วันก่อน ผมขับรถกลับจากโคราช
มีทีมงานคนหนุ่มนั่งมาเป็นเพื่อน 2 คน
เราสนทนาพาทีกันหลายเรื่องๆ แต่เกือบครึ่งหนึ่งนั้น หลีกไม่พ้นเรื่องการงานในองค์กรของเราเอง หากแต่การพูดคุยแลกเปลี่ยนกันนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้กรอบแนวคิดของการเป็นหัวหน้าและลูกน้องเลยสักนิด เพราะที่คุยๆ กันนั้น ล้วนเอื้อนเอ่ยแบบพี่ๆ น้องๆ ด้วยกันทั้งนั้น
เรื่องที่เราถกคุยกันมากที่สุด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องวาทกรรมที่ผมชูขึ้นมาเป็นเสมือน “ยุทธศาสตร์” หรือ “วัฒนธรรมองค์กร” นั่นคือ “สอนงาน...สร้างทีม”
ผมเล่าให้สองหนุ่มฟังอีกรอบว่า หลังการทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันมาหลายยก ผมก็เริ่มมองเห็นว่า การพัฒนาคนในองค์กรนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “การสอนงาน” เป็นหัวใจอันสำคัญอีกอย่างของกระบวนการแห่งการขับเคลื่อนให้ “เข้มแข็ง” และเป็น “องค์กรแห่งการเรียนรู้” อย่างแท้จริง เพราะการสอนงาน คือ การพัฒนาคนและพัฒนาองค์กรดีๆ นั่นเอง
ดังนั้น ผมจึงกำหนดวาทกรรมแห่งการ “สอนงาน-สร้างทีม” เป็นเสมือนเป้าหมายของการเคลื่อนงานในวาระนี้ และมุ่งที่จะให้วาทกรรมดังกล่าวเป็นเสมือน “วัฒนธรรมองค์กร” ของเราทุกคน ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมงานทั้งหมด ก็เห็นดี เห็นชอบ หรือแม้แต่เห็นงามร่วมกันมาแล้ว
ผมเล่าให้สองหนุ่มฟังอย่างเปิดเปลือยอีกว่า ในอดีตนั้น ผมล้มเหลวกับการบริหารจัดการพอสมควร ถึงแม้ผมจะมีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นในเชิงของการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ อย่างมีพลังก็ตามเถอะ แต่ลึกๆ นั้น เกือบครึ่งหนึ่ง มันเป็นเหมือนพลังของผมโดยแท้ (มันยังไม่ใช่พลังของทีมเสียทั้งหมด) จนบางทีสังคมก็ตั้งคำถามว่า “หากวันหนึ่ง ไม่มีผมอยู่ตรงนี้ ลูกทีมจะขับเคลื่อนกันด้วยลำแข้งลำขาของตัวเองได้หรือเปล่า”
เช่นเดียวกันนี้ ด้วยความที่ผมเป็นคนประเภท “คิดเร็ว ทำเร็ว” นั่นแหละ สังคมรอบกาย ก็ไม่วายที่จะตั้งคำถามต่อวิถีนั้นเหมือนกันว่า “ลูกทีมตามผมทันบ้างไหม”
ซึ่งประเด็นที่ว่านั้น ไม่แต่เฉพาะสังคมหรอกที่ตั้งคำถามมายังวิถีนั้น-ผมเองก็ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่อย่างบ่อยครั้ง โดยถือว่าเป็นการประเมินผลการบริหารจัดการของตัวเองเป็นระยะๆ ..ไม่ใช่ทำไปเรื่อยๆ แบบยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองต้องเป็น “พระเอก” อยู่ร่ำไป
และล่าสุดนั้น ผมยังแซวลูกทีมเลยว่า จากนี้ไป งานของใคร, ใครคนนั้นต้องเป็นคนให้สัมภาษณ์ข่าวเอง ไม่ใช่โยนไมค์ผู้สื่อข่าวมาให้ผมออกงานแถลงข่าวอยู่คนเดียวเสมอๆ เหมือนที่ผ่านมา- ใครไม่ปฏิบัติ ผมจะหักคะแนน !
ครับ, นั่นคือ การหยิกหยอกแบบเข้มๆ ตามสไตล์ของผม เพราะผมอยากให้แต่ละคนกล้าที่จะยืนหยัดด้วยตัวเอง...เต็มที่และเต็มกำลังบทบาทที่ได้รับไป และเป็นพระเอกของเรื่องนั้นด้วยตนเอง...ไม่ใช่อะไรๆ ก็ผูกขาดอยู่กับผมเสียทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้นั่นแหละ พักหลังๆ นี้ ผมถึงต้องพูดเสมอว่า ... ผู้นำที่ดี ต้องสร้างผู้นำขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่สร้างแต่ผู้ตามขึ้นมาจนล้นองค์กร พอถึงยุคสมัยที่ต้องปรับเปลี่ยนสถานะด้านการบริหารในองค์กรกันเสียใหม่ ก็ไม่มีใครก้าวขึ้นมาแทนที่ตรงนั้นได้อย่างที่ควรจะเป็น และนั่นก็คือ ผลพวงแห่งกระบวนการที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมในการพัฒนา “คน” เข้าสู่การเป็น “ผู้นำ” ...
แต่อย่างไรก็ตาม ในภาวะเช่นนี้ ผมไม่ลังเลที่จะสร้างกระบวนการ “สอนงาน” อย่างเป็นจริงเป็นจังในทีมงาน โดยเริ่มจัดวางโครงสร้างง่ายๆ เช่น แต่ละงานต้องมีคู่หูทำงานแทนกันได้ มีระบบพี่เลี้ยงคอยแนะนำอยู่ใกล้ๆ ...มีหัวหน้างานคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยผ่านมายังผม เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่า ผมเป็นคนประเภทสอนงานแบบ “ถึงลูกถึงคน” ภูมิต้านทานไม่ดี มีหวังขวัญกระเจิงกระจายเป็นแน่
วิธีดังกล่าว จึงเป็นเหมือนการจัดวางให้แต่ละคนทำงานแบบใกล้ชิดกันและกัน เป็นเหมือนการเชื่อมเข้าสู่ความเป็นทีมเล็กๆ และผูกขึ้นเป็นทีมใหญ่ ซึ่งหัวหน้างานที่คอยกำกับดูแลสอดส่องอยู่ใกล้ๆ นั้น ก็จะได้เรียนรู้หลักการบริหารคนไปในตัวด้วยเช่นกัน ...
ส่วนผมนั้น, ก็สัญญากับพวกเขาแล้วว่า ไม่ว่าสถานการณ์ใดก็ตาม ผมก็จะอยู่กับพวกเขาอย่างเต็มกำลัง และพยายามที่จะเรียนรู้การบริหารและควบคุมตัวเองให้ดีที่สุด ...ขออย่างเดียวคือ...ขอให้ลูกทีมทุกคน ทำงานของตัวเองให้เต็มที่และเต็มกำลัง มีปัญหาต้องกล้าที่จะบอกกล่าวให้ผมได้รับรู้... อย่าปิดงำให้ผมต้องติดตาม แกะรอย...หรือกว่าจะรู้ ก็สายเกินแก้เสียแล้ว
ถัดจากนั้น ผมก็หยิบเรื่องของการถ่ายทอดความรู้มาสนทนาเพื่อย้ำเรื่องการสอนงานอีกเป็นยกที่สองว่า ...
“ระยะหลัง ผมพยายามกระตุ้นให้บุคลากรไปเปิดหูเปิดตาในเวทีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การไปอบรมหรือสัมมนา และเมื่อกลับมาก็ต้องสรุป หรือถอดบทเรียนออกมาเป็นรูปเล่ม พร้อมๆ กับการพูดคุยเสวนาในเรื่องดังกล่าวต่อเพื่อนร่วมงาน หากละเลย ไม่ใส่ใจต่อการสอนงานผ่านวิถีแห่งการบอกเล่าเก้าสิบนั้น ก็ย่อมไม่ต่างอะไรไปจากการเป็นผู้ทรยศต่อองค์กร”
ครับ, ฟังดูกร้าวกระด้างและหนักหน่วงมากโขเลยทีเดียวต่อข้อพิพากษาที่ผมเปรยบอกไปนั้น แต่อย่างไรก็ดี เราก็ต้องไม่ลืมว่า การเดินทางไปสู่เวทีแห่งการเปิดหูเปิดตานั้น มันเป็นโอกาสอันดีของคนๆ หนึ่งที่ได้รับการดูแลจากสังคม หรือองค์กรของตัวเอง ฟังดูจึงเหมือนการได้รับอภิสิทธิ์ในเรื่องนั้นๆ ด้วยก็ไม่ผิด ...ส่วนงบประมาณที่ลงทุนไปนั้น ก็ล้วนมาจากเงินภาษีของคนทั้งชาติ การได้นั่งเครื่องบิน เครื่องยนต์ ได้นอนห้องแอร์ในโรงแรมหรู ได้ทานอาหารพิเศษอร่อยๆ ได้พบปะผู้คนหลากศักยภาพ ฯลฯ ล้วนเป็นการลงทุนโดยสังคมทั้งสิ้น หากยังเก็บงำไว้กับตัวเอง ไม่เปิดใจถ่ายทอด-สอนงานให้คนอื่นๆ ก็เหมือนการละเลยที่จะทดแทนคุณขององค์กร
และยิ่งหากไม่นำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาตนเอง ก็ยิ่งดูเศร้าสะเทือนใจเป็นที่สุด เพราะนั่นคือการลงทุนที่เปล่าเปลืองดีๆ นั่นเอง
ดังนั้น ในระยะหลังนี้ ผมจึงย้ำให้แต่ละคนสรุปการเรียนรู้จากเวทีต่างๆ ออกมาเป็นรูปเล่มเก๋ๆ เพื่อเผยแพร่ในองค์กร รวมถึงการพยายามสร้างเวทีแห่งการเสวนาขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อให้คนที่ได้รับโอกาสไปเปิดหูเปิดตา ได้มีเวทีในการสอนงาน หรือถ่ายทอดความรู้นั้นสู่เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ยังไม่ได้รับโอกาสแห่งการติดสอยห้อยตามไปเปิดหูเปิดตา
สำหรับผมแล้ว นั่นไม่ใช่แค่การสอนงานอย่างเดียวเสียที่ไหน แต่ในความคิดของผมนั้น คือกระบวนการของการกระตุ้นให้ผู้สอนงานได้ชำระตัวเองว่า โอกาสที่ได้รับไปนั้น ก่อเกิดการเรียนรู้อะไรบ้าง และตนเองมีทักษะของการสอนงานอย่างไร เรียกได้ว่า เป็นการประเมินซ้ำอีกรอบก็ไม่ผิด
และในที่สุดนั้น ผมก็อธิบายถึงกระบวนการต่างๆ ที่นำมาใช้กับลูกทีมว่า ส่วนใหญ่ผมเรียนรู้มาจากเวทีการสัมมนา การอ่านบทความ การเสวนาแลกเปลี่ยนกับกัลยาณมิตร เสร็จแล้วก็ประมวลเป็นความรู้และประยุกต์ให้เข้ากับบริบทในองค์กรของเรา โดยไม่ละเลยที่จะเก็บงำไว้กับตัวเอง
ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่า นอกจากเอกสารที่ผมสรุปเผยแพร่แล้ว ผมยังเน้นการบอกเล่าในเวทีเล็กๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการกำหนดเป็นเวทีใหญ่ ด้วยการนำพาแต่ละคนไปใช้ชีวิตนอกสำนักงาน เพื่อทำกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันอย่างฮาเฮ โดยผมทำหน้าที่เป็นผู้นำกระบวนการเหล่านั้นด้วยตนเอง ผสมผสานกับการมอบหมายให้น้องๆ ในทีมงาน ก้าวเข้ามาช่วยจัดกระบวนการเติมเต็มให้เป็นระยะๆ ...
ซึ่งผมเรียกกระบวนการเหล่านั้นว่า เป็นส่วนหนึ่งของการ “สอนงานและสร้างทีม”
เช่นเดียวกับการขยายความถึงกระบวนการต่างๆ ที่ผมถ่ายทอดไปนั้นในทำนองว่า ทุกอย่างคือสิ่งที่ผมประมวลและสังเคราะห์จากการได้รับโอกาสไปเรียนรู้ในระบบที่องค์กรสนับสนุน หรือหลายเรื่องก็เกิดจากการเรียนรู้ค้นหาด้วยตนเอง เสร็จแล้วก็นำมาสื่อสารผ่านกระบวนการต่างๆ ตามที่ผมถนัด ...
หลายเรื่อง, ผมยอมรับว่า ผมยังไม่ถ่องแท้ หรือลึกซึ้งนัก แต่ถ้าจะให้รอผมบรรลุแตกฉานแล้วค่อยนำมาถ่ายทอดนั้น บางทีอาจต้องใช้เวลานานแสนนาน หรือซ้ำร้าย อาจล้มเหลวไปเลยก็เป็นได้
ดังนั้น การนำกลับมาสื่อสาร-ถ่ายทอด-หรือสอนงานในแบบฉบับของผมนั้น บางทีจึงเหมือนการมาชวนให้ทีมงานได้ลงแรงค้นหาคำตอบร่วมกัน ...
เพราะบางที เรื่องที่ว่านั้น อาจถูกค้นพบและถ่องแท้ได้ด้วยใครสักคนในทีมงานของเราด้วยก็เป็นได้ ...เพราะในความเป็นจริง หลายเรื่องในชีวิตที่เรามืดบอด ก็ล้วนแล้วแต่ถูกค้นพบด้วยคนรอบข้างเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเรากล้าพอที่จะเปิดใจเรียนรู้และน้อมรับแค่ไหนเท่านั้นเอง
ฉะนี้แล้ว ถึงแม้หลายเรื่อง ผมจะยังไม่สามารถบรรลุซึ่งความรู้ที่ว่านั้นได้ด้วยตนเอง แต่การนำมาสื่อสารต่อทีมงานนั้น ก็ยังถือได้ว่า ผมรับผิดชอบต่อโอกาสและทุนที่สังคม หรือองค์กรได้ลงทุนไปกับผมแล้วอย่างเต็มที่...(ผมเป็นผู้ได้รับอภิสิทธิ์ แต่ไม่ใช่ผู้ทรยศ ...)
ครับ...นั่นคือเรื่องราวอันน้อยนิดที่ผมมีโอกาสได้เปิดเปลือยสนทนากับทีมงานในการเดินทางที่ยาวไกลร่วมๆ 300 กิโลเมตร ..
ยืนยันครับ สนุกและไม่เครียด เลยสักนิด !
...
2 สิงหาคม ..
ระหว่างการเดินทาง
นครราชสีมา-มหาสารคาม
พี่แผ่นดิน หยิกหยอกสไตล์เข้ม ๆ
อิอิ ดุเหมือนกันน่ะเจ้าค่ะ
เรียน ท่านแผ่นดิน วัฒนธรรมเช่นนี้ น่าจะขยาย ครับ
วิถีของคนมีคุณภาพ เชื่อมั่น ในวันวานและวันนี้ ว่าชีวีที่อาจารย์เป็นส่วนผลักดันจะสร้างสรรค์สังคมสู่สังคมานุภาพ ครับ
ช่วงนี้หนูกำลังค้นหาชีวิต กับการทำงาน 7วันค่ะ
อยากรู้อะไรใหม่เพิ่มเติมค่ะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังค่ะ
คอมที่บ้านเสียตาะ กำลังส่งซ่อมค่ะ
สวัสดีครับ.. สุดสายป่าน
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ..
โดยปกติแล้ว พี่เป็นคนประเภท จริงจังมากเลยแหละ
ลูกน้องจึงเกรงๆ กลัวๆ กันอยู่พอสมควร
เวลาสอนงาน จึงข้นเข้มเสมอ
แต่ก็พยายามเหมือนกันกับการปรับเปลี่ยนสไตล์
และยังต้องพยายามต่อไปอีกมากเลยทีเดียว
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ เสียงเล็กๆ
ตอนนี้ยังถือว่าเริ่มตั้งต้นและตั้งหลัก
เป็นเหมือนโมเดลที่กำลังขับเคลื่อนในองค์กร
และวิธีการเช่นนี้ ยังจะเป็นกระบวนการสร้างสัมพันธภาพอันดีให้กับคนในองค์กรไปในตัวด้วยเหมือนกัน
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
ครับ-ยังไงก็ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
แต่ตอนนี้ ย้ำให้หัวหน้างานได้ทำหน้าที่เหล่านั้นแทนอย่างเต็มที่
สำหรับเราแล้ว..
ยังต้องมุ่งมั่นกับการพัฒนาตนเองภายใต้แนวคิด..ให้ใจ..ให้งาน..และให้อภัย
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ.. berger0123
ยังไงเสีย...
ผมเป็นกำลังใจให้นะครับ
ขอให้ดำเนินชีวิตด้วยแนวคิดของการใช้ชีวิตนะครับ...
อะไรๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เกินหัวใจของคนเรา...
ให้หัวใจนำพาไปสู่เป้าหมาย นะครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งคะ
สวัสดีครับ พี่ สิงห์ป่าสัก
สารภาพเลยครับว่า "หนังสือสอนงานผ่านบล็อก" ของพี่นั้น
เป็นแรงบันดาลใจให้ผมขับเคลื่อนเรื่องงานในองค์กรอย่างมากเลย และนั่นก็คือเป็นส่วนหนึ่งของการนำมาสู่วิธีคิดเรื่องการ "สอนงานสร้างทีม" ของผมด้วยเหมือนกัน
ขอบคุณครับ...
รักษาสุขภาพ นะครับ
สวัสดีครับ ประกาย~natachoei ที่~natadee
การทำงานในแต่ละวัน มีอะไรให้คิดให้ขบขันกันก็มาก แต่ก็เหมือนว่า หลายอย่างมันน่าขันจริงๆ เรื่องบางเรื่องแทนที่จะเข้าใจและทำงานได้ด้วยสัญชาตญาณ แต่กลับตรงกันข้ามคือ...ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวจริงๆ
การสอนงานในแต่ละครั้ง มันก็เหนื่อยใจเหมือนกันนะครับกับพื้นฐานของทีมงานที่มีต้นทุนต่างกัน สิ่งที่เราถ่วงใจไว้มากที่สุดก็คือ ..การให้โอกาสและให้เวลา แต่นั่นก็คงไม่ได้หมายถึงว่า จะใช้เวลาและโอกาสอย่างเปล่าเปลือง...
ผมชอบทีมงานประเภท ฝาก 1 ได้ 2...ฝาก 2 ได้ 3 ...เพราะนั่นคือพลังความคิดของการต่อยอดและบริหารจัดการได้อย่างน่าชื่นชม มันลดแรงเหนื่อยของเราได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณครับ
อ่านแล้วได้ใจยิ่งครับ "สอนคน สอนงาน สร้างทีม"
สุดท้ายองค์ความรู้ และความสามารถของคนในองค์กรก็ไม่ได้หายไปไหน
เกิดการหมุนวนอยู่ในองค์กรนั่นเอง
อย่างนี้น่าจะเป็น"องค์กรแห่งการเรียนรู้"ที่แท้จริงครับ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับ บินหลาดง
เคยมีคนถามผมว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้ คืออะไร..
ผมก็ตอบในสไตล์ของผมว่า...
เป็นองค์กรที่มีชีวิต...
....ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่ครูคิม
ขอบคุณสำหรับมิตรภาพและกำลังใจนะครับ...
ผมเองก็เป็นกำลังใจให้เช่นกัน
และขอให้พี่ครูคิม เต็มไปด้วยพลังการสร้างสรรค์เช่นนี้เสมอไป