ช่วงนี้ ศิลาเร่งทำงานสำคัญชิ้นหนึ่งให้เสร็จตามกำหนดสิ้นเดือนนี้ จึงไม่มีเวลามาทักทายกัลยาณมิตรที่งดงามใน G2K แต่ขอยืนยันว่าได้อ่านบันทึกของหลาย ๆ ท่าน และทราบความเคลื่อนไหว ความเป็นไป ซึ่งเป็นสภาวะการรู้เท่านั้น
ในช่วงเวลาที่ต้องมีสมาธิในงานที่ทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้เหนื่อยล้าและเบื่อหน่าย ศิลาได้รับคำแนะนำจาก Soulmate ที่แสนดีว่าให้ฟังธรรมบรรยาย ดังนั้น ศิลาจึงได้ฟังธรรมของ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช หลายเรื่องด้วยกัน สำหรับวันนี้ ได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับการจัดการโมหะ ที่ท่านบรรยายที่ สถาบันวิมุตตยาลัย 5 ตุลาคม 2551 รายละเอียดอยู่ในhttp://www.fungdham.com/sound/pramote.html เปิดฟังได้ค่ะ
ในโอกาสนี้ ขอนำบางช่วงบางตอนของธรรมบรรยายโดยพระอาจารย์ปราโมทย์มาฝาก เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจ หรือแรงขับเคลื่อนให้กัลยาณมิตรแวะไปฟังรายละเอียดเพื่อสร้างธรรมในใจกันค่ะ…โอปนยิโก
ตัวอย่างคำบรรยายธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์… ถ้าไม่รู้สภาวะ จะรู้กิเลสไม่ได้ ให้รู้กิเลสโดยไม่แทรกแซง ท่านกล่าวว่า การรู้จากอภิธรรมอย่างเดียว เรียนเท่าไรก็ไม่รู้จบ ให้รู้จากสภาวะธรรมของตน …ยกตัวอย่างเช่น ความง่วง ไม่ใช่กิเลส ง่วงก็ไปนอน แต่ความขี้เกียจ เป็นกิเลส
ความสุขไม่ใช่กิเลส แต่ความพอใจในความสุขคือกิเลส
ที่มาของภาพ http://bi.cpportal.net/trueclubs/Portals/17/Picture%20003_07Jan08.jpg
ท่านกล่าวว่า
“หลวงพ่อไม่เคยเห็นใครจัดการกิเลสได้ มีแต่กิเลสจัดการ” “ธรรมะของพระพุทธเจ้าพอเหมาะพอควรกับมนุษย์ธรรมดา…” “ธรรมะของพระพุทธเจ้าเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้ แล้วเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วด้วย ไม่ใช่อย่างช้า ๆ ถ้าฝึกมาหลายปีแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ให้สำเหนียกว่าผิดแล้วล่ะ…” “โมหะ ความหลงคือหัวโจกของกิเลส ถ้าสู้กิเลสตัวนี้ไม่ได้ อย่ามาสู้ความโลภ ความโกรธ เพราะความโกรธและความโลภมีรากเหง้ามาจากความหลง…ความหลงคือความไม่รู้อริยสัจ” “ศัตรูของความหลง คืออโมหะ องค์ธรรมของโมหะ คือปัญญา การรู้แจ้งเห็นจริงทั้งหลายในสภาวะธรรม” “อวิชชาคือความไม่รู้อริยสัจ …คือหัวโจกของความหลง” “เมื่อไรเราเกิดปัญญา อวิชชาหรือโมหะจะถูกทำลายไป”
“การภาวนาจริง ๆ ง่าย ไม่ต้องทำอะไรเลย คือมีสติ รู้กาย รู้ใจ รู้รูป รู้นาม ที่กำลังปรากฎ เพราะกายกับใจคือตัวทุกข์ ทุกขสัตว์คืออาการที่ปรากฎของรูปสัตว์ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย”
“ทุกข์ที่แท้จริงคือรูปกับนาม กายกับใจ จะเห็นได้ต่อเมื่อภาวนา” “มรรคมีองค์ 8 เกิดขึ้นได้หนึ่งขณะจิต เกิดขึ้นพร้อมกันทีเดียว 8” “ทันทีที่เกิดความอยาก ทันทีนั้นก็จะเกิดความทุกข์ เพราะความอยากเป็นตัวตัณหา เป็นสมุทัย ผลักดันให้จิตเกิดการทำงาน การทำงานของจิตเรียกว่าภพ กรรมภพคือการทำกรรมของจิต สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของการทำงานของจิตคือตัณหา” “จิตมีความอยากเมื่อไร จิตจะมีความทุกข์ แค่อยากก็ทุกข์แล้ว” “มีขันธ์อยู่ก็มีตัวทุกข์แล้ว กายกับใจเป็นตัวทุกข์ รู้ตามความเป็นจริง เบื่อหน่ายคลายกำหนัด และหลุดพ้น” “รู้สึกกายหรือรู้สึกใจให้เป็น
“สติหมายถึงการจำสภาวะได้แม่น หัดดูสภาวะของกายไปเรื่อย ๆ”
“ตัวสภาวะที่ตามองเห็นคือสีที่ตัดกันเป็นรูปร่าง แล้วก็มีสมมติบัญญัติว่าคือมือ คนจีนเรียก ชิ้ว หรือฝรั่งเรียก Hand”
“ดูร่างกาย รู้กาย เห็นร่างกาย ยืน เดิน นอน นั่ง เดิน เป็นอาการปรากฎของรูปเท่านั้นเอง ตัวรูปที่แท้จริงคือ ธาตุ 4 จริง ๆ รู้ได้ยากมาก ความเย็นความร้อนรู้ด้วยกาย อาบน้ำอยู่ ตัวนี้ไม่ใช่ตัวเรา รู้ด้วยกายสัมผัส ตัวนี้ไม่ใช่ตัวเรา ตัวนี้เป็นก้อนธาตุ เจริญสติให้พอ จิตจะตั้งมั่น จะเห็นทันทีว่าร่ายกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู แยกออกไปจากจิต”
“การทำกรรมฐานง่าย ๆ การหัดรู้สภาวะทางใจที่เป็นนามธรรมทั้งหลายของรา คอยรู้สึกอาการของเรา โลภ โกรธ หลง ใจลอย อิจฉา กลัว กังวล สุข ทุกข์ รู้ว่ากำลังโกรธ โลภ หลง หดหู่ ฟุ้งซ่าน สงบหรือไม่ จิตก็จำได้แม่น หน้าที่เราคือแค่รู้สึกขณะนี้สภาวะอะไรเกิดขึ้นในใจเรา”
“ถึงจุดหนึ่งจิตจะจำสภาวะได้แม่น จิตจะจำความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นอย่างไร พอตัวที่จำได้เกิดขึ้น สติก็จะเกิดขึ้นเอง ไม่ใช่เพ่ง จ้อง ขณะที่สภาวะอะไรเกิดขึ้นในตัวเรา เห็นสภาวะบ่อย ๆ คอยรู้สึกไปเรื่อย ๆ สติจะเกิดเอง จิตที่มีสติเกิดขึ้นเอง ไม่ได้จูงใจให้เกิด สติเกิดเองโดยอัตโนมัตินั้น เรียกว่า มหากุศลจิตญาณสัมปยุตอสังขาริกัง”
“สติที่กำหนดอยู่ น้อมใจให้เกิดอยู่ เรียกว่า สสังขาริกัง เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อนไม่พอแก่การทำวิปัสสนา สติที่น้อมใจให้เกิด ไม่ใช่สติเกิดขึ้นจริง”
มีนักคิดมาศึกษากับหลวงพ่อ เป็นนักวิเคราะห์ วิจารณ์ วิพากษ์ มาที่วัดนับ 10 ครั้ง พอดีวิปลาส ไม่เข้าถึงเสียที คนทั่วไป ลืมกาย ลืมใจ คือขาดสติ จริง ๆ เพียงแค่เห็น แค่รู้
“มีสติก็ไม่มีโมหะ หน้าที่ของโมหะคือการปิดบังการรู้สภาวะ เมื่อปิดบังเสร็จแล้วจิตใจมืดบอด หัดรู้สภาวะ จนใจไปเห็นสภาวะที่กำลังจะเกิด ทันทีที่เห็นก็จะตื่นขึ้นมา ทันทีที่รู้ทันสภาวะที่ปรากฎก็จะตื่นขึ้นมา สภาวะที่เกิดมากที่สุดคือสภาวะ หลงไปคิด”
“หลวงพ่อเทียน สอนว่า "ถ้ารู้ว่าจิตคิด จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ… ไม่ใช่รู้เรื่องที่จิตคิด..." ต้องมีสติก่อน ปัญญาจึงจะเกิดตามมาก “สติรู้ถึงตัวสภาวะ ปัญญารู้ลักษณะ”
ปัญญาความรู้แจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์
สมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
“มิจฉาสมาธิ สมาธิที่ทำให้เซื่องเซา สมาธิที่ดีความตั้งมั่นของจิตระหว่างที่รู้อารมณ์
สมาธิที่ใช้ได้ไม่ได้ คือจิตที่ไหลเข้าไปแช่อยู่ในตัวอารมณ์ เมื่อนั้น อารัมมณูปนิชฌาน คือการทำสมถะกรรมฐาน ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญา”
สมาธิที่ทำให้เกิดปัญญา ผู้รู้ ผู้ดู ผู้ตั้งมั่น ผู้สังเกตปรากฎการณ์ทั้งหลาย
วิธีฝึก มีสองวิธี ได้แก่ ทำฌาณ จนจิตเข้าสู่ เอโกทิภาวะ ภาวะแห่งการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น แบบนี้คนส่วนใหญ่อย่างเรา ทำกันไม่ได้ ให้ใช้วิธี รู้ทันว่าจิต เมื่อใดรู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่นแล้วจะตั้งมั่นเอง ภาวะแห่งการตื่นทีละแว่บ ตั้งมั่นด้วยขนิกสมาธิ ทำได้แค่นี้แหละคนเมือง ฝึกเอาทีละขณะ เก็บเงินทีละบาท ๆ คล้าย ๆ คนยากจน
รู้จิตที่ฝัน ที่หลงไป จิตจะตั้งมั่นขึ้นมา สังเกตไหมว่าเราลืมตัวเองบ่อย ๆ สติจะรู้ว่าอะไรหลงไป ก็จะตั้งมั่นขึ้นชั่วคราว
เงื่อนไขของปัญญา คือสติ - รู้ถึงการมีอยู่ ปรากฎของกายของใจ ระลึกรู้เห็นกาย เห็นใจ
- ใจแห่งการตั้งมั่น
เราได้ยินธรรมะ ก็เป็นเรื่องทั่ว ๆ ให้ทำทาน ทำบุญ ห้ามนู้นห้ามนี้ คิดว่าการปฏิบัติ จะต้องทำอะไรที่ไม่ธรรมดา ทั้งที่ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา สติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง รู้อยู่เฉพาะหน้า
“หลวงตามหาบัว การปฏิบัติไม่มีอะไรมาก ให้มีสติรู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน”
เราลืมกาย ลืมใจตัวเองทั้งวัน เราเห็นแต่กายกับใจของคนอื่น เราสนใจคนอื่น ไม่สนใจตนเอง จงน้อมเข้ามาเรียนรู้ตัวเอง ทีเรียกว่าโอปนยิโก (น้อมธรรมเข้ามาสู่ใจ)
สิ่งที่เราขาด คือ ขาดสติ หลงไปบ่อย ๆ ลืมตัวเองทั้งวัน รู้แต่เรื่องที่คิด เห็นแต่คนอื่น อีกประการคือ ขาดสัมมาสมาธิ ใจไหลไปคิด ไหลไปตลอด จริง ๆ เราขาดสองตัวที่ทำให้เกิดปัญญา ขาดมรรคผล นิพพาน ขาดเครื่องมือที่สร้างปัญญา สังเกตจิตที่ตั้งมั่น ใจไหลไปมา ร่างกายเคลื่อนไหว รู้ไปมา
“การปฏิบัติไม่มีอะไรมากหรอก ให้มีสติ รู้กาย รู้ใจ ลงปัจจุบัน แต่เรากลับสนใจคนอื่น เราไม่สนใจตนเอง จึงต้องมีโอปนยิโก น้อมจิตมาสู่ตน ต้องมีจิตตั้งมั่น
หลงบ่อย ๆ ขาดสติ และขาดสัมมาสมาธิ ใจไหลไปทางหู ทางตา ทางใจ ขาดเครื่องมือสู่นิพพาน
จงหัดดูสภาวะไปเรื่อยๆ สังเกตจิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตที่ไหลไปไหลมา ร่างกายเราเคลื่อนไหว สังเกตไปมา อย่าเพ่งจิต ฝึกสติให้เร็วขึ้นไมใช่หน่วงอารมณ์ให้ช้าลง
ดูพระภิกษุทั้งหลาย จิตมีราคะ ให้รู้ว่ามีราคะ รู้ว่ามีโทสะ หัดรู้ จิตจำสภาวะได้แล้ว สติเกิดเอง ใจที่ตั้งมั่น ปัญญาคือการเห็นไตรลักษณ์ของกาย ของใจ
ใจที่นิ่งเฉย ๆ เป็นการข่มกิเลสไว้เฉย ๆ ปล่อยจิตให้เป็นธรรมชาติ ปัญญาจะเกิด จะเห็นไตรลักษณ์ ถ้ากดนิ่งแล้ว ไตรลักษณ์จะอยู่ที่ไหน ในเมื่อไตรลักษณ์มีแต่ความเปลี่ยนแปลง รู้ทันว่าใจมันไหล รู้เท่าทัน
ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น สักว่ารู้ สักว่าเห็น
รู้ทุกข์ กายกับใจ จะรู้แจ้งว่าเป็นไตรลักษณ์ จะสลัดทิ้ง
สมุทัยจะถูกละอัตโนมัติ
ความอยากให้เป็นสุข หรือพ้นทุกข์ไม่มี
นิโรธหรือนิพพานจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา”
สาธุ สาธุ สาธุ
มิน่าละคุณศิลาหายไปนาน คิดถึงๆๆ ขอฟังธรรมมะด้วยคนครับ
ธรรมสวัสดีครับ
ขออนุโมทนาบุญครับ
เห็นท่านหายไปนานทีเดียว ตอนนี้กระจ่างแล้ว มาน้อมนำธรรมะครับ ขอให้มีความสุขกับการทำงานนะครับ ขอบคุณมากครับ
หายเงียบไป เพื่อไปจัดการการงานและกิเลสนี้เองครับ
สาธุ ครับ
ขอหลบไปจัดการกิเลสตัวเองด้วยคนครับ
การเพ่งโทษผู้อื่นครับ เป็นกิเลสตัวฉกาจที่ต้องจัดการ ทำให้บดบังมองไม่เห็น
กายกับใจครับ
ขอบคุณครับ
เราลืมกาย ลืมใจตัวเองทั้งวัน เราเห็นแต่กายกับใจของคนอื่น เราสนใจคนอื่น ไม่สนใจตนเอง จงน้อมเข้ามาเรียนรู้ตัวเอง ทีเรียกว่าโอปนยิโก (น้อมธรรมเข้ามาสู่ใจ)
โดนใจมากขอรับ
ขอบคุณครับ
แวะมาทักทาย คุณ sila ครับ
ไม่ได้กล่าวคำว่า สวัสดี กับคุณ นานแล้ว
สวัสดี ครับ... กัลยาณมิตร
ผมหอบเอา กำลังใจมาฝาก ...ให้ทุกวันเป็นวันของคุณ
รับซาลาเปามั้ยค่ะพี่ศิลา
อิอิ
กอกลับมาจากเมืองนนท์
ไม่อยากเป็นคน
แต่อยากเป็นซาลาเปา อิอิ
พี่ศิลา อยากเป็นซาลาเปามั้ยค่ะ
รออยู่น่ะ รออยู่น่ะ ตอบด้วย
ตัวโมหะมันหลอกเก่ง และ ไวมาก
จะพยายามตามให้ทันครับ
แวะมารับธรรมจากหลวงพ่อด้วยคนครับ...สาธุ
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับคุณ sila phu-chaya
ขออนุโมธนาด้วยนะครับที่ได้แกะเสียงเทศน์หลวงพ่อ -/\-
ตรงนี้มีใส่เครื่องหมายคำพูดผิดไปนิดนึงหรือเปล่าครับ
“หลวงพ่อเทียน สอนว่าถ้ารู้ว่า “จิตคิด จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ… ไม่ใช่รู้เรื่องที่จิตคิด..." ต้องมีสติก่อน ปัญญาจึงจะเกิดตามมาก “สติรู้ถึงตัวสภาวะ ปัญญารู้ลักษณะ”
น่าจะเป็น
“หลวงพ่อเทียน สอนว่า "ถ้ารู้ว่าจิตคิด จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ… ไม่ใช่รู้เรื่องที่จิตคิด..." ต้องมีสติก่อน ปัญญาจึงจะเกิดตามมาก “สติรู้ถึงตัวสภาวะ ปัญญารู้ลักษณะ”
ขอบคุณอีกครั้งครับ :)
สวัสดีค่ะพี่ศิลา
มาขอฟังธรรมด้วยคนค่ะ
“การปฏิบัติไม่มีอะไรมากหรอก ให้มีสติ รู้กาย รู้ใจ ลงปัจจุบัน แต่เรากลับสนใจคนอื่น เราไม่สนใจตนเอง
ฝึกมองใจตนนะคะพี่ศิลา บางทีเอ...รู้สึกโมโห...รู้ทันว่าตนเองกำลังโมโห
เอ๋สกิดเตินตัวเองว่า นี่ๆเธอกำลังใส่อารมณ์กำลังโกรธนะ...เบาลงเย็นลง...
แล้วก็จางหายไป...
ขอบคุณค่ะพี่ศิลา...^_^
สวัสดีครับ คุณ Sila Phu-Chaya
แวะมาอ่านธรรมมะเรื่อยๆ และบ่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้เขียนเท่าไหร่ อ่านแล้วก็ทำให้ใจดีขึ้น ได้แง่คิดที่ดีมากมาย บางครั้งกำลังเกิดกิเลสอยู่พอดี เกิดบ่อยๆ หลงตัวเองมากมาย ยึดมั่นถือมั่น พอนึกได้ก็ลดลงแต่ไม่หมดซักกะที เผลอเป็นมาเยี่ยมใจเราทุกทีเลย บางครั้งใจเผลอให้ครอบงำเป็นเดือนเลย คิดซ้ำๆ เรื่องเดิมๆ ดันไปมองแต่คนอื่นลืมมองใจตนเองที่อยู่ใกล้แค่เนื้ย
ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่า "เราหลงไปอีกแล้วนะ กลับเข้าที่ด่วน" ยินดีที่ได้รู้จักัลยาณมิตรทางธรรม
คุณหมอคะ
เข้ามรับธรรมะดีดี ไปปฎิบัติเพื่อเป็นศิริมงคลคะ
ขอบคุณมากคะ
สาธุ อนุโมทนาค่ะ
น้องศิลาค่ะ
พี่เก็บเว็บไว้ฟังธรรม และฟังก่อนนอนแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ ดูตัวเอง ดูใจ ดูกายสัมพันธ์กัน ลดละ ไอ้ตัวเกิด ตามรู้ รู้ทันมันหายไป
บอกว่าจะตื่นตี 5 ใจบอกจิตรับรู ถึงเวลามันตื่น ดันมีกิเลสติดสบาย วันหลังจิตมันลืม หรือแกล้งงอน มันไม่ปลุกแล้ว มันไม่อยากจะยุ่ง
เอาใหม่บอกจิต คราวนี้ไม่เหลวไหลแล้ว ลองใหม่นะ ปรากฏว่า ก่อน 2 นาทีมันตื่น ได้สติรีบลุก แล้วทำอย่างนี่ ไปมันจำได้ ทีนี้ไม่ต้องบอกถึงเวลามันตื่นเอง อิอิ จิตหนอจิต มีหลายอย่างที่เล่นกับจิต ใครจะชนะ ก็พิจารณาหากชนะแล้วไม่เกิดความดี ชนะไปทำไม
เดิน วิ่ง ดูขา ดูเท้า ดูท้อง ดูกระเพาะตัวเองทุกวัน ดูว่ามันปวดอย่างไร เจ็บตรงไหน เจ็บอย่างไร วิ่งสู้กับมันดูซิว่าจะวิ่งได้ไหม ใกล้แล้ว ใกล้สำเร็จ ใกล้แล้วที่จะบอกลาเบาหวานระยะเริ่มแรก อยู่ที่ต้องฝึกใจบ่อยมาก ฝึกทั้งวัน เอาชนะตัวเอง เตือนสติเรื่องปากท้อง เตือนบ่อยมาก ทรมานก็เตือนใจ น้อมใจนึกถึงผลที่จะเกิดในวันหน้า ของจริงมีให้พิจารณา รอบตัว รอบด้าน รอบบ้านก็มี อะไรคือเหตุ ประมาท ก็ใช่ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ขอบคุณครับ จะคอยตามรู้ ตามดูครับ
ดีจังเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ