เย็นวันนี้ไปออกกำลังกายมา
ปรับเปลี่ยนวิธีการวิ่งใหม่เพื่อทดลองดูว่าใจและกายจะรับได้ไหม
หากรับได้จะมีอาการลิงโลด เบิกบานใจ
แม้ร่างกายจะเหนื่อยเพราะออกกำลังกายก็ยังปราถนาจะทำอีกในวันต่อมา
หากกายและใจไม่รับ คงมีอาการเบื่อ แสนเข็ญ และเซ็งงงงง
ต่อมาเมื่อถึงเวลาออกกำลังกาย ใจเบื่อ กายก็คงสำแดงเดช ออกฤทธิ์
เป็นโนน่ เป็นนี่.... นี่คาดการณ์ไว้ก่อน ก่อนลงสนาม
เมื่อลงสนามและทำตามที่คิดไว้ เอาสเต็ปการเต้น รุมบ้า
มาใช้วาดลวดลายไปตามลู่วิ่ง
กลับรู้สึกคึกคัก ลิงโลดใจ สนุกขึ้นมา กระโดด เขย่งปลายเท้า เอาสีข้างวิ่งไป
โดยสลับหันซ้าย สไลด์ไป 4 ก้าว หันขวา สไลด์ไป 4 ก้าว
แล้วใจก็ร้องบอก
เข้าซอง...แล่นปรี๊ดไปโลด! เออ ครูต้อยทำได้ 555+
วิ่งระยะทาง 3 รอบ รวดเดียว แบบหอบๆ แบบมีอาการที่เรียกกันว่าหืดขึ้นคอ อิอิ
แล้วปรับร่างกายให้ช้าลงเพื่อให้ร่างกายนี้ได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
ฉันเองได้มีเวลาพิจารณาลมหายใจว่าเมื่อกี๊ หายใจเร็ว แล้วเป็นอย่างไร
ร่างกาย เลือดลม เหงื่อมันไหลอย่างไร
และเมื่อหายใจช้าลงหลังจากหอบแบบหืดขึ้นคอ ร่างกายเป็นอย่างไร
ผ่อนคลายช้าๆ ไม่ล้า แต่มั่นคง ดูลมหายใจสังเกตจังหวะการเต้น ยังคงปกติ
และราบเรียบได้เร็วขึ้น อย่างนี้ฉันน่าจะควบคุมเรื่องความดันโลหิตได้แน่
เมื่อตื่นเต้นเลือดจะฉีดเร็ว หัวใจจะปุปปัปๆๆๆๆๆ ไม่เป็นจังหวะ ใจหาย
แต่ถ้าเราฝึกบ่อยๆ จนชำนาญ เราน่าจะควบคุมการตื่นเต้น
ควบคุมการหายใจ ได้ดี
และน่าจะมีผลต่อไทรอยด์ได้ ไม่ต้องใจหายแว๊บ
หัวใจเหมือนหล่นติ๊วลงไปกองที่ปลายเท้า
ตามด้วยอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หมดแรง ไม่กระปี้กระเปล่า ไม่สดชื่น
แล้วร่างกายก็จะหลั่งสารอะไรที่ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายออกมา
พรุ่งนี้ฉันจะลองทำเช่นนี้อีก
โดยเริ่มจากการทำสมาธิ ให้ใจพร้อม กายพร้อม
แล้วเริ่มยืดกล้ามเนื้อ บอกให้กายรู้ตัว ไปพร้อมๆกับลมหายใจ
ให้กายและใจเริ่มทำงานพร้อมกัน อย่างสามัคคีกัน
ตามด้วยโยคะ เสร็จแล้ว นั่งลงปล่อยให้ร่างกายสบายๆ
ปล่อยลมหายใจโดยไม่ต้องควบคุม ปล่อยไป สบาย และเบา นิ่ง
ยืนขึ้น ขยับขา เข้าๆ ออกๆๆ เข้าๆๆ ออกๆๆ อื้อ.. ดีมาก
ร่างกายเริ่มเคลื่อนไหว ใจเริ่มเคลื่อนตามลีลาเท้า และ รุมบ้า ดีมาก
ก้าวออกมาๆๆๆ เข้าสู่ลู่วิ่ง ใช้ลู่นอกจะได้ไม่เกะกะใครเขา
ไปอีก ไปอีก โอ้ 100เมตร ผ่านไป ดีมาก สนุก และคึกคัก
ลองเขย่งขาโดยสไลด์ซ้าย และขวา เป็นจังหวะ และหันกลับประมาณ 50 เมตร
ตามองตรง เห็นลู่ตรง ต้นไม้ริมรั้ว สวย เขียวขจี
นั่นแหละเป็นหมายที่ฉันจะผ่านเป็นจุดแรก
จะไปยิ้มรับความสดชื่นที่นั่น น่าวิ่งมาก
ไปเลย................
ดูลมหายใจ และดูกาย วิ่งควบคุมความเร็วในระดับนี้แหละ
ไม่ต้องเร็ว สังเกตการเต้นของหัวใจ เหนื่อยไหม รู้สึกอย่างไร หายใจขัดไหม
ไปเรื่อยๆ ดีมากคงสมาธิให้อยู่กับการเคลื่อนไหวร่างกาย
กายเคลื่อน ใจเคลื่อนควบคู่กันไป
โอ้ ครบ 800 เมตร แรก
ผ่อนความเร็วลงเพื่อคลายกล้ามเนื้อ และให้ห้วใจได้ทำงานเบาขึ้น
ไม่ต้องสูบฉีดแรงขนาดนั้น เอาให้พอดีกับขาที่เคลื่อนไป ..โอเค
พร้อมวิ่ง1 2 3 หายใจเข้า 1 2 3 หายใจออก ทำเหมือนที่ทำอยู่ทุกวัน
แต่วันนี้ต่างกันที่ใจ ที่ผ่านมาทำเพราะพันธะว่าต้องทำเพื่อสุขภาพ
แม้ใจจะขี้เกียจ ก็ทำ เพราะอยากมีสุขภาพดี
แต่วันนี้ เป็นวันแรกที่ทำเพราะอยากจะทำ
ทำอย่างมีความสุข สนุกกับการออกกำลังกาย อื้อ อย่างนี้นี่เอง
ออกกำลังด้วยการร้องรำทำเพลง
ให้ครื้นเครงเสียงเพลงบรรเลงจับใจ
เราร้องรำไปไม่มีหม่นฤทัย
เพราะเราเพลินใจด้วยการร้องรำทำเพลง
นึกออกได้ไงนี่ อิอิ
เพลงนี้หนะแม่สอนให้ร้องให้เต้นตอนเด็กๆ
อาจเป็นเพราะใจสบายไม่มีอะไรมากดดัน
ร่างกายได้ขับสารพิษออกเสียบ้าง
และความจำผนวกกับความสุขในอดีตมันมาเจอกันในสภาพการณ์ที่เคยได้รับ
เรียกว่าประสบการณ์เดิม บวกความรู้ใหม่ ผนวกเข้ากันอย่างเหมาะเจาะ
ทำให้เกิดแรงขับ ความจำที่ลบเลือนถูกขับออกมาในสถาณการณ์ที่เคย
จึงทำให้เกิดการจำได้ขึ้นมา ...วิ่งไปอีก..เหงือออก
ร่างกายมีพลังความร้อนขึ้นมารอบๆ แต่เป็นความร้อนที่เป็นสุข
สังเกตการไหลของเหงื่อ เหงื่อที่ไหลจากไรผม ลงมา
เหงื่อจากข้อพับแขน อ้อมลงมาที่ข้อศอก ไหลลงไปปลายนิ้วก้อย
และโดนลมพัดหลุดไป
เหงือจากแผ่นหลังตอนกลาง
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเหงื่อมันไม่ไหลจากไหล่และคอ
มันออกมาจากกลางหลังและไหลเปียกบริเวณแผ่นหลัง
ตั้งแต่เอวลงไปถึงปลายเท้าไม่รู้สึกว่าเหงือไหลเลย
แต่รับรู้ว่าเหงื่อออกมาตามรูขุมขนรู้ว่าเปียกไปด้วยเหงือ ตัวเป็นมันผสมเหงือ
อาจเป็นของเสียที่มีไขมันผสมออกมานะ ฉันคิด เพราะมันเหนียว
และเพลินไปกับการพิจารณาร่างกาย กับดูลมหายใจ ฉันวิ่งผ่านไป 6 รอบ
โดยไม่หยุดเลย และรอบที่ 7 ฉันผ่อนด้วยการเดินเร็ว และช้า และวิ่งรอบที่8
ฉันวิ่งเหยาะๆ และรอบที่9 ฉันเดิน รู้สึกดีมากและใจบอกว่าวันนี้พอเถอะ ดีมาก
ฉันชมตัวเอง และรางวัลคือรอยยิ้ม
ฉันไม่ลืมที่จะแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวร และเทวดา ตามความเชื่อ
พ่อแม่ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ญาติ
ผู้เกี่ยวข้องกับฉันทุกคนทุกรูปแบบทุกสถานที่
เรากลับบ้านอย่างมีความสุข
กลับมาบันทึกความงามที่ฉันสัมผัสได้ในวันนี้
ขอบคุณพลังแห่งความดี
ทั้งหมดในบันทึกนี้เกิดจากการได้เข้าไปอ่านไปติดตามบันทึก และโต้ตอบในบันทึก ตลอดจนการได้รับคำแนะนำบางอย่างที่สะกิดใจให้คิดและอยากทำขึ้นมา เป็นลักษณะการสั่งสมความคิด การคิดตาม การคิดแตกออกมา ที่ฉันได้สัมผัส ลายสือของผู้ใช้นามปากกาว่า กะปุ๋ม ทราบภายหลังว่าเธอเป็นดร. ฉันจึงใช้ชื่อบันทึกนี้ว่าดร.กะปุ๋ม ก่อนหน้านี้ฉันมักเรียกเธอผิดๆว่า กระปุ่ม กระปุก กระปุ๊ก ซึ่งต้องขออภัย ณ ที่นี้ เพราะฉันมักติดตามบันทึกที่ฉันอยากเรียนรู้โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับชื่อมากไปกว่าเนื้อหา องค์ความรู้ที่ฉันได้รับ และกว่าฉันจะรู้ว่าเขาผู้ให้ความรู้เป็นใคร บางทีก็สายไปแล้วเสมอ