。◕‿◕。 สุสานหิ่งห้อย 。◕‿◕。
วันนี้จะนำเสนอ ... เรื่องราวชีวิต ... ที่นำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์
สุสานหิ่งห้อย Grave of the Fireflies ( Hotaru no Haka)ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นของสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ซึ่งเป็นบริษัทสร้างภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นชื่อดังในประเทศญี่ปุ่น
หนังดัดแปลงมาจากหนังสืออัตชีวประวัติของ อะคิยูกิ โนซากะ ผู้สูญเสียน้องสาวตัวน้อยๆ
ด้วยสาเหตุจากการขาดอาหารระหว่างสงคราม สุสานหิ่งห้อยออกฉายในปี ค.ศ. 1988
กำกับโดยอิซาโอะ ทาคาฮาตะ (Isao Takahata)
มีเรื่องราวเกี่ยวกับแมลงมีแสงหรือหิ่งห้อยที่ผูกพันอยู่กับตำนานความเชื่อของผู้คนอยู่มากมาย
อย่างเช่น ชาวจีนในอดีตเชื่อว่าหิ่งห้อยเกิดขึ้นจากหญ้าที่กำลังไหม้ไฟ
ในขณะที่ตำนานทางยุโรปเล่าสืบต่อกันมาว่าเมื่อใดหิ่งห้อยบินเข้ามาที่หน้าต่าง
นั่นเป็นสัญญานเตือนว่ากำลังจะมีคนตาย
และมีบางความเชื่อบอกเราว่าจริงๆแล้วแสงระยิบระยับจากหิ่งห้อยเหล่านี้ส่องสว่าง
เพื่อปลุกเราให้ตื่นขึ้นจากความไม่รู้และความมืดมิดในโลกใบนี้เท่านั้นเอง
"วันที่ 21กันยายน2488,ผมตายในคืนนั้น" วิญญานของเด็กชายเซอิตะกล่าวบอกเรา
หลังจากตะวันลับขอบฟ้า แสงวิบวับตามพงหญ้าล่องลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า
ห้อมล้อมเด็กหญิงวัย4ขวบเซทสุโกะและเซอิตะพี่ชายวัย14ขวบ
ที่ปรากฏกายขึ้นยืนในพงหญ้าข้างนอกสถานีรถไฟเมืองโกเบ
ทั้งสองขึ้นรถไฟและมองออกไปนอกหน้าต่างภายใต้ท้องฟ้าสีแดงฉาน
โดยระเบิดปรมาณู ทิวทัศน์กำลังเคลื่อนขบวนย้อนเวลากลับไปสู่อดีตริ่มต้น
เด็กชายกำลังกลบฝังเสบียงกรังลงหลุมในลานบ้าน
แม่ให้เซอิตะพาเอาน้องสาวผูกหลังไปที่หลบภัยด้วยกัน
แต่ในระหว่างทางเครื่องบินอเมริกันทิ้งลูกระเบิดบี-29ลงมา ทำให้ทั้งสองพลัดหลงกับแม่
เส้นทางที่ไปหลุมหลบภัยก็ถูกระเบิดเพลิงลง เขาจึงพาน้องไปหลบอยู่ที่กำแพงหินริมทะเล
แล้วจึงย้อนกลับมาหาทางไปบ้าน ซึ่งทุกแห่งในบริเวณนั้นถูกทำลายย่อยยับ
ทั้งสองพยายามเดินตามหาแม่ที่โรงเรียน เซอิตะพบแม่ถูกไฟลวกสาหัส
สิ่งที่ทำให้จำแม่ได้ก็คือแหวนที่แม่สวม
หลายวันต่อมาแม่ถูกเอาไปเผารวมกับซากศพอื่นๆ เขาปิดบังน้องสาวไม่ให้รู้ว่าแม่ตายแล้ว
และพากันไปอยู่กับป้าซึ่งแต่แรกนั้นดูแลต้อนรับดี เซอิตะนำเสบียงกรังที่ฝังเก็บไว้มาให้ป้าทำอาหาร
และเอาลูกอมรสผลไม้มาให้เซทสุโกะ น้องสาวอยากไปหาแม่ แต่พี่ชายบ่ายเบี่ยง
เขาพาน้องสาวไปเที่ยวเล่นเพื่อให้ลืม และหวนนึกถึงอดีตเมื่อครอบครัวอยู่พร้อมหน้า
แต่เมื่อป้าคุยถามถึงอาการบาดเจ็บของแม่อีก เขาจึงบอกความจริง
หลังจากอาหารเริ่มร่อยหรอ ป้าบังคับให้เอาชุดกิโมโนของแม่ไปแลกข้าวสาร
ถามหาญาติพี่น้องทางฝ่ายแม่ เซอิตะพยายามเขียนจดหมายหาพ่อแต่ไม่ได้รับการติดต่อกลับ
เซทสุโกะอยากกินลูกอมรสผลไม้แต่เหลืออยู่2-3ลูกในกล่อง
เซทสุโกะเลียกินเศษๆแล้วเอา3ลูกนั้นใส่กลับคืน
เซอิตะจึงเอากล่องลูกอมใส่น้ำแล้วเขย่าเทน้ำออกมาให้น้องสาวดื่ม
เขาคอยดูแลเซทสุโกะพาไปเที่ยวทะเลแช่น้ำเค็ม หวังว่าจะช่วยทุเลาอาการคันที่ผิวหนังของน้องสาวบ้าง ป้าดุด่าว่ากล่าวทั้งสองบ่อยครั้ง เพราะเซอิตะไม่สนใจไปหางานทำ
ป้าพูดว่าอาหารมีไว้สำหรับคนมีค่า เด็กอย่างเธอไม่มีประโยชน์เอาแต่กิน เด็กสองคนจึงทำครัวกินเอง
และในที่สุดทั้งสองก็ทนไม่ไหวหนีออกมาจากบ้านป้า
และเลือกเอาที่หลบภัยซึ่งเป็นเหมืองเก่าไม่ใช้แล้วเป็นที่อยู่
เซทสุโกะกลัวความมืด พี่ชายจึงจับเอาหิ่งห้อยมาปล่อยในมุ้งเต็มไปหมด
มันสว่างไสวเหมือนเรือรบของพ่อในยามค่ำคืนที่เขาเคยเห็น
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาเห็นเซทสุโกะกำลังฝังหิ่งห้อยลงในหลุม
และพูดกับพี่ชายว่า "ป้าบอกว่าแม่ตายแล้วและอยู่ในหลุม"
เซอิตะจึงไม่อาจสะกดกลั้นความเศร้าโศกเอาไว้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ชีวิตในวันต่อๆมายิ่งยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอาหารให้แลกอีกต่อไป
ความอดอยากและความป่วยไข้มาเยือนเซทสุโกะ
จนกระทั่งเซอิตะจำต้องไปขโมยอาหารในตอนกลางคืน
และในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่หวาดกลัวระเบิดหลบซ่อนในที่หลบภัย
แต่เขาไม่กลัวระเบิดเพลิง สิ่งที่เขาทำก็คือวิ่งเข้าไปตามบ้านคนอื่นๆท่ามกลางเปลวเพลิงสีแดง
เพื่ออาศัยเวลาช่วงขณะนั้นหาอาหารหรือสิ่งของที่มีค่าที่พอจะช่วยประทังชีวิตสองพี่น้องต่อไปได้
เซทสุโกะป่วยเป็นโรคขาดอาหารและท้องเสียเรื้อรัง เขาพาน้องสาวไปหาหมอ
แต่หมอไม่มียาให้ไม่มีการช่วยเหลือใดใด เซอิตะจึงเข้าไปในเมืองเพื่อถอนเงินที่เหลือของแม่
ทำให้ทราบข่าวญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ สงครามโลกครั้งที่สองจึงได้ยุติลง
เรือรบทุกลำถูกจมลงทะเล ความหวังว่าพ่อจะยังคงมีชีวิตอยู่จบสิ้นแล้ว
เขากลับไปที่เหมืองเก่านั้น เซทสุโกะกำลังนอนอมลูกหินและกระดุมอยู่ในปาก
มีดินโคลนปั้นเหมือนก้อนข้าววางอยู่ เซอิตะป้อนแตงโมให้น้องและวางเอาไว้
เขาไปทำอาหารและปล่อยให้เธอนอนต่อไป ตั้งแต่นั้นเซทสุโกะก็ไม่เคยตื่นขึ้นอีกเลย
เขานอนกอดน้องสาวในคืนฝนตกและหนาวเย็น
รุ่งเช้าหลังจากการเผาศพน้องสาว
เซอิตะเก็บเถ้าอัฐิของเซทสุโกะใส่ลงในกล่องลูกอมและพกติดตัวไปด้วย
หิ่งห้อยและแสงไฟวูบไหวของมันในยามมีชีวิตมีความหมายเปรียบเสมือนความหวังในยามมืดมน
...แม้ว่าจะเป็นความหวังริบหรี่ก็ตาม...
เช่นเดียวกับลูกระเบิดบี-29 ที่ร่วงพรูติดไฟในท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะเป็นประกายความหวังอันรวยริน
เพื่อที่จะต่อชีวิตของทั้งเซอิตะและเซทสุโกะ จากอาหารที่ขโมยมาเล็กๆน้อยๆ
แต่อีกนัยหนึ่งมันก็ริดรอนความหวังในชีวิตไปทีละน้อยด้วยเหมือนกัน
เมื่อหิ่งห้อยในมุ้งดับแสงตายไปทีละตัวๆจนกระทั่งมืดสนิท
เหมือนกับหลังระเบิดเพลิงผลาญทุกสิ่งหมดสิ้นคงเหลือไว้เพียงเถ้าธุลีในซากปรักหักพัง
และเด็กน้อยที่ไม่มีใครเหลียวแลและหมดหวังจะเติบโตมีชีวิตต่อไป...
ในตอนจบเรื่อง วิญญานของเด็กทั้งสองเทลูกอมแบ่งกันกินจากในกล่อง
ในขณะเดียวกันวิญญานเซอิตะบอกวิญญานเซทสุโกะว่าถึงเวลานอนแล้ว
ไม่ว่าวิญญานของเด็กทั้งสองไปไหนก็จะปรากฏเป็นหิ่งห้อยโบยบินอยู่ไม่ห่าง
แสงระยิบระยับชองมันมีขึ้นพร้อมๆกับวิญญานของเด็กน้อยทั้งสอง
ซึ่งเป็นตัวแทนของความตายก่อนวัยอันควรของเด็กๆอีกมากมายที่ถูกทอดทิ้งในสภาวะสงคราม
การปรากฏตัวของมันอาจเป็นการมาเตือนให้ระวังอันตรายที่รอคอยอยู่
ความน่ากลัวในสงครามอาจไม่ใช่แค่ลูกระเบิดเพลิงและปรมาณูเท่านั้น
ลูกระเบิดเหล่านั้นมันไม่มีชีวิตจิตใจจึงประหัตประหารทุกชีวิตได้ตามกลไกที่มีติดมา
แต่มันกลับช่วยถอดสลักระเบิดที่มีลมหายใจทิ้งเอาไว้ให้ฆ่าฟันกันเอง
เพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่เหลืออยู่อย่างจำกัดต่อไป ซึ่งเราทุกชีวิตต่างก็เป็นเหยื่อในหายนะตัวนี้
ทุกชีวิตต่างก็ได้รับความสูญเสียไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
สงครามจึงไม่ใช่แค่พรากบุคคลอันเป็นที่รักให้ตายจากกันไปเท่านั้น
แต่มันยังพรากสายสัมพันธ์ของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ขาดหายไปหรือให้กลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอีกด้วย
ไว้อาลัย....ให้กับความรัก...ของสองพี่น้อง
มีชีวิตวิบวับกับความหวัง
ท่ามคลื่นคลั่งสังคมยังซมไข้
มองดวงดาวโดดเดี่ยวช่างเปลี่ยวใจ
อยู่แค่เอื้อมเหมือนใกล้..เกินไขว่คว้า
บนความหวังยังหวาดเพราะคาดหวัง
วาดไปยังฝั่งฝันถึงวันหน้า
มองภาพจริงยิ่งกลวงเหมือนลวงตา
หลงในเปลือกมายากลางอารยะ
เห็นหิ่งห้อยวูบวับกับลำแสง
ดั่งดาวน้อยกระพริบแข่งแสงตรรกะ
เพียงดาวเดียวฤๅยิ่งใหญ่ในกาละ
ค้นความหมายภาวะนัยยะนี้
หากเบื้องหลังดาราไร้ฟ้ากว้าง
ราวหิ่งห้อยเคว้งคว้างจากถิ่นที่
ไร้ลำพูแห่งอัมพวาทุกนาที
ยามราตรีร้างแสงตกแต่งกาล
เช่นนี้!!..ล่ะหรือคือความหวัง
วูบวับไหวผุพังแทบทุกด้าน
หรือไม่มีความหวังจีรังนาน
...หรือเพียงผ่านลิบลิบแค่กระพริบตา...
ความรักของครอบครัว... ระหว่างพี่และน้อง
เป็นความรักอันบริสุทธิ์ และลึกซึ้ง
อ่านจบแล้ว..เศร้าค่ะ T_T
บ้านเมืองเรา ยังไม่สามารถนำสื่อประเภทการ์ตูนที่เกี่ยวกับความเป็นสังคม-ชาติ มาใช้ปลูกฝังให้คนในชาติได้มากพอ ...ระยะหลังมาการ์ตูนฝีมือคนไทยออกมาเยอะมาก แต่ก็ยังต้องสู้กับการ์ตูนญี่ปุ่นอย่างหนักหน่วง..
ดีหน่อย ก้านกล้วย..มาช่วยย้ำเตือนความเป็นประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองได้อย่างน่าชื่นชม
ที่บ้าน..ผมซื้อการ์ตูนมาให้ลูกดูบ้างเหมือนกัน เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องไทยๆ ..พื้นบ้านไทยทั้งนั้น
....
ขอบคุณครับ
มาอ่านการ์ตูนค่ะ ชอบอ่าน... ^_^
ไม่ค่อยเห็นหิ่งห้อยนานมากแล้วนะคะ
มีความสุขมากมายนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ความรัก ... ไม่จำเป็นต้องเป็นความรักของหนุ่มสาว
ที่จะทำให้เราซาบซึ้ง
รักของครอบครัว... ลึกสุดใจค่ะ
เสียดายประวัติศาสตร์ไทยที่น่าติดตาม
แต่ไม่มีคนสานต่อ...
ถ้ามีคนนำชีวิต.. และประวัติศาสตร์ไทยมานำเสนอบ้าง
การ์ตูนไทยย่อมเทียบชั้นญี่ปุ่นได้แน่นอนค่ะ
มาช่วยกันปลูกต้นไม้ ... หิ่งห้อยจะได้อาศัยกันนะคะ
หลานม่อน ชอบภาพการ์ตูนมากตาอธิบายเมื่อยมือเลย ยังไม่รู้จักหิ่งห้อยไม่เคยเห็น ขอบพระคุณ
สวัสดีครับ
มาทักทาย และฟังนิทานก่อนนอนครับ
สวัสดีค่ะ คุณตาและหลานม่อน
สงสัย ที่บ้านต้องปลูกต้นไม้ ต้นลำพูเยอะ ๆ แล้วค่ะ
น้องม่อนจะได้เห็นหิ่งห้อย...
อ่านนิทานแล้วนอนหลับฝันดีนะคะ
ชอบมากๆเลย
ดูจบแล้วโคดเศร้าอะTTT^TTT