามเมืองต่าง ๆ จึงได้รู้ว่าชื่อเหล่าอยู่ที่ไหนบ้าง
วันนี้ชุมชนอำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์คงเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่ในฐานะคนหนองบัวคนหนึ่งรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นบ้านเรา ทั้งหลายทั้งปวงนี้ต้องขอขอบคุณอาจารย์วิรัตน์ที่ทุ่มเทจิตใจเสียสละเพื่อคนหนองบัวผู้เป็นปฐมชนคนต้นเรื่องที่นำชุมชนหนองบัวออกเผยแพร่สู่สาธารณชน
ขอบคุณคนหนองบัวที่ได้เสียสละเวลาร่วมกันสร้างสรรค์และแบ่งปันความรู้อันเป็นประโยชน์ต่อชุมชนหนองบัวบ้านเรา
โยมอาจารย์ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ คุณเสวก ใยอินทร์ และกลุ่มพริกเกลือ คุณครูอนุกูล วิมูลศักดิ์ คุณพีรณัฐ คุณภูเขา คุณครูจุฑารัตน์ อาจารย์สมบัติ ฆ้อนทอง คุณศักดิ์ศรี-ฉิก คุณครูวิกานดา คุณไพฑูรย์ ศรสุรินทร์ คุณโชคชัย มากน้อย คุณจรัญ คุณเจนณรงค์ เหว่าโต คุณn.b.clup คุณแป๊ะ แก็ส คุณอ้อย นุชเฉย
ขอบคุณกัลยาณมิตรที่แบ่งปันความรู้ให้กับคนหนองบัว
คุณครูอ้อยเล็ก(คุณครูวัชรี โชติรัตน์) คุณจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร อาจารย์ดร.ขจิต ฝอยทอง อาจารย์ณัฐพัชร์ ทองคำ คุณเริงวิชญ์ นิลโคตร คุณครูkrutoiting คุณแอน
อ.หนึ่ง คุณหนานเกียรติ คุณrinda คุณณัฐรดา คุณคนไม่มีราก อาจารย์ ดร.จรูญ(atozorama) อาจารย์กู้เกียรติ คุณnana งาน พสว.ศอ.8
คุณสุ-มหาวิทยาลัยชีวิต ที่ไม่มีวันปิดทำการ คุณครูคิม คุณหมอkmsabai อาจารย์โต คุณครูอ้อย แซ่เฮ คุณกวิน อาจารย์ชยพร แอคะรัจน์ คุณครูธนิตย์ สุวรรณเจริญ คุณนครพังคา คุณโก๊ะจิจัง แซ่เฮ~natadee ที่สุดในแก๊ง ที่ปรึกษาเวทีคนหนองบัวทุกท่านและพี่น้องชาวหนองบัวทุกท่านที่ไม่ได้ออกนามตลอดทั้งท่านที่แบ่งปันความรู้ท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย(เวทีคนหนองบัวนี้ดูจำนวนผู้อ่านแล้วมากมายล้นหลามถ้าเป็นรายการทีวีต้องถือว่าเรตติ้งกระฉูด)
ใกล้จะถึงปีใหม่แล้วก็เลยขอถือโอกาสสวัสดีปีใหม่ พ.ศ.๒๕๕๓ กับทุกท่านขอคุณพระศรีรัตนตรัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หลวงพ่อเดิมหลวงพ่ออ๋อย เจ้าพ่อเจ้าแม่ฤาษีณารายน์ จงอภิบาลปกปักรักษาคุ้มครองให้ชาวหนองบัวและทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมตลอดกาลนานเทอญ.
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแล คนหนองบัว และเครือข่ายกัลยาณมิตรทุกท่านครับ
เป็นเอกลักษณ์และหนึ่งเดียวของประเทศ
ที่สุดของประเทศ
มองเห็นและสัมผัสได้อย่างไร้พรมแดน
หลายอย่างเป็นต้นเรื่อง
วิถีเรียนรู้แบบปฏิบัติธรรม
คุณครูจุฑารัตน์ คนพยุหะคีรี จาก สพท กำแพงเพชร และกัลยาณมิตรของคนหนองบัว และเพื่อร่วมทีม ไปดูงานนิทรรศการรูปเขียน และนั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานกัน ที่หน้ามหาวิทยาลัยมหิดล อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ซึ่งต้องถือว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการนำเอาข้อมูลจากเวทีคนหนองบัว ไปจัดกิจกรรมต่อไปอีก จึงทำให้ได้เจอคนเก่งๆที่ทำงานเพื่อเด็กๆและเป็นคนท้องถิ่นนครสวรรค์ (ต้องขออภัยที่แต่เดิมผมเข้าใจว่าเป็นคนหนองบัว แต่เป็นเพื่อนน้องผมและเป็นคนพยุหะคีรี แต่ก็ถือว่าใช่คนอื่นคนไกลครับ)
จัดการความรู้สู่ความสร้างสรรค์ต่อเนื่องที่เกิดผลดีทั้งต่อท้องถิ่นและต่อสังคม
สร้างชุมชนและเครือข่ายคนหนองบัวอีกมิติหนึ่งให้เข้มแข็งขึ้น
เพียงที่กล่าวถึงเหล่านี้ ก็ต้องถือว่าเวทีนี้ได้ทำสิ่งสร้างสรรค์มากพอดูหลายเรื่องทีเดียวครับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระมหาแล ขำสุข (อาสโย) และสวัสดีค่ะ อาจารย์วิรัตน์ คำศรีจันทร์, ชาวหนองบัว และกัลยาณมิตรของชาวหนองบัวค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์ณัฐพัชร์ครับ
สวัสดีปีใหม่ คิดสิ่งดีใดๆ ขอให้สมปรารถนาทุกประการ
เจริญพรอาจารย์ณัฐพัชร์
อาจารย์มีของมาฝากด้วยคล้ายเป็นปฏิทินชุมชนหนองบัวเหมือเคยได้ยินอาจารย์วิรัตน์บอกอยากจะทำปฏิทินภาพหนองบัวสิบสองเดือนชนิดมีรายละเอียดเรื่องราวในชุมชนประกอบภาพต่าง ๆ
พูดให้ดูเท่ ๆ หน่อยก็ได้ว่าปฏิทินชุมชนหนองบัวที่ยังไม่ได้ทำชุดนี้เป็นของคนหนองบัวเพื่อคนหนองบัวโดยคนหนองบัว(พูดเหมือนขายไอเดียตอนเลือกตั้งยังงัยไม่รู้)
ขออนุโมทนาขอบคุณอาจารย์ณัฐพัชร์ที่มาช่วยให้ความรู้อย่างสม่ำเสมอแก่ชาวหนองบัวพร้อมมีข้อสังเกตอีกทั้งได้ให้แง่คิดแก่น้อง ๆ เยาวชนลูกหลานคนหนองบัวที่เข้ามาอ่านบล๊อกนี้ด้วย คิดว่าหลายท่านได้กำลังใจจากอาจารย์ณัฐพัชร์กัลยาณมิตรผู้มีน้ำใจ
สวัสดีครับฉิก
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาและครับ
--------------
ใกล้วันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2553 แล้วค่ะ
น้องขออวยพรให้พี่และครอบครัวมีความสุขมากๆนะคะ
สวัสดีค่ะ...อ.วิรัตน์คะ เห็นหัวข้อเวทีเรียนรู้สร้างสุขภาวะคนหนองบัว
ในฐานะที่อยู่นครสวรรค์ก็ต้องให้ความสนใจ และยินดีกับคนหนองบัว ที่ได้รับโอกาสดี ๆ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า สวัสดีพี่วิรัตน์ และทุกๆคน
สวัสดีครับน้องคุณครูจุฑารัตน์ :
สวัสดีครับ คุณ nana คนนครสวรรค์ครับ
พูดถึงยังไม่ทันข้ามวันเลยนะเนี่ยปฏิทินชุมชนหนองบัวก็ได้แบบจอผ่าโลกโผล่พลวดพลาดมาให้เห็นอย่างทันใจ สวยดี ขอบคุณคุณศักดิ์ศรี-ฉิก (ที่จัดให้)ถวายพระถวายเจ้าได้อย่างน่าอนุโมทนาขอบคุณหลาย ถ้าแพงมากสงสัยจะต้องดูต้นฉบับในคอมฯนี่แหละประหยัดดีด้วย
ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง : ปรากฎการณ์ความงามของสุขภาวะกลุ่มก้อนแห่งชุมชนคนหนองบัว
นมัสการ พระอาจารย์มหาแล อาสโย และเรียน อ.ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ครับ
เวทีการสานปัญญาผ่านพื้นที่ออนไลน์อย่างที่อาจารย์ได้พยายามสร้างความรู้ใหม่ๆนี้ เป็นพลังความรู้ที่ค่อยๆถอด ความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลออกมาเเบบเป็นธรรมชาติและสุนทรียะ
ถือว่าเป็นต้นแบบที่ดีมากครับ สำหรับการเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยมี จุดรวมศรัทธาของคน กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
สิ่งที่เราศรัทธาจะยึดโยงคนเข้าหากัน สร้างสุข สร้างปัญญาร่วมกัน เช่นเดียวกับ "ลานปัญญาของคนหนองบัว" ที่นี่ครับ
ให้กำลังใจทุกท่านครับหากมีการเฉลิมฉลอง (งานปอย) ไม่ว่าเมื่อไหร่ ขอร่วมด้วยช่วยกัน ด้วยคนครับ
ท่านพระมหาแลท่านให้กำลังใจและร่วมอนุโมทนาคุณฉิกอย่างนี้ ได้ทั้งความรู้สึกดีงามและความเป็นมงคล จากสิ่งที่สร้างสรรค์ด้วยฝีมือ ความรู้ความชำนาญทางคอมพิวเตอร์กราฟิค และความมีน้ำใจเลยนะครับ ต้องโชคดี มีความสุข เติบโตงอกงามมากยิ่งๆขึ้น ทั้งตัวเองและลูกหลาน สถานเดียวครับ
ข้อสังเกตและการร่วมสะท้อนทรรศนะของคุณช้างน้อยมอมแมม น่าสนใจมากครับ
รวมทั้งข้อเสนอแนะต่อการลองจัดเวทีรวมพลคนหนองบัวในท้องถิ่นขึ้น ล้วนจะเป็นวิธีทำให้เกิดการยกระดับและพัฒนาเวทีของคนหนองบัวให้ดีขึ้นเรื่อยๆนะครับ
ผมเลยขอต่อยอดแนวคิดเปิดบันทึกอีกหัวข้อหนึ่งเพื่อเป็นหมายเหตุข้อเสนอแนะดีๆของคุณช้างน้อยมอมแมมนี้ไว้นะครับ เป็นเวทีรองรับการถอดบทเรียน หรือเป็นเวทีพัฒนาแนวคิดและความรู้เชิงวิชาการแบบชาวบ้านขึ้นมาอีกเวที รวมทั้งจะเป็นเวทีวิชาการของนักวิชาการแนวนี้ที่ใช้เวทีคนหนองบัวเป็นแหล่งเปิดประเด็นพัฒนาเชิงวิชาการให้เชื่อมต่อกับคนในชุมชนท้องถิ่น อีกแหล่งหนึ่งนะครับ
เดิมชื่อ เวทีถอดบทเรียนและสังเคราะห์ความรู้'เวทีคนหนองบัว' แต่ตอนนี้จะใช้ชื่อว่า ลานปัญญาของคนหนองบัว ครับ ขอนำเอาการเรียกของคุณจตุพรมาตั้งให้เป็นที่รำลึกถึงกันของคนหนองบัวกับคนเมืองปายและมือบล๊อกเกอร์ของ GotoKnow ในฐานะที่เป็นเคือข่ายวิชาการและร่วมสานความคิดกับคนหนองบัวครับ
เลยจะขอใช้ชื่อ ลานปัญญาของคนหนองบัว ที่คุณจตุพรให้นิยามและความหมาย มาเป็นชื่อเวทีสำหรับเอาไว้ถอดบทเรียนและสังเคราะห์ความรู้จากประบการณ์ต่างๆของคนหนองบัวในครั้งนี้นะครับ ถือว่าเป็นที่ระลึกถึงความปรารถนาดีและความเป็นนักวิชาการที่ส่งเสริมการพัฒนาคนและชุมชนนะครับ
ขอบคุณคุณช้างน้อมมอมแมมที่แวะมาเติมกำลังใจแก่เวทีนี้พร้อมทั้งให้มุมมองที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์
และรู้สึกดีใจยิ่งขึ้นที่คุณช้างน้อยมอมแมมกล่าวว่าเวทีนี้มีส่วนช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะกลับไปทำงานชุมชนโรงเรียนที่บ้านเกิดของตนอันนี้น่าอนุโมทนาจริง ๆ และก็หวังว่าคงจะได้เห็นคนมีคุณภาพได้ทำสิ่งสร้างสรรค์ในเร็ววัน
คุณจตุพรเข้ามาเยี่ยมสังเกตการณ์เวทีนี้และเรียกขานเวทีคนหนองบัวเหมือนการสร้างความรู้เพิ่มพูนปัญญาในชุมชนก็เลยให้ชื่อว่าลานปัญญาของคนหนองบัวเห็นชื่อนี้แต่เมื่อวานนี้ก็นึกชอบฟังดูดีให้ความรู้สึกทางสร้างสรรค์ เลยก็สอดคล้องกับเวทีคนหนองบัวน้องใหม่(นบ.-๒)พอดี เหมาะสมแล้วที่อาจารย์วิรัตน์นำชื่อนี้ไปใช้ในเวทีแห่งใหม่ต้องขอขอบคุณคุณจตุพรด้วยที่มีส่วนช่วยทำให้เกิดสิ่งดี ๆ อย่าลืมแวะมาแบ่งปันความรู้เสริมพลังปัญญาแก่คนหนองบัวและในเวทีใหม่ด้วยนะ ขออนุโมทนา
คุณช้างน้อยมอมแมมนี่ผมผมรู้จักครับ และผมเคยไปบ้านของญาติพี่น้องของเขาบนทางผ่านเมื่อเวลาออกสนามไปทำงานวิจัย ผู้คนและญาติพี่น้อง รวมทั้งถิ่นฐานบ้านเกิดในชนบทของคุณช้างน้อยมอมแมมนั้น เป็นทุนมนุษย์และทุนทางปัญญาหลายด้านของสังคมมากมายครับ รวมทั้งความเป็นนักวิชาการและภาวะผู้นำของคุณช้างน้อยมอมแมมเอง ก็รู้สึกได้ครับว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างกว้างขวาง เรียกว่ามีปัญญาบารมีและความดีงามอันเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านและญาติพี่น้อง รวมไปจนถึงผู้หลักผู้ใหญ่ เกินความเป็นคนหนุ่มคนสาวธรรมดาๆครับ หากกลับไปทำสิ่งต่างๆในชนบทที่บ้านเกิดด้วยฉันทะ อย่างที่กล่าวนี้ แน่ใจได้ว่าจะก่อเกิดสิ่งดีๆมากมายจากพลังความร่วมไม้ร่วมมือของชาวบ้านที่นำไปสู่การสร้างสุขภาวะสังคมที่อาศัยทุนมนุษย์และทุนศักยภาพชุมชนเป็นหลัก ได้อย่างดีแน่นอนครับ ร่วมขอให้กำลังใจและแรงหนุนครับ ถือเวทีคนหนองบัวเป็นเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปด้วยกันนะครับ เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องสร้างสรรค์และดีงามครับ
คุณเอก จตุพร ที่ให้ชื่อว่า ลานปัญญาของคนหนองบัวนั้น ช่างบังเอิญเหลือเกินว่าไม่เพียงมีความหมายที่สะท้อนลักษณะของเวทีอย่างเดียว ทว่า ทำให้ต้องนึกถึงความเป็นวัดหนองกลับ และโรงเรียนอนุบาลหนองบัวหรือชื่อเดิมโรงเรียนหนองบัว(เทพวิทยาคม) ที่ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ หลวงพ่ออ๋อย ผู้นำทางจิตใจและผู้นำทางสังคมของท้องถิ่นที่ร่วมสมัยกัน ได้สร้างขึ้นบนพื้นที่ติดกันกับลานวัด เลยทีเดียว ลานวัดหนองกลับบนผืนดินที่เชื่อมโยงกับสนามโรงเรียนแต่เดิมนั้น เป็นพื้นที่ใช้สอยเอนกประสงค์ ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่บนลานกว้างนั้น ก็จะเป็นกิจกรรมวัฒนธรรมทางปัญญาและกิจกรรมทางศาสนา ทั้งของวัด โรงเรียน และชุมชน พอเรียกว่า ลานปัญญาของคนหนองบัว นี่ นอกจากสื่อความหมายแล้ว จึงให้ความรู้สึกราวกับว่าใช่เลยในความเป็นชื่อที่สะท้อนวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิมของคนหนองบัว ผมเลยให้สีสัน ชมพูฟ้า สีประจำของโรงเรียนอนุบาลหนองบัว(เทพวิทยาคม) ซึ่งทั้งเป็นหน่วยทางปัญญาและความรู้ของชุมชน อีกทั้งก่อเกิดขึ้นมาบนลานวัด ศูนย์กลางจิตใจของชุมชนหนองบัวนับแต่อดีตอีกด้วย
พอเข้ามาอยู่ในโลกไซเบอร์แล้วใช้ชื่อว่า ลานปัญญาของคนหนองบัว จึงนอกจากได้ชื่อเวทีที่สอดคล้องกับลักษณะกิจกรรมแล้ว ก็เลยสื่อถึงความเป็นมาที่สืบนื่องกับชุมชนด้วยเลยทีเดียวนะครับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระมหาแล สวัสดีพี่วิรัตน์ และเพื่อนพ้องน้องพี่ ทุกๆคน
ลืมไปครับว่าจะถวายปฏิทินให้พระคุณเจ้า พระมหาแลอีก อันนี้ทำเสร็จไว้พร้อมกับคราวที่แล้ว ยังไม่ได้ทำเดือนที่เหลือเลย
เจริญพรคุณศศักดิ์ศรี-ฉิก
ขอให้คุณแม่หายป่วยไว ๆ มีสุขภาพแข็งแรง
อนุโมทนาที่มีน้ำใจจะถวายปฏิทิน
คุณแม่ไม่สบายแต่ก็ยังมีน้ำใจแบ่งปันเรื่องราว
สุขศาลาหมอหนิมคือสถานพยาบาลเบื้องต้นระดับชุมชน(ปัจจุบันสถานีอนามัยตำบล)
แต่บ้านเราเทียบเท่าโรงพยาบาลอำเภอเลยนะเพราะบริการทั้งอำเภอ
อันที่จริงต้องขอบคุณโรงพยาบาลคริสเตียนคุณหมอและมิชชนารีที่มาให้บริการด้านสุขภาพก่อนรพ.รัฐจะมาถึงหนองบัว
กรานมัสการพระอาจารย์มหาแล และสวัสดีครับฉิก
ขอร่วมกับท่านพระอาจารย์มหาแล ขำสุข(อาสโย) | คุณเสวก ใยอินทร์ |คุณสมบัติ ฆ้อนทอง | คุณฉิก | คุณครูอนุกูล วิมูลศักดิ์ |