คิดเรื่องงาน (50) : สอนงาน ...สร้างทีม


การเดินทางไปสู่เวทีแห่งการเปิดหูเปิดตานั้น มันเป็นโอกาสอันดีของคนๆ หนึ่งที่ได้รับการดูแลจากสังคม หรือองค์กรของตัวเอง ฟังดูจึงเหมือนการได้รับอภิสิทธิ์ในเรื่องนั้นๆ ด้วยเช่นกัน

วันก่อน ผมขับรถกลับจากโคราช 
มีทีมงานคนหนุ่มนั่งมาเป็นเพื่อน
2 คน
เราสนทนาพาทีกันหลายเรื่องๆ  แต่เกือบครึ่งหนึ่งนั้น  หลีกไม่พ้นเรื่องการงาน
ในองค์กรของเราเอง  หากแต่การพูดคุยแลกเปลี่ยนกันนั้น  ไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้กรอบแนวคิดของการเป็นหัวหน้าและลูกน้องเลยสักนิด  เพราะที่คุยๆ กันนั้น  ล้วนเอื้อนเอ่ยแบบพี่ๆ น้องๆ  ด้วยกันทั้งนั้น

 

เรื่องที่เราถกคุยกันมากที่สุด  ดูเหมือนจะเป็นเรื่องวาทกรรมที่ผมชูขึ้นมาเป็นเสมือน ยุทธศาสตร์ หรือ วัฒนธรรมองค์กร  นั่นคือ สอนงาน...สร้างทีม

 

ผมเล่าให้สองหนุ่มฟังอีกรอบว่า  หลังการทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันมาหลายยก  ผมก็เริ่มมองเห็นว่า  การพัฒนาคนในองค์กรนั้น  ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การสอนงาน  เป็นหัวใจอันสำคัญอีกอย่างของกระบวนการแห่งการขับเคลื่อนให้ เข้มแข็ง และเป็น องค์กรแห่งการเรียนรู้  อย่างแท้จริง  เพราะการสอนงาน คือ การพัฒนาคนและพัฒนาองค์กรดีๆ นั่นเอง


ดังนั้น  ผมจึงกำหนดวาทกรรมแห่งการ
สอนงาน-สร้างทีม  เป็นเสมือนเป้าหมายของการเคลื่อนงานในวาระนี้  และมุ่งที่จะให้วาทกรรมดังกล่าวเป็นเสมือน  วัฒนธรรมองค์กร  ของเราทุกคน  ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมงานทั้งหมด  ก็เห็นดี เห็นชอบ หรือแม้แต่เห็นงามร่วมกันมาแล้ว

 

ผมเล่าให้สองหนุ่มฟังอย่างเปิดเปลือยอีกว่า  ในอดีตนั้น  ผมล้มเหลวกับการบริหารจัดการพอสมควร  ถึงแม้ผมจะมีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นในเชิงของการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ อย่างมีพลังก็ตามเถอะ  แต่ลึกๆ นั้น  เกือบครึ่งหนึ่ง  มันเป็นเหมือนพลังของผมโดยแท้ (มันยังไม่ใช่พลังของทีมเสียทั้งหมด)  จนบางทีสังคมก็ตั้งคำถามว่า  หากวันหนึ่ง  ไม่มีผมอยู่ตรงนี้ ลูกทีมจะขับเคลื่อนกันด้วยลำแข้งลำขาของตัวเองได้หรือเปล่า

 

เช่นเดียวกันนี้  ด้วยความที่ผมเป็นคนประเภท คิดเร็ว ทำเร็ว  นั่นแหละ  สังคมรอบกาย  ก็ไม่วายที่จะตั้งคำถามต่อวิถีนั้นเหมือนกันว่า  ลูกทีมตามผมทันบ้างไหม 

 

ซึ่งประเด็นที่ว่านั้น  ไม่แต่เฉพาะสังคมหรอกที่ตั้งคำถามมายังวิถีนั้น-ผมเองก็ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่อย่างบ่อยครั้ง โดยถือว่าเป็นการประเมินผลการบริหารจัดการของตัวเองเป็นระยะๆ ..ไม่ใช่ทำไปเรื่อยๆ แบบยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองต้องเป็น พระเอก อยู่ร่ำไป

 

และล่าสุดนั้น  ผมยังแซวลูกทีมเลยว่า  จากนี้ไป งานของใคร, ใครคนนั้นต้องเป็นคนให้สัมภาษณ์ข่าวเอง  ไม่ใช่โยนไมค์ผู้สื่อข่าวมาให้ผมออกงานแถลงข่าวอยู่คนเดียวเสมอๆ เหมือนที่ผ่านมา- ใครไม่ปฏิบัติ  ผมจะหักคะแนน !

 

ครับ, นั่นคือ การหยิกหยอกแบบเข้มๆ ตามสไตล์ของผม   เพราะผมอยากให้แต่ละคนกล้าที่จะยืนหยัดด้วยตัวเอง...เต็มที่และเต็มกำลังบทบาทที่ได้รับไป  และเป็นพระเอกของเรื่องนั้นด้วยตนเอง...ไม่ใช่อะไรๆ ก็ผูกขาดอยู่กับผมเสียทั้งหมด

 

ด้วยเหตุนี้นั่นแหละ  พักหลังๆ นี้   ผมถึงต้องพูดเสมอว่า ... ผู้นำที่ดี ต้องสร้างผู้นำขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ใช่สร้างแต่ผู้ตามขึ้นมาจนล้นองค์กร  พอถึงยุคสมัยที่ต้องปรับเปลี่ยนสถานะด้านการบริหารในองค์กรกันเสียใหม่  ก็ไม่มีใครก้าวขึ้นมาแทนที่ตรงนั้นได้อย่างที่ควรจะเป็น  และนั่นก็คือ ผลพวงแห่งกระบวนการที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมในการพัฒนา คน  เข้าสู่การเป็น ผู้นำ ...

 

แต่อย่างไรก็ตาม  ในภาวะเช่นนี้  ผมไม่ลังเลที่จะสร้างกระบวนการ สอนงาน  อย่างเป็นจริงเป็นจังในทีมงาน  โดยเริ่มจัดวางโครงสร้างง่ายๆ เช่น แต่ละงานต้องมีคู่หูทำงานแทนกันได้  มีระบบพี่เลี้ยงคอยแนะนำอยู่ใกล้ๆ ...มีหัวหน้างานคอยดูแลอย่างใกล้ชิด  ไม่เหลือบ่ากว่าแรง  ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยผ่านมายังผม  เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่า  ผมเป็นคนประเภทสอนงานแบบ ถึงลูกถึงคน  ภูมิต้านทานไม่ดี มีหวังขวัญกระเจิงกระจายเป็นแน่

 

วิธีดังกล่าว  จึงเป็นเหมือนการจัดวางให้แต่ละคนทำงานแบบใกล้ชิดกันและกัน เป็นเหมือนการเชื่อมเข้าสู่ความเป็นทีมเล็กๆ และผูกขึ้นเป็นทีมใหญ่  ซึ่งหัวหน้างานที่คอยกำกับดูแลสอดส่องอยู่ใกล้ๆ นั้น  ก็จะได้เรียนรู้หลักการบริหารคนไปในตัวด้วยเช่นกัน  ...

 

ส่วนผมนั้น, ก็สัญญากับพวกเขาแล้วว่า  ไม่ว่าสถานการณ์ใดก็ตาม  ผมก็จะอยู่กับพวกเขาอย่างเต็มกำลัง  และพยายามที่จะเรียนรู้การบริหารและควบคุมตัวเองให้ดีที่สุด ...ขออย่างเดียวคือ...ขอให้ลูกทีมทุกคน  ทำงานของตัวเองให้เต็มที่และเต็มกำลัง  มีปัญหาต้องกล้าที่จะบอกกล่าวให้ผมได้รับรู้... อย่าปิดงำให้ผมต้องติดตาม แกะรอย...หรือกว่าจะรู้ ก็สายเกินแก้เสียแล้ว

 

ถัดจากนั้น  ผมก็หยิบเรื่องของการถ่ายทอดความรู้มาสนทนาเพื่อย้ำเรื่องการสอนงานอีกเป็นยกที่สองว่า ...

 

ระยะหลัง ผมพยายามกระตุ้นให้บุคลากรไปเปิดหูเปิดตาในเวทีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ  การไปอบรมหรือสัมมนา และเมื่อกลับมาก็ต้องสรุป หรือถอดบทเรียนออกมาเป็นรูปเล่ม พร้อมๆ กับการพูดคุยเสวนาในเรื่องดังกล่าวต่อเพื่อนร่วมงาน  หากละเลย ไม่ใส่ใจต่อการสอนงานผ่านวิถีแห่งการบอกเล่าเก้าสิบนั้น ก็ย่อมไม่ต่างอะไรไปจากการเป็นผู้ทรยศต่อองค์กร

 

ครับ, ฟังดูกร้าวกระด้างและหนักหน่วงมากโขเลยทีเดียวต่อข้อพิพากษาที่ผมเปรยบอกไปนั้น  แต่อย่างไรก็ดี  เราก็ต้องไม่ลืมว่า  การเดินทางไปสู่เวทีแห่งการเปิดหูเปิดตานั้น  มันเป็นโอกาสอันดีของคนๆ หนึ่งที่ได้รับการดูแลจากสังคม หรือองค์กรของตัวเอง  ฟังดูจึงเหมือนการได้รับอภิสิทธิ์ในเรื่องนั้นๆ ด้วยก็ไม่ผิด ...ส่วนงบประมาณที่ลงทุนไปนั้น  ก็ล้วนมาจากเงินภาษีของคนทั้งชาติ  การได้นั่งเครื่องบิน เครื่องยนต์ ได้นอนห้องแอร์ในโรงแรมหรู ได้ทานอาหารพิเศษอร่อยๆ  ได้พบปะผู้คนหลากศักยภาพ ฯลฯ  ล้วนเป็นการลงทุนโดยสังคมทั้งสิ้น หากยังเก็บงำไว้กับตัวเอง   ไม่เปิดใจถ่ายทอด-สอนงานให้คนอื่นๆ  ก็เหมือนการละเลยที่จะทดแทนคุณขององค์กร 

 

และยิ่งหากไม่นำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาตนเอง  ก็ยิ่งดูเศร้าสะเทือนใจเป็นที่สุด  เพราะนั่นคือการลงทุนที่เปล่าเปลืองดีๆ นั่นเอง

 

ดังนั้น  ในระยะหลังนี้  ผมจึงย้ำให้แต่ละคนสรุปการเรียนรู้จากเวทีต่างๆ ออกมาเป็นรูปเล่มเก๋ๆ เพื่อเผยแพร่ในองค์กร  รวมถึงการพยายามสร้างเวทีแห่งการเสวนาขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการ  เพื่อให้คนที่ได้รับโอกาสไปเปิดหูเปิดตา ได้มีเวทีในการสอนงาน หรือถ่ายทอดความรู้นั้นสู่เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ยังไม่ได้รับโอกาสแห่งการติดสอยห้อยตามไปเปิดหูเปิดตา

 

สำหรับผมแล้ว  นั่นไม่ใช่แค่การสอนงานอย่างเดียวเสียที่ไหน  แต่ในความคิดของผมนั้น  คือกระบวนการของการกระตุ้นให้ผู้สอนงานได้ชำระตัวเองว่า โอกาสที่ได้รับไปนั้น ก่อเกิดการเรียนรู้อะไรบ้าง และตนเองมีทักษะของการสอนงานอย่างไร เรียกได้ว่า เป็นการประเมินซ้ำอีกรอบก็ไม่ผิด

 

และในที่สุดนั้น   ผมก็อธิบายถึงกระบวนการต่างๆ ที่นำมาใช้กับลูกทีมว่า  ส่วนใหญ่ผมเรียนรู้มาจากเวทีการสัมมนา  การอ่านบทความ  การเสวนาแลกเปลี่ยนกับกัลยาณมิตร  เสร็จแล้วก็ประมวลเป็นความรู้และประยุกต์ให้เข้ากับบริบทในองค์กรของเรา  โดยไม่ละเลยที่จะเก็บงำไว้กับตัวเอง 

 

ดังนั้น  จึงเห็นได้ชัดว่า  นอกจากเอกสารที่ผมสรุปเผยแพร่แล้ว  ผมยังเน้นการบอกเล่าในเวทีเล็กๆ อย่างต่อเนื่อง  รวมถึงการกำหนดเป็นเวทีใหญ่  ด้วยการนำพาแต่ละคนไปใช้ชีวิตนอกสำนักงาน  เพื่อทำกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันอย่างฮาเฮ  โดยผมทำหน้าที่เป็นผู้นำกระบวนการเหล่านั้นด้วยตนเอง  ผสมผสานกับการมอบหมายให้น้องๆ ในทีมงาน ก้าวเข้ามาช่วยจัดกระบวนการเติมเต็มให้เป็นระยะๆ ...

 

ซึ่งผมเรียกกระบวนการเหล่านั้นว่า เป็นส่วนหนึ่งของการ สอนงานและสร้างทีม

 

เช่นเดียวกับการขยายความถึงกระบวนการต่างๆ ที่ผมถ่ายทอดไปนั้นในทำนองว่า  ทุกอย่างคือสิ่งที่ผมประมวลและสังเคราะห์จากการได้รับโอกาสไปเรียนรู้ในระบบที่องค์กรสนับสนุน  หรือหลายเรื่องก็เกิดจากการเรียนรู้ค้นหาด้วยตนเอง  เสร็จแล้วก็นำมาสื่อสารผ่านกระบวนการต่างๆ ตามที่ผมถนัด ...

 

หลายเรื่อง, ผมยอมรับว่า  ผมยังไม่ถ่องแท้ หรือลึกซึ้งนัก  แต่ถ้าจะให้รอผมบรรลุแตกฉานแล้วค่อยนำมาถ่ายทอดนั้น  บางทีอาจต้องใช้เวลานานแสนนาน  หรือซ้ำร้าย  อาจล้มเหลวไปเลยก็เป็นได้

 

ดังนั้น  การนำกลับมาสื่อสาร-ถ่ายทอด-หรือสอนงานในแบบฉบับของผมนั้น  บางทีจึงเหมือนการมาชวนให้ทีมงานได้ลงแรงค้นหาคำตอบร่วมกัน ...

 

เพราะบางที  เรื่องที่ว่านั้น อาจถูกค้นพบและถ่องแท้ได้ด้วยใครสักคนในทีมงานของเราด้วยก็เป็นได้ ...เพราะในความเป็นจริง หลายเรื่องในชีวิตที่เรามืดบอด  ก็ล้วนแล้วแต่ถูกค้นพบด้วยคนรอบข้างเสมอ  ขึ้นอยู่กับว่าเรากล้าพอที่จะเปิดใจเรียนรู้และน้อมรับแค่ไหนเท่านั้นเอง

 

ฉะนี้แล้ว  ถึงแม้หลายเรื่อง ผมจะยังไม่สามารถบรรลุซึ่งความรู้ที่ว่านั้นได้ด้วยตนเอง  แต่การนำมาสื่อสารต่อทีมงานนั้น ก็ยังถือได้ว่า ผมรับผิดชอบต่อโอกาสและทุนที่สังคม หรือองค์กรได้ลงทุนไปกับผมแล้วอย่างเต็มที่...(ผมเป็นผู้ได้รับอภิสิทธิ์ แต่ไม่ใช่ผู้ทรยศ ...) 

 

ครับ...นั่นคือเรื่องราวอันน้อยนิดที่ผมมีโอกาสได้เปิดเปลือยสนทนากับทีมงานในการเดินทางที่ยาวไกลร่วมๆ 300 กิโลเมตร ..

 

ยืนยันครับ สนุกและไม่เครียด  เลยสักนิด !

...

2 สิงหาคม ..
ระหว่างการเดินทาง
นครราชสีมา-มหาสารคาม

หมายเลขบันทึก: 282671เขียนเมื่อ 3 สิงหาคม 2009 16:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 08:24 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

พี่แผ่นดิน หยิกหยอกสไตล์เข้ม ๆ

อิอิ ดุเหมือนกันน่ะเจ้าค่ะ

เรียน ท่านแผ่นดิน วัฒนธรรมเช่นนี้ น่าจะขยาย ครับ

  • สอนงาน สร้างทีม สร้างสรรค์ สวรรค์อยู่ที่งาน

วิถีของคนมีคุณภาพ เชื่อมั่น ในวันวานและวันนี้ ว่าชีวีที่อาจารย์เป็นส่วนผลักดันจะสร้างสรรค์สังคมสู่สังคมานุภาพ ครับ

  • ตามเชียร์การสอนงานสร้างทีม
  • ต้องให้เขาทดลองทำ
  • ปล่อยให้ลองดู
  • คอยเป็นกำลังใจใกล้ๆๆครับ
  • สบายดีนะครับ

ช่วงนี้หนูกำลังค้นหาชีวิต กับการทำงาน 7วันค่ะ

อยากรู้อะไรใหม่เพิ่มเติมค่ะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังค่ะ

คอมที่บ้านเสียตาะ กำลังส่งซ่อมค่ะ

สวัสดีครับ.. สุดสายป่าน

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ..
โดยปกติแล้ว พี่เป็นคนประเภท จริงจังมากเลยแหละ
ลูกน้องจึงเกรงๆ กลัวๆ กันอยู่พอสมควร
เวลาสอนงาน จึงข้นเข้มเสมอ
แต่ก็พยายามเหมือนกันกับการปรับเปลี่ยนสไตล์
และยังต้องพยายามต่อไปอีกมากเลยทีเดียว

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ..ท่าน อ. JJ

สวรรค์อยู่ที่งาน

เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ...

 

สวัสดีครับ  เสียงเล็กๆ

ตอนนี้ยังถือว่าเริ่มตั้งต้นและตั้งหลัก
เป็นเหมือนโมเดลที่กำลังขับเคลื่อนในองค์กร
และวิธีการเช่นนี้ ยังจะเป็นกระบวนการสร้างสัมพันธภาพอันดีให้กับคนในองค์กรไปในตัวด้วยเหมือนกัน

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง

ครับ-ยังไงก็ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
แต่ตอนนี้ ย้ำให้หัวหน้างานได้ทำหน้าที่เหล่านั้นแทนอย่างเต็มที่
สำหรับเราแล้ว..
ยังต้องมุ่งมั่นกับการพัฒนาตนเองภายใต้แนวคิด..ให้ใจ..ให้งาน..และให้อภัย

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ.. berger0123

ยังไงเสีย...
ผมเป็นกำลังใจให้นะครับ
ขอให้ดำเนินชีวิตด้วยแนวคิดของการใช้ชีวิตนะครับ...

อะไรๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เกินหัวใจของคนเรา...
ให้หัวใจนำพาไปสู่เป้าหมาย นะครับ

  • สวัสดีครับ อ.แผ่นดิน
  • การสอนงานนั้นเป็นธรรมชาติหนึ่งของการทำงาน
  • ที่ให้อะไรมากมายแก่คนทำงานด้วยกันและองค์กร
  • เพราะทุกคนสามารถเรียนรู้จากกันและกันได้ตลอดเวลา
  • ขอบคุณครับ

เห็นด้วยอย่างยิ่งคะ 

  •  ถ้ามีใครสักคนลา หรือไมใสบาย เหมือนวันนี้ไปรับต้นเรื่องเงินยืม พี่ ๆ ไม่มีใครทำแทน พี่เขารู้เรื่องคนเดียว
  • ถ้ามีคู่หูทำแทนได้ จะดีมากเลยคะ
  • พี่จำได้ว่าไปสัมมนานำเสนอผลงาน OK งานไว้หมดแล้ว พิมพ์ใส่กระดาษพิมพ์อย่างดี พอกลับบมาทำงาน น้องบอกว่าพี่ไก่ไม่บอกอะไรไว้เลย งง ๆ แถมถูกต่อว่า พอวันนี้เจ้าตัวนำเอกสารมาคืนให้ เลยชี้ให้ดูว่านี่ไงที่ได้แจ้งไว้ น้องไม่อ่านเอง
  • น้องยังบอกว่าทีหลังเขียนบอกตัวโตๆ เลยได้แต่ยิ้ม พอเขียนแล้วบอกว่าอ่านไม่อ่าน

สวัสดีครับ พี่ สิงห์ป่าสัก

สารภาพเลยครับว่า "หนังสือสอนงานผ่านบล็อก" ของพี่นั้น
เป็นแรงบันดาลใจให้ผมขับเคลื่อนเรื่องงานในองค์กรอย่างมากเลย และนั่นก็คือเป็นส่วนหนึ่งของการนำมาสู่วิธีคิดเรื่องการ "สอนงานสร้างทีม" ของผมด้วยเหมือนกัน

ขอบคุณครับ...
รักษาสุขภาพ นะครับ

สวัสดีครับ ประกาย~natachoei ที่~natadee

การทำงานในแต่ละวัน มีอะไรให้คิดให้ขบขันกันก็มาก แต่ก็เหมือนว่า หลายอย่างมันน่าขันจริงๆ เรื่องบางเรื่องแทนที่จะเข้าใจและทำงานได้ด้วยสัญชาตญาณ  แต่กลับตรงกันข้ามคือ...ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวจริงๆ

การสอนงานในแต่ละครั้ง  มันก็เหนื่อยใจเหมือนกันนะครับกับพื้นฐานของทีมงานที่มีต้นทุนต่างกัน  สิ่งที่เราถ่วงใจไว้มากที่สุดก็คือ ..การให้โอกาสและให้เวลา  แต่นั่นก็คงไม่ได้หมายถึงว่า จะใช้เวลาและโอกาสอย่างเปล่าเปลือง...

ผมชอบทีมงานประเภท ฝาก 1 ได้ 2...ฝาก 2 ได้ 3 ...เพราะนั่นคือพลังความคิดของการต่อยอดและบริหารจัดการได้อย่างน่าชื่นชม มันลดแรงเหนื่อยของเราได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณครับ

อ่านแล้วได้ใจยิ่งครับ "สอนคน สอนงาน สร้างทีม"

สุดท้ายองค์ความรู้ และความสามารถของคนในองค์กรก็ไม่ได้หายไปไหน

เกิดการหมุนวนอยู่ในองค์กรนั่นเอง

อย่างนี้น่าจะเป็น"องค์กรแห่งการเรียนรู้"ที่แท้จริงครับ

สวัสดีค่ะ

  • ขอขอบพระคุณค่ะ
  • ที่ได้รับข้อคิด  ประสบการณ์จากบันทึกฉบับนี้
  • เป็นกำลังใจให้นะคะ

สวัสดีครับ บินหลาดง

เคยมีคนถามผมว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้ คืออะไร..
ผมก็ตอบในสไตล์ของผมว่า...
เป็นองค์กรที่มีชีวิต...

....ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ พี่ครูคิม

ขอบคุณสำหรับมิตรภาพและกำลังใจนะครับ...

ผมเองก็เป็นกำลังใจให้เช่นกัน
และขอให้พี่ครูคิม เต็มไปด้วยพลังการสร้างสรรค์เช่นนี้เสมอไป

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท