บทความเรื่องระลึกชาตินี้แต่งโดย น.พ.บัณฑิต เลขวัต อดีตรองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ท่านเสียชีวิตไปเกือบ 20 ปีแล้ว เป็นบทความที่เผยแพร่ในวารสารยมราช พันคำได้นำมาเขียนบันทึก ตอนแรกอยู่ที่นี่ครับ
ส่วนนี้คือส่วนสุดท้ายครับ
แพทย์หญิง Helen Wambach Ph.D. เป็นจิตแพทย์อยู่ที่ Monmouth Medical Center in Long Branch, N.J. ปรกติเธอไม่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับการระลึกชาติ และเรื่องของความประหลาดต่างๆ ที่เรียกว่า Parapsychology วันหนึ่งในปี ค.ศ. ๑๙๖๖ เธอไปที่ห้องสมุดของ Quaker Memorial ซึ่งเป็นห้องสมุดเก่าแก่เล็กๆแห่งหนึ่ง ขณะที่เดินเข้าไปในห้องนั้น ทันใดนั้นเธอรู้สึกว่ามีอาการงงงวยคล้ายกับอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า Altered state of Consciousness เดินเข้าไปในห้องนั้นคล้ายกับว่าถูกชักนำไป เธอหยิบหนังสือเก่าเล่มหนึ่งขึ้นมา ก็เกิดจินตนาการเห็นภาพตัวเองนั่งอยู่บนหลังม้า และก็แลเห็นหนังสือเล่มนั้นวางบนหลังม้า และก็รู้เรื่องในหนังสือนั้นทั้งเล่มทั้งๆที่เธอไม่เคยเห็นหนังสือนั้นมาก่อน
ต่อมาเธอได้รับคนไข้รายหนึ่ง เป็นเด็กหญิงร่างเล็ก อายุ ๕ ขวบ มีอาการที่เรียกว่า Infantile autism คือแยกตัวเองไม่ยอมติดต่อกับใครเลย ชื่อเด็กหญิงลินดา เด็กไม่ยอมพูดไม่ยอมตอบสนองต่อการทดสอบใดๆทั้งสิ้น เธอจูงเด็กไปที่ห้องนั่งเล่น เด็กสะบัดแขนหลุดหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งแล้วมุดไปใต้โต๊ะ ได้ยินเด็กอ่านหนังสือนั้นค่อยๆ แม่เด็กบอกว่าเด็กอ่านหนังสือได้เอง ไม่มีใครสอน ตั้งแต่เกิดไม่เคยเล่นหัวกับใคร เล่นอยู่คนเดียว เขียนกระดานดำได้ และเขียนตัวเลขการคำนวณได้อย่างชำนาญ เธอพยายามทำตัวสนิทกับเด็กอยู่ ๑๐ เดือน เด็กจึงยอมเล่นด้วย แต่ก็เล่นแบบให้เธอทำตัวเป็นเด็กอ่อน และเด็กนั้นทำตัวเป็นแม่เอานมใส่ขวดมาให้เธอดูด ต่อจากนั้นเธอก็พยายามสอนเด็ก อธิบายให้เข้าใจถึงสภาพของเด็กเอง ในที่สุดเด็กก็ยอมรับความจริง และไปเข้าโรงเรียนอนุบาลร่วมกับเด็กอื่นๆได้ แพทย์หญิงเฮเลนกล่าวว่า โรคของเด็กหญิงลินดานั้นคล้ายกับเด็กไม่ยอมรับร่างของตนในปัจจุบัน ยังคิดว่าตนเป็นผู้ใหญ่อยู่ในชาติก่อน
คนไข้อีกรายหนึ่งที่มาให้เธอรักษา เป็นเด็กผิวดำ อายุ ๕ ขวบ ชื่อปีเตอร์ เป็นโรคที่เรียกว่า Hyperactive behavior คือมีนิสัยอยู่นิ่งไม่ได้ เรียนหนังสือในชั้นไม่ได้มีอาการกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา อยู่นิ่งได้ไม่เกิน ๑๐ นาที จะต้องวิ่งไปที่นั่นที่นี่อยู่เรื่อยๆ เธอพยายามทำตัวให้คุ้นเคยกับเด็กจนเด็กยินดีพูดคุยด้วย เธอประหลาดใจมากเมื่อเด็กพูดว่าตัวเขาเป็นตำรวจจราจรในชาติก่อน และเขาชอบเล่นบาสเก็ตบอล ชอบสูบบุหรี่ และขออนุญาตสูบบุหรี่แตถูกห้ามไว้ เมื่อเธอถามรายละเอียดในชาติก่อนเด็กก็เล่าให้เธอฟังอย่างเต็มใจและดีใจ บอกว่านอกจากเธอแล้วก็มีน้องของเธอซึ่งอายุ ๓ ขวบเท่านั้นที่ยินดีฟังเรื่องในชาติก่อนของเขา
เธอไปสอบถามแม่ของเด็กชายปีเตอร์ถึงเรื่องนี้ แม่เด็กบอกว่า ลูกของนาง เคยบอกกับนางเมื่อเด็กอายุได้ ๓ ขวบว่าเมื่อชาติก่อนเขาเป็นตำรวจ แม่เด็กดุเอาว่าอย่าเอาเรื่องเหลวไหลอย่างนี้มาพูด ไม่ดี ตั้งแต่นั้นเด็กไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเธออีกเลย ในระหว่างการรักษาอาการของปีเตอร์ไม่ดีขึ้น วันหนึ่งเขาหายไป ต่อมามีตำรวจจับตัวมาส่งบอกว่าปีเตอร์ไปยืนอยู่กลางถนน คอยให้สัญญาณจราจรแก่รถที่วิ่งไปมา เด็กรักษาไม่หาย ต่อมาก็ออกจากโรงพยาบาลไปและเธอก็มีความรู้สึกว่าไม่เป็นการสมควรเลยที่จะให้เด็กยึดมั่นอยู่กับชีวิตในชาติก่อน
จากประสบการณ์เหล่านี้และการรักษาผู้ป่วยที่มีประวัติคล้ายกันนี้ อีกรายทำให้ ดร.เฮเลน แวมบัค มีความรู้สึกว่าในจิตส่วนที่ลึกที่สุดของเรานั้น อาจมีเรื่องราวที่ซ้อนเร้นอยู่หรือเรื่องราวในชาติก่อนแฝงอยู่ ถ้าสามารถเข้าไปในจิตไร้สำนึกของเขาได้ ก็อาจจะรู้เรื่องในชาติก่อนได้ เธอได้ทดลองใช้การสะกดจิตในอาสาสมัครเพื่อการค้นคว้า จำนวน ๑,๐๘๘ ราย โดยสะกดจิตให้อยู่ในภวังค์ที่ลึกที่สุด และให้ผู้ที่ถูกสะกดถอยหลังอายุของตนเองลงไปตามลำดับ จนไปถึงชีวิตในชาติก่อนๆ ให้ผู้ถูกสะกดพูดได้ตอบคำถามได้ โดยที่อยู่ในภวังค์
ในการทดลองสะกดจิตรายแรกๆนั้น ดร.เฮเลน แวมบัค ใช้วิธีสะกดจิตเป็นรายบุคคลต่อมามีผู้เข้าร่วมการทดลองมากขึ้น จึงใช้วิธีสะกดจิตเป็นหมู่ โดยให้นอนในท่าสบายเธอใช้คำพูดชักนำให้ผู้ถูกสะกดทำจิตเข้าสู่ภวังค์ แล้วชักจูงจิตให้แลเห็นชาติในอดีตกาลเป็นระยะๆโดยใช้คำพูดที่เหมาะสม บางทีก็ซักถามความรู้สึกของผู้ถูกสะกดในขณะที่อยู่มนชาติอดีต ผู้ที่มาสมัครเพื่อการทดลองนั้นมีทั้งหญิงและชาย ให้ระลึกชาติในอดีตย้อนกลับไปอย่างน้อยคนละ ๓ ชาติ บางคนย้อนกลับไปถึง ๑๕ ชาติ พอจะสรุปผลการทดลองได้ดังนี้
๑. ชาติในอดีตของแต่ละคนนั้น ล้วนแต่เคยเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงมาแล้วทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายในปัจจุบัน
๒. บางคนย้อนระลึกชาติไปได้หลายร้อยปี จนถึง ๕๐๐๐ ปีในอดีตก็มี ซึ่งก็ไม่สามารถตรวจสอบหลักฐานได้ว่าจริงหรือเปล่า แต่จากการสอบถามถึงสังคมที่เขาอยู่ในเวลานั้น เป็นประเทศใด การแต่งตัวอย่างไร กินอาหารอย่างไร ทำงานอย่างไร มีชื่อว่าอะไร เงินที่ใช้เป็นอย่างไร วัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ แล้วเอาไปเปรียบเทียบกับหลักฐานทางโบราณคดี พบว่าหลายอย่างเป็นเรื่องจริง ทั้งๆที่ผู้ถูกสะกดนั้นไม่เคยมีความรู้ในเรื่องเหล่านั้นมาก่อนเลย ผุ้หญิงคนหนึ่งกล่าวถึงลักษณะเงินเหรียญที่ใช้ในสมัยโบราณ ซึ่งไม่มีใครเคยเห็น ต่อมาก็ปรากฏว่ามีนักโบราณคดีค้นพบเหรียญที่มีลักษณะอย่างนั้นจริง ผู้ถูกสะกดชายรายหนึ่ง ขณะที่ระลึกชาติย้อนหลังไปหลายพันปี เกิดเป็นชาวอียิปต์ เขาสามารถพูดภาษาอียิปต์โบราณและเขียนได้
๓. บางคนมีนิสัยกลัวบางสิ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อระลึกชาติในอดีตพบสาเหตุที่ทำให้กลัว ต่อมาก็หายกลัวหรือกลัวน้อยลง เช่นรายหนึ่งกลัวน้ำ ไม่กล้าเดินทางทางเรือ พบว่าในอดีตเคยจมน้ำตาย พอรู้สาเหตุหลังจากนั้นก็ไม่กลัวต่อไปอีก รายหนึ่งกลัวม้า พบว่าในชาติอดีตถูกม้าเตะตาย
๔. บางคนระลึกชาติได้ในระยะที่พอจะค้นหาหลักฐานได้ เธอและคณะก็ค้นหลักฐานสอบสวนดูพบว่ามีตัวบุคคลและสถานที่ เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นจริง
๕. มีหลายรายให้การสับสน เป็นความคิดในจิตใต้สำนึกของตนเอง ผู้หญิงรายหนึ่งบอกว่าพบชาติในอดีตของตนเป็นพระนางคลีโอพัตราเป็นต้น มีหลายรายที่ตรวจสอบจากการระลึกชาติพบว่าไม่เป็นความจริง
๖. ชีวิตในชาติต่างๆนั้น ไม่มีความผูกพันต่อเนื่องกัน คล้ายกับการแสดงละคร เรื่องหนึ่งจบลง ก็ไปแสดงเรื่องใหม่ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใดเลย ซึ่งในข้อนี้ผิดไปจากหลักกฏแห่งกรรมในพุทธศาสนา
๗. ภายหลังการตายในแต่ละชาตินั้น ส่วนมากบอกว่ารู้สึกมีความสุข มีอยู่รายหนึ่งยิงตัวตายเพราะประสบปัญหาชีวิตที่แก้ไม่ได้ หลังจากตายแล้วรู้สึกว่ายังคงมีความทุกข์อยู่ในปัญหาเช่นเดิม ไม่สามารถหนีปัญหาไปได้ และไม่มีความยินดีเลยที่ได้กระทำไปเช่นนั้น
๘. ในแต่ละชาตินั้นหลายคนเกิดในประเทศที่ต่างๆกัน บางทีก็ไปเกิดในประเทศที่เป็นศัตรูกับประเทศของตนในปัจจุบัน
ดร.เฮเลน แวมบัค กล่าวว่าผลงานของเธอนั้นใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่เธอก็คิดว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษา และน่าทำการค้นคว้าต่อไป
การระลึกชาติที่กล่าวในตอนนี้นั้น เป็นการระลึกชาติที่ได้จากการทดลอง ตอนต่อไป (พันคำไม่มีวารสารฉบับต่อไป ถ้าสนใจลองติดต่อที่ห้องสมุดโรงพยาบาลโดยตรง ไม่แน่ใจนะครับว่าจะมีไหม) จะกล่าวถึงเรื่องการระลึกชาติที่เกิดขึ้นตามธรรชาติ มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ พร้อมทั้งข้อที่ชวนให้คิดว่าการระลึกชาติได้นั้น มีประโยชน์อะไร หรือไม่ ให้คติอะไรแก่เราบ้าง
ข้อ ๗. น่าสนใจนะครับ ผู้ที่หนีปัญหาโดยการฆ่าตัวตาย โดยไม่แก้ปัญหา มันจะยังคงเป็นปัญหาที่ไม่ได้แก้อยู่ดี