หลงนิมิต


เหตุที่ทำให้เกิดนิมิตในสมาธิ

เมื่อทำสมาธิจนจิตสงบ เรามักถูกหลอกด้วยนิมิตได้ง่ายๆ อยากบันทึกถึงการถูกหลอกไว้หน่อยค่ะ

นิมิตที่ทำให้คนหลง เรียก วิปัสสนูปกิเลสขอนำข้อเขียนของหลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มาบันทึกไว้

picture

การทำสมาธิ เมื่อจิตลงสู่ความสงบแล้ว ย่อมมีมารเข้ามาแทรกซ้อนได้ง่าย และทำให้จิตเกิดความเห็นผิด ในกลลวงของกิเลสตัณหาส่วนมาก มารจะแฝงเข้ามาในรูปนิมิตที่เกิดจากสมาธิ และทำให้จิตมีความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของจริงเพราะกิเลสอยู่ที่จิต จึงหลอกจิตได้ง่าย เช่น จิตมีความสงบแล้ว ก็จะเกิดแสงสว่างในลักษณะต่างๆ จะเข้าใจเองว่าแสงสว่างนี้เป็นปัญญาบ้าง เป็นวิปัสสนาญาณบ้าง เป็นนิโรธสมาบัติบ้าง บางครั้งมีแสงสว่าง มีทั้งรูปนิมิต เป็นไปในลักษณะต่างๆ เช่น เห็นเด็กเกิดใหม่บ้าง เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ และเห็นเป็นคนตายนอนอยู่ข้างหน้าบ้าง หรือเห็นท้องฟ้าที่สว่าง หรือเห็นก้อนเมฆ เห็นดวงดาว เห็นแม่น้ำ เห็นฟองน้ำ หรือเห็นเป็นนานาชนิด หรือพระพุทธรูป เห็นดวงแก้ว

การเห็นอย่างนี้จะตีความหมายไปว่าเป็นวิปัสสนาญาณไม่ได้ จะตีความหมายว่ามีความรอบรู้ในสรรพสังขารก็ไม่ถูก จะเข้าใจว่าตนรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมก็ไม่ได้ นี้เป็นเพียงนิมิตที่เกิดขึ้นจากสมาธิเท่านั้น ถ้าผู้มีปัญญาเป็นพื้นฐานมาแล้ว นิมิตนี้จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาด้วยเป็นอย่างดี หรือถ้าผู้มีปัญญาเฉียบแหลมฝังอยู่ที่จิตแล้ว นิมิตต่างๆจะไม่เกิดขึ้น เพราะนิมิตต่างๆนั้นยังตกอยู่ในสังขาร เป็นของไม่เที่ยงด้วยกันทั้งหมด

จิตที่มีปัญญาเป็นพื้นฐานมาแล้ว จะให้กิเลสสังขารมาหลอกลวงจิตได้ยาก เพราะปัญญาเป็นสิ่งที่รู้รอบ รอบรู้ในสรรพสังขารตามความเป็นจริงอยู่แล้ว นิมิตนั้นเหมือนนักต้มตุ๋นหลอกลวงอันดับโลก แต่ก็จะต้มตุ๋นหลอกลวงได้เฉพาะบุคคลที่หัวอ่อนเท่านั้น จะไปหลอกลวงต้มตุ๋นบุคคลที่มีความฉลาดนั้นไม่สำเร็จเลย เขาจะต้มตุ๋นหลอกลวงกับใคร เขาต้องเข้าใจในความต้องการของคนคนนั้น

picture

ถ้าผู้ต้องการเงิน เขาก็เอาเรื่องของเงินนั่นแหละมาเป็นเครื่องหลอกลวง เอาเงินมาออกกลอุบายให้คนนั้นตายใจ จึงหลอกลวงเอาเงินคนได้ ถ้าผู้ต้องการความสวยงาม เขาก็เอาเครื่องสำอางนั่นแหละมาเป็นสิ่งหลอกลวงเพื่อให้ตายใจฉันใด กิเลสสังขารหลอกลวงจิต กิเลสสังขารก็เอาสิ่งที่จิตมีความต้องการนั่นแหละมาหลอกลวงจิต จิตมีความต้องการในสิ่งใด กิเลสสังขารก็เอาสิ่งนั้นมาหลอกลวงจิต เพราะกิเลสสังขารอยู่ที่จิต จึงหลอกจิตได้ง่าย ถ้าจิตหยาบ กิเลสสังขารก็เอาสิ่งหยาบๆมาลวงให้จิตหลง ถ้าภาวนาจิตมีความสงบละเอียด กิเลสสังขารก็หาสิ่งละเอียดมาหลอกลวง ฉะนั้น จิตจึงถูกกิเลสสังขารหลอกลวงต้มตุ๋นมาตลอด ไม่ว่าอยู่ในเพศใด ฐานะสูงต่ำอย่างไร คนรวย คนจน ตลอดจนกำพร้าอนาถา ขอทาน คนบอดหนวก ธาตุขันธ์พิกลพิการ ก็ถูกกิเลสสังขารหลอกลวงทั้งนั้น

..................................

อ้างอิง

หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญโญ ทวนกระแสโลก พบกระแสธรรม สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ ๖๕/๑๖ ถนนชัยพฤกษ์ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๕๒ ( หน้า ๘๙ ๙๐)

หมายเลขบันทึก: 291462เขียนเมื่อ 27 สิงหาคม 2009 07:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 ตุลาคม 2013 14:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

มาชม

เห็นคมในมุมคิดดีจัง

...ทุกครั้งที่เราตั้งใจทำดี มารจะมาทดลองเราเลยละ

แต่ถ้าเราทำชั่ว มารจะคอยดูและอมยิ้ม...

อิ อิ อิ

ต้องหลงถึงจะรู้ว่าทางไหนถูกหรือผิด

การปฏิบุติก็แบบนี้แหละขอรับ..

สาธุสามครั้ง

ขอบคุณ อาจารย์ umi ค่ะ

ดิฉันก้ชอบวิธีการสะกิดให้คิดของอาจารย์ค่ะ ขำไปคิดไป

'-'

นมัสการพระคุณเจ้า

ยังดีเจ้าค่ะ ที่มีผู้ชี้ทางให้ไม่หลงวนเวียนอยู่อย่างนั้น

     ผมไม่เคยนั่สมาธิอย่างเป็นจริงเป็นจังครับ  แค่มือสมัครเล่น  ยังไม่มีประสบการณ์มาแลกเปลี่ยน

   แต่จะขอแลกเปลี่ยนประเด็นนี้ครับ

    การหลงนิมิต  จะมีลักษณะเดียวกันกับ การหลงในรูป รส กลิ่น เสียง  แล้ว ก็ถูกชักจูงคล้อยตามไป   ใช่ใหมครับ

ดิฉันมองว่าเป็นคนละส่วนกันค่ะ

การหลงรูป รส กลิ่น เสียง เกิดมาจากเมื่ออายตนะเรากระทบกับสิ่งต่างๆเหล่านั้น แล้วจำได้ว่าเคยได้รับความพอใจอย่างไร จึงปรุงแต่งความรู้สึกนึกคิดต่อไปในทางที่ชอบ

เป็นกามฉันทะมากกว่าค่ะ

ขอบคุณบันทึกดีมากนี้นะครับ

สวัสดีค่ะคุณ ณัฐรดา

 ตามมาอ่าน เนื่องจากเคยได้ยินคำว่า วิปัสสนูปกิเลส ที่เรียกว่า โอภาส จากคุณ ณัฐรดา มาแล้ว

ส่วนมากแล้วคนไม่มีรากยังไม่เห็นนิมิตรอะไร นอกจากเห็นแสงสีม่วง สีเหลือง สว่างไสว ซึ่งก็ชั่วแวบเดียว แต่มีเพื่อน ๆ ที่เห็นภาพต่าง ๆ ทั้งที่น่าดูและไม่น่าดู .... ซึ่งอาจารย์ท่านก็บอกว่า เห็นแล้วให้กำหนดว่า เห็น จากนั้นก็เร่งความเพียรกับคำบริกรรมต่อไป อย่าหลงหรือมัวชื่นชม มีความสุขกับนิมิตนั้น

ขอบคุณมากค่ะ

(^___^)

สวัสดีค่ะ คุณณัฐรดา

เมื่อก่อนตอนฝึกนั่งสมาธิใหม่ ๆ เคยเห็นอะไรคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกันค่ะ แต่พี่ที่เป็นหัวหน้าเคยสอนว่า ตัวเราน่ะเห็นจริง แต่สิ่งที่เราเห็นน่ะ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า อย่าไปยึดติดมาก ดังนั้น จึงไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนิมิต และตอนหลังก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย

แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ อยู่ ๆ ก็ได้เห็นการกระทำซึ่งเป็นอดีตของเราในชาตินี้ ที่เกิดขึ้นจริง โผล่ขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่าอย่างนี้จะเรียกว่านิมิตได้หรือเปล่า

  • ดีจังเลยครับ
  • ที่เอามาเขียนไว้
  • พระทานถึงบอกว่า
  • อยากติดในนิมิตร
  • ให้เพียงทราบว่า มันคือนิมิตร อย่าหลงดีใจ เสียใจ หวาดกลัว

สวัสดีค่ะ คุณ ณัฐรดา

  • จริงค่ะ จะชั่ว ดี มี จน อย่างไรคงหนีไม่พ้นความตาย ..
  • ตัวเองยังไม่เคยหลงนิมิตร เพราะยังไม่เคยเห็นนิมิตร
  • ยังไม่เคยเห็นนิมิตร เพราะยังไม่เก่งในการทำสมาธิ
  • ยังไม่เก่งในการทำสมาธิ ถึงจะฝึกบ้างครั้งคราว แต่ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าตัวเองกำลังนั่งสมาธิค่ะ
  • ที่จริงเพิ่งจะเข้าใจคำว่าหลงนิมิตรวันนี้เองนะค่ะ
  • ขอบคุณมากๆ ค่ะ
  • ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันนะค่ะ ^^
  • ลืมบ้านโน้นไปเลยนะค่ะ =o)
  • ธุค่ะ..

"นิมิต" กับ "ฝัน" นี้อันเดียวกันไหมคะ?  ^^ 

น้องเนปาลีค่ะ

นิมิตกับฝันไม่เหมือนกันค่ะ

เพราะนิมิต เกิดในขณะที่เราทำสมาธิ เรายังมีสติรู้ตัวอยู่ แต่ฝัน เราหลับไปแล้วค่ะ

พี่ตุ๊กตาไม่ต้องกังวล..อ้อยชวนเมื่อพี่ตุ๊กตาว่างค่ะ..คือขึ้นอยู่กับพี่ตุ๊กตา..อย่ากังวลค่ะอย่ากังวล..ทำเป็นปกติค่ะ..

สวัสดียามเย็นค่ะ

ตามน้องตาม อีกตามเคย

เคยแต่ ฝัน ค่ะ

สวัสดีครับ

          ดีจังครับบันทึกนี้ เป็นประสบการณ์ตรงที่น่าจะเป็นประโยชน์กับอีกหลายๆ ท่านทีเดียว

          ขอสารภาพตามตรงว่า ผมค่อนข้างมีข้อสงสัยกับการอวดอ้างต่างๆ สารพัดครับ เพราะเคยพบผู้ที่ (สร้างภาพต่อสังคม) ว่าปฏิบัติธรรม แต่กลับ "เพี้ยน" อย่างเหลือเชื่อ (ที่สำคัญคือ คนหลายคนที่ว่า กำลังชี้นำคนในสังคมผ่านการตลาดอันทรงพลัง...)

          ที่ว่าเพี้ยนนี่ไม่ใช่อคติของผมคนเดียว เพราะใช้หลักวิชากามาตัดสินได้ เช่น หากใครที่บอกว่านับถือพุทธ แต่กลับพูดว่า "นิพพานเป็นอัตตา" เราก็คงจะรู้สึกได้ทันทีว่า ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ใช่ไหมครับ

ขออภัย

         ตก 'ร' ไปนิดเดียวนี่ความหมายผิดไปไกล แก้ไม่ทัน

         หลักวิชาการ ครับ ^__^

อาจารย์บัญชาคะ

เห็นด้วยค่ะกับความเพี้ยนที่เล่ามา (อดนึกไปถึงสำนักสงฆ์สำนักหนึ่งที่มีการสั่งสอนว่า นิพพานเป็นอัตตาไม่ได้)

เป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนค่ะ ที่ต้องศึกษา หาความรู้ด้วยตนเอง หากัลยาณมิตร นำสิ่งที่รับรู้มาไตรตรองเพื่อพัฒนาปัญญา ที่สำคัญ

ท่านพุทธทาสกล่าวว่า เหตุที่ทำให้ศาสนาเสื่อม เหตุหนึ่งก็คือ สีลัพพตปรามาส การละเลยการปฏิบัติตรง

แล้วเดี๋ยวนี้ก็ช่างกระไร โฆษณาเช่าพระใหญ่เสียเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ บรรยายสรพพคุณว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ การนับถือพระพุทธรูปเพี้ยนไปได้ขนาดนี้

เห็นแล้วได้แต่ "เฮ้อ"ค่ะ

ปรบมือให้ค่ะ...เขียนได้ดีมาก ๆ เลยค่ะ

พี่ค่ะ...เคยได้ยินเพื่อนบอกว่ามีคนไปนั่งสมาธิแล้วเห็นดวงแก้วโผล่ขึ้นมาจากท้องและลอยขึ้นไป เห็นกันทุกคนเลย...(มันคือ ๆ กันเม่นบ่)

ขอบคุณมากค่ะ

เสกตะปูเข้าท้อง

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท