คิดเรื่องงาน (36) : จับอาการของลูกทีม (ถอดบทเรียนจากวันนี้...สู่วันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว)


เขาไม่ได้อยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้…หากจำต้องออกจากบ้านไปสะสางเรื่องส่วนตัวบางเรื่อง ก็ขอให้ฝากงานไว้กับพี่ๆ น้องๆ ในบ้าน

วันนี้  ผมมีประชุม 4  เรื่องทับซ้อนกัน 
เรียกได้ว่าเฉลี่ยภาคเช้า
2 เวทีและภาคบ่าย  2
เวที 

แต่ที่สุดแล้ว ผมก็ตัดสินใจเข้าร่วมประชุมเพียง
3 เวที

ภาคเช้า ...
เวทีแรกคณะกรรมการการจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัยฯ  นัดประชุมใหญ่   ผมเข้าไปพักใหญ่  พร้อมๆ กับหอบหิ้วคุณสุริยะ  สอนสุระ  ตามเข้าไปด้วย  เพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับการทำงานในด้านนี้
ถัดจากนั้น  ก็หลบออกจากห้องมาประชุมวินัยนิสิต


ส่วนภาคบ่าย
เปิดโผเวทีเรื่องวินัยนิสิตอีกรอบ  ส่วนอีกเวทีเป็นเรื่อง
บริหารความเสี่ยง  ซึ่งผมสละสิทธิ์  ปล่อยให้บรรดาหัวหน้างานในสังกัดเข้าแทนทั้ง 3  คน  โดยผมมาปักหลักอยู่ในเวทีการพิจารณาโทษวินัยนิสิตแทน  ก็โน่นแหละครับ  มายุติการประชุมก็ในราวๆ 5 โมงเย็น


จากนั้น, ผมก็มานั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งอย่างเปิดอก  หลังจากเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของ
น้อง  มาแล้วระยะหนึ่ง


อันที่จริงเจ้าหน้าที่ท่านนี้  ไม่ได้กระทำผิดวินัยอันใดเลย  เพียงแต่ระยะหลังเห็นเขาแผ่วแรงลงอย่างน่าวิตก  งานการที่เคยทำได้ดีก็เริ่มดุ่มๆ ดอนๆ  เคยเป็นส่วนหนึ่งในแรงเสริมของเพื่อนๆ  ก็เริ่มหดหายไปอย่างเรียบๆ และเงียบๆ


ผมตระหนักดีว่า  ระยะหลังผมเข้าสู่ระบบการบริหารงานอย่างเต็มตัว  ซึ่งหมายถึงแทบจะไม่มีเวลานั่งโต๊ะเป็นหลักแหล่ง  ไหนจะตะลอน (ทัวร์) เข้าออกห้องประชุม  ไหนจะไปสัมมนา  ไหนจะข้ามฟากไปบริหารงานของกลุ่มหอพัก  ปล่อยให้ลูกน้อง หรือ
น้องๆ  ตะลุยงานกันเอง  รวมถึงการปล่อยให้นิสิตหลายต่อหลายคนมาเก้อ-เจอแต่โต๊ะทำงาน


เวลา และ ภาวะ เช่นนี้  เป็นเรื่องที่ผมหวาดวิตกมาก 
การแบกรับงานบริหารหลายส่วน  ทำให้เราต้องฝึกฝนการบริหารเวลาและบริหารคนอย่างหนักหน่วง  มิใช่  
ไปกับไป...แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับองค์กร ....


เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

ผมเชิญน้องๆ  ทีมงานนั่งคุยกันแบบสบายๆ  สอบถามความเป็นไปในเรื่องงานที่ผ่านมา  และร่วมกันวางแผนในงานของ
อนาคต  โดยใช้กระบวนการของการ มีส่วนร่วม  ให้มากที่สุด  พร้อมๆ กับการซ่อนวาระอันสำคัญไว้อย่างเงียบๆ ...

วาระอันสำคัญที่ว่านั้น  เป็นวาระที่นโยบายกำหนดเรื่อง
วินัยในการทำงาน  อย่างเข้มงวด  เพราะที่ผ่านมา  เห็นได้ชัดว่า  องค์กรของเรา  เริ่มออกอาการเก๋ๆ  ไปในแนว  มาสาย, ทำงานไม่สำเร็จ  ขาดความเป็นทีม ...


ผมไม่ใช่มือเทวดาที่จะสะสางและปรับแต่งเรื่องราวเหล่านี้ได้ในชั่วพริบตา  เพราะนี่ก็เพิ่งกลับมารับงานได้ไม่ถึง
3  เดือน  แต่ก็รับปากว่า  ทั้งผมและน้องๆ  จะยังเดินทางไปด้วยกัน  มีเป้าหมายเดียวกัน  และเป็นหนึ่งเดียวกัน (ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้)


ผมย้ำกับทีมงานว่า ...
ผมอึดอัดไม่น้อยนะที่ต้องกำชับดูแลในเรื่องต่างๆ  และประเมินทุกคนตามเนื้อผ้า ..
เพราะเห็นได้ชัดว่า  ในภาคส่วนอื่นนั้น  ไม่ได้กำชับและนำนโยบายนั้นมาปฏิบัติอย่างที่ควรจะเป็น   แต่ถึงกระนั้น  ผมก็ย้ำว่า  ผมไม่ต้องการให้ทีมงานไปเปรียบเทียบกับภาคส่วนอื่นๆ ... เพราะถ้าคิดเช่นนั้น  เราก็จะไม่พัฒนาตัวเอง  และถีบส่งให้องค์กรตกลงสู่หุบเหวไปอย่างน่าสงสาร


ผมไม่อยากให้ทีมงานคิดว่า  องค์กรของเรา คือ
อู่ข้าวอู่น้ำ ...
แต่อยากให้คิดว่า องค์กรของเรา คือ
บ้านของเรา
และที่สำคัญ  ลำพังผมเพียงคนเดียว  ไม่สามารถทำงานให้สำเร็จและมีประสิทธิภาพได้เลย -
หากปราศจาก ทุกคน 


ถัดจากนั้น
ผมก็หยิบกรณีศึกษาของแต่ละคนที่ถือว่า
บกพร่อง (โดยสุจริต)  มาพูดคุยแบบ เปิดเปลือย  พร้อมๆ กับให้เจ้าตัวอธิบายและเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เพื่อนร่วมงานได้รับรู้ร่วมกัน  รวมถึงการ ถอดบทเรียน  ของงานนั้นๆ  ออกมาอย่างละมุนละไม


หลายคนยอมรับโดยปราศจากข้อโต้แย้งในความบกพร่องดังกล่าว 
หลายคนกล่าวคำขอโทษเพื่อนร่วมงาน  หลายคนขอโอกาสในการเริ่มต้น 
และทุกคน
รับปาก  ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน  โดยเริ่มจากการพูดคุยกันให้มากขึ้น 
จะไปไหนมาไหน  ก็จะบอกกล่าวและฝากงานกันไว้
ไม่ใช่เงียบหายและ กักขัง ตัวเองอยู่แต่ในโลกแคบอันหม่นมัวของตัวเอง  โดยหารู้ไม่ว่า  การหนีหายเช่นนั้น  จะกระทบต่อตัวเองและองค์กรแค่ไหน 

และที่สำคัญก็คือ  เพราะที่นี่คือบ้าน, ...ดังนั้น...จึงไม่มีเหตุผลใดที่ใครสักคนหนึ่งจะรู้สึกว่า อยู่คนเดียว  ในบ้านหลังนี้

 

ท้ายที่สุด...
ผมเองก็กล่าวขอโทษต่อลูกน้องทุกคนว่า  ในระยะหลังนี้ 
ผมไม่ค่อยมีเวลาให้พวกเขามากนัก  เพราะมีงานบริหารให้จัดการหลายภาคส่วน  แต่ผมก็เชื่อว่าทุกคน ดีพอ  ที่จะจัดการกับงานได้  เว้นเสียแต่ทุกคนละเลยต่อคำว่า วินัย เท่านั้นเอง

ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้  ผมขอเวลาให้กับงานใหม่ให้มากขึ้น  เพราะที่นั่นมีอะไรให้บริหารจัดการเยอะมาก  และนั่นก็เป็นวิถีหนึ่งของการไปเพื่อ
แก้ปัญหา ... จึงขอให้ทุกคนที่ชัดเจนกับตรงนี้  ได้รับผิดชอบในสิ่งที่ทำให้เต็มที่  ไม่ใช่พอ แมวไม่อยู่ หนูก็ร่าเริง ...จนเสียการ เสียงาน

 

...

จวบจนวันนี้
ผมเชิญเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งมาพบปะพูดคุยกันแบบเป็นกันเอง  
เราคุยกันง่ายๆ  ในโต๊ะทำงานที่ไม่หรูหรา  ไม่ถึงกับเป็นส่วนตัว  แต่ก็ไม่ถึงกับเปิดกว้างจนเป็นที่
อับอาย ...

ผมตั้งคำถามแบบตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบและไม่แข็งกร้าวว่า
รู้สึกมั๊ยว่าระยะนี้ตัวเองแผ่วลง  .... มีปัญหาอะไรคับข้องหมองใจ... ....


ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่า  รู้ตัวดีว่าพักนี้แผ่วลง  ทำงานได้อย่างไม่เต็มที่ ...และดีใจที่ผมได้เรียกมาคุย  หลังจากที่เมื่อคืนนี้  ...ได้ขบคิดมายาวนานว่าจะหาทางออกอย่างไรดีกับปัญหาต่างๆ ...


ผมสนทนากับเจ้าหน้าที่หลายประเด็น  แต่หลักๆ ก็คือ  การให้กำลังใจ, ..การให้โอกาส  และการยืนยันว่า เพื่อนๆ ร่วมงาน ยังรออยู่นะ...  และขอให้เขารับรู้เสมอว่า  เขาไม่ได้อยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้หากจำต้องออกจากบ้านไปสะสางเรื่องส่วนตัวบางเรื่อง  ก็ขอให้ฝากงานไว้กับพี่ๆ น้องๆ  นบ้าน  เพื่อให้พวกเขาได้จัดการเรื่องงานแทน  อย่าได้ทิ้ง หรือเก็บเงียบ  เพราะเรื่องหลายเรื่อง  ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อคนรอบข้างด้วยกันทั้งนั้น ..."


นอกจากนี้
ผมยังยืนยันว่า  เรื่องดังกล่าวนี้  ไม่มีใครมาฟ้อง หรือนำเสนอต่อผม  ทั้งหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน  ไม่มีใครบ่นเรื่องนี้กับผม ... ผมรู้ เพราะผมสังเกตเรื่อยมา  ถึงแม้เวลาอยู่กับทีมงานน้อยกว่าที่เคย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า  ผมจะละเลยต่อการ
เอาใจ  ไปดู ใจลูกน้อง ... 

ครับ,
ผมยืนยันว่า  ผมให้ความสำคัญกับทีมงานเสมอ  เสี้ยวเวลาที่หายไปกับงาน หรือภารกิจใหม่ๆ  ก็หาใช่ช่องว่างที่ผมจะเพิกเฉยต่อทีมงานเดิมๆ  ของตนเอง  ทุกอย่าง ทั้งคนและงานยังคงเป็นเรื่อง
ปัจจุบัน  สำหรับผมเสมอ ...

 

ดังนั้น
เรื่องดังกล่าวนี้  ผมจึงต้องทำตัวเป็นคน
หูเรดาร์..สายตาพระเจ้า.. (คนอื่นขนานนามมาให้)  ไม่ใช่ทำตัวบอดใบ้  รอให้คนอื่นเท็จทูล  จนเป็นบ่อเกิดของการสร้างวัฒนธรรมแห่งการ นินทา  และนำพาไปสู่กำแพงแห่ง คนและองค์กร ...



ผมใช้เวลาคุยกับเขาไม่ยาวนานนัก 
เพราะรู้ว่า นี่ก็เลิกงานแล้ว  จึงไม่ควรนั่งแช่ให้ยาวนานออกไป  แต่ก็ดีใจที่ทั้งผมและเจ้าหน้าที่ท่านนี้ได้คุยกันอย่าง
เปิดเปลือย


ผมไม่รู้หรอกว่า...
นี่คือสิ่งที่ถูก หรือควรสักแค่ไหน
แต่สำหรับผมแล้ว 
ผมไม่เคยละทิ้งการ  จับอาการของลูกทีม  
ว่าแต่ละคนกำลังทำอะไร, คิดอะไร  หนักแน่น เข้มแข็ง หรืออ่อนแอ ...


เมื่อถึงวันสำคัญ...
ผมยังจับมือกับลูกทีม...เดินหน้าให้ของที่ระลึกกันและกัน รวมถึงก้าวข้ามไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ  อันสังกัดองค์กรเดียวกันอย่างต่อเนื่อง 
เพราะเชื่อว่า  องค์กรที่เข้มแข็ง ก็สร้างขึ้นจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของกันและกันทั้งนั้น


ครับ..
ฟังดูเหมือนนิยายที่เขียนขึ้นเพื่อตัวเองโดยแท้  แต่ก็ยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง  และผมก็ใช้วิธีเปิดเปลือยภายใต้ข้อมูลและจังหวะชีวิตของการเฝ้ามองอย่างเป็นมิตร และใกล้ชิดเสมือนญาติคนหนึ่งของเขา-

 

ท้ายที่สุดนี้
วันนี้  จึงเป็นวันหนักๆ  อีกวันหนึ่ง  ที่ปิดบัญชีประจำวันด้วยความรื่นรมย์

และแทบไม่น่าเชื่อว่า  วันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว  ผมทำงานหนักหน่วงจนดึกดื่น  แต่ก็จบลงอย่างเป็นสุขเช่นเดียวกับวันนี้ 

และเรื่องที่ว่านี้ก็บันทึกไว้ ด้วยชื่อ
โลกและชีวิต (15) : ความหนักเบาแห่งงาน



ดังว่า ....

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา  ผมคร่ำเคร่งอยู่กับการตระเตรียมงานโครงการ "วันขอบคุณนักกิจกรรม"  จนบางครั้งความมุ่งมั่นดังกล่าวกลับกลายเป็นแรงถมทับให้ตนเองเกิดความอ่อนล้าอย่างน่าใจหาย  

แต่เมื่อตั้งสติคิดตรองอย่างใจเย็นก็พบว่า  ความหนักเบาของงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่างานนั้นจัดยิ่งใหญ่อลังการสักแค่ไหน มีคนเข้าร่วมมากมายสักปานใด?,  หากแต่อยู่ที่ว่าเรารักที่จะทำงานนั้นมากน้อยแค่ไหนอย่างไรเป็นสำคัญ

ถึงแม้งานวันขอบคุณนักกิจกรรมจะเป็น "งานใหญ่"  ของชาวกิจกรรมทั้งหลาย  มีรายละเอียดปลีกย่อยอย่างมากมาย  และเป็นงานที่เราจะต้องแสดงให้เห็นถึงน้ำใสใจจริงของมหาวิทยาลัยที่ชื่นชมต่อนิสิตผู้ซึ่งทำประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยและสังคม

ผมและทีมงานในงานกิจกรรมนิสิตให้ความสำคัญต่อการนำเรื่องราวของนิสิตมานำเสนอให้หลากหลายมิติ  ทั้งในรูปของวีดีทัศน์และนิทรรศการให้มีชีวิตชีวามากที่สุด  โดยสิ่งที่คิดและทำนั้นป็นเสมือนการ "ขอบคุณ"  แก่นิสิตที่ได้ทุ่มเทต่อวิถีกิจกรรมมายาวนานตลอดปีการศึกษา

งานใหญ่แต่กลับง่ายกว่าที่คิด  เพราะเรามีความสุขกับการทำงานมีความสุขที่ได้ทำงานให้กับคนที่เรารัก... โดยถึงแม้ว่างานนั้นจะมีรายละเอียดปลีกย่อย และแตกต่าง ซับซ้อนกันแค่ไหน  ทุกอย่างก็ง่ายเมื่อเรามี "ใจรัก"  ที่จะทำให้สำเร็จ...บนพื้นฐานของการทำให้ดีที่สุด 

และเราก็ได้เรียนรู้ดังที่ใครต่อใครก็กล่าวไว้ว่า  "งานหนักไม่เคยฆ่าคน"   

 

........

 

ความหนัก - เบาของงาน

หาใช่จะเป็นสิ่งชี้วัดความยากง่ายของงานเสมอไป

เช่นเดียวกันนี้

ความหนักเบาของงาน

ก็ใช่จะเป็นสิ่งชี้วัดความยาวนานในการก้าวไปสู่ความสำเร็จ 

การจะทำงานให้ประสบความสำเร็จ  ,  หรือไม่นั้น

สิ่งที่ชี้วัดก็คือ

การมีใจรักมากน้อยในการทำงานเป็นสำคัญ

ฉะนี้แล้ว

การจะทำงานให้ประสบความสำเร็จได้นั้น

เธอต้องมีใจรักในงานที่ทำ -

พลีใจเป็นส่วนหนึ่งของงาน..

ประดุจเดียวกับจิตรกรผู้พลีใจเป็นหนึ่งเดียวกับพู่กันและสายสี

ซึ่งอุทิศวิญญาณให้กับการเขียนภาพอย่างไม่ลดละ

http://gotoknow.org/blog/pandin/80482

ปล...


มาช่วยกันสร้างองค์กรให้เป็น "บ้าน"  อีกหลังของชีวิต
สร้างความสุขของการอยู่ร่วมด้วยการเฝ้ามองกันและกันบนระยะอันเหมาะสม
ให้อิสระ แต่ติดตามอย่างมีจังหวะ..และ...มีระบบ
เมื่อมีสถานการณ์ใดไม่ปกติ
ก็กล้าที่จะขยับเข้าหา
เปิดเปลือย...และ...แบ่งปัน

กันเถอะ

หมายเลขบันทึก: 244431เขียนเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2009 19:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 05:20 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (32)

แวะมาเป็นกำลังใจนะคะ..

ต่อไปคงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้...

ถ้าเจอคน .....

“หูเรดาร์..สายตาพระเจ้า..”   จึ๊ย!!!

คิดฮอดครับอ้าย...

สวัสดีครับพี่พนัส

  • ขอบคุณที่มาได้ทักทายกันเช้านี้
  • เห็นเหนื่อยเดินขึ้นบันไดมา 4 ชั้น ได้ไม่กล้าสอบถามมาก
  • เปิดใจกันกับทีม นั้น คือ ความใจกว้างของผู้นำครับ
  • สู้ต่อไปพี่

ขอบคุณครับ

แจ๊ค กัมปนาท

เอาใจช่วยค่ะ..ท่านผู้นำ..อิอิ..

^^

สวัสดีค่ะ

ตามมาทักทาย ไม่ผิดหวังเลย

เป็นบันทึกที่ดีมาก จะเก็บเกี่ยวเอาไปใช้ประโยชน์ในการดูแลน้องๆที่ตึกบ้าง

แล้วจะกลับมาเล่าว่า

"การสร้างองค์กรให้เป็น "บ้าน" อีกหลังของชีวิต

สร้างความสุขของการอยู่ร่วมด้วยการเฝ้ามองกันและกันบนระยะอันเหมาะสม

ให้อิสระ แต่ติดตามอย่างมีจังหวะ..และ...มีระบบ

เมื่อมีสถานการณ์ใดไม่ปกติ

ก็กล้าที่จะขยับเข้าหา

เปิดเปลือย...และ...แบ่งปัน"

นั้นเป็นอย่างไรบ้างนะคะ

สำบายดีอ้าย

กิจกรรมสารคามหลายอีหลี เมื่อไหร่จะมีโอกาสไปอยู่ สารคามน้อ

เอาดอกไม้มาฝาก ปลูกอยู่ที่หน้าบ้านปู่ติ๊ก

ปู่ติก๊เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อกล้วย ท่านเกษียณแล้วมาช่วยงานหลวงพ่อกล้วยค่ะ

สวัสดีครับ.. add

ขอบคุณครับ..

วันพรุ่งนี้ ผมจะพาน้องๆ ทีมงานไปนอนนับดาวกันที่นอกมหาวิทยาลัย  เป็นการไปคุยไปเปิดเปลือยและร่วมเรียนรู้ตัวตนและงานกันอีกรอบ...

แล้วจะนำเสนอให้ทราบอีกรอบนะครับ

สวัสดีครับ... ย่ามแดง

ผมว่า หูเรดาร์ สายตาพระเจ้า..เป็นคุณลักษณะพิเศษของผู้นำโดยแท้เลยครับ  แต่ไม่ได้หมายความว่า "รู้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่ไม่ควรรู้" ..และวิถีที่ว่านั้น เป็นวิถีของการสังเกต ดูแล แต่ไม่ใช่การจับผิด

และเป็นธรรมดากระมังครับ  คนเป็นหัวหน้าย่อมถูกมองในสองมิติเสมอ

1.. ถูกสังเกตพฤติกรรมจากคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา...

2.. ถูกจ้องจับผิดอยู่ตลอดเวลา เช่น  แน่แค่ไหน, ทำได้แค่ไหน..ลุแก่อำนาจ ฯลฯ

  • ตามมาให้กำลังใจ
  • เข้าใจว่าการทีได้มีโอกาสพูดคุยกันบ่อยๆๆ
  • จะช่วยแก้ปัญหาได้
  • เอาใจช่วย
  • คาดว่าจะได้พบกันที่บ้านพ่อครูบา
  • ใช่ไหมครับ

มาอ่านความคิดของคุณแผ่นดินค่ะ

อ่านแล้วรู้สึกเหมือนมีความคล้ายกัน ในบ้านหลังที่สอง

รู้สึก หูตาเป็นอะไรที่พิเศษ และรู้ด้วยว่าใครอยู่ตำแหน่งไหน ทำไมทำแบบนั้นเท่านั้น ทำยังไงดี เราวิ่งเร็วไปไหม ลูกทีมตามเราไม่ทันหรือเปล่า ความรู้สึกเริ่มมาแย่ตรงที่ นายที่อยู่มองเราจากข้างบนบอกเราว่า ให้ทำต่อไป ทั้งรู้ด้วยว่า "ได้แค่ประคับประคอง" อ้าว แล้วจะไม่ลงมือทำอะไรกันเลยจริงๆ หรือ ประเภท ตัด หั่น เฉือน นี้เขาจะไม่ทำกันจริงๆ ใช่ไหมนะคะ อะไรทำนองนี้ (บางทีเราก็คิดอยากเฉือนเนื้อเราเอาไปแปะให้คนอื่นเขาดูมั่งนะคะ...)

  • สวัสดีค่ะ
  • มาพร้อมรับความรู้ค่ะ

comment

นำภาพ หนุ่ม ยิ้ม หวาน ให้ ใคร หนอ

สวัสดีครับ.แจ็ค กัมปนาท..

  • เปิดใจเป็นเรื่องสำคัญ ก็จริง
  • แต่ประสบการณ์ตรงในปัจจุบันที่พบเจอและถือว่าหนักหน่วงไม่ใช่ย่อยก็คือ การติดยึดกับวัฒนธรรมเดิมๆ ...
  • หลายคนขี่หลังเสือ..ลงไม่ได้
  • หลายคนไม่ปรับตัวตามนโยบาย ซึ่งหมายถึงเป้าหมายใหม่ที่มาพร้อมกับผู้บริหารชุดใหม่  โดยติดยึดเรื่องสิ่งที่เคยทำมากกว่าการชั่งวัดว่า..ถูกต้อง หรือเหมาะสมกับสภาวะนั้นๆ
  • แต่ทั้งปวงนั้น
  • ก็หมายถึงเรื่องใจเป็นหลัก
  • วันนี้ก็เปิดใจกับทีมงานใหม่ๆ ...
  • ท่ามกลางวัฒนธรรมเก่าๆ ที่แน่นหนาราวกำแพงหลายพันชั้น..
  • เหนื่อยครับ...
  • แต่ก็ไม่ถึงกลับทุกข์ใจและถอดใจ
  • ทุกอย่างมีทางออก...และน่าจะดีขึ้น...

 

 

สวัสดีครับ  คุณครูแอ๊ว

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมผู้นำ ประเภทไร้ทฤษฎีอย่างผม ...

วันนี้ มีอะไรให้ถอดรหัสเยอะมากเลยทีเดียว

บอกกับตัวเองว่า..สู้ๆ...

สวัสดีค่ะ

การเปิดใจซึ่งกันและกัน ทำให้รู้เขา และรู้เขา

แค่รับฟัง...ชี้แนะ....ให้กำลังใจ...ต่อยอด....เยี่ยม

เป็นกำลังใจให้ในการทำงานค่ะ

แวะมายามคนบ้านเดียวกันเด้อ

มาให้กำลังใจ..สู้ๆ

แวะมาให้กำลังใจคนตั้งใจทำงานอย่าง อ.แผ่นดิน

คราวนี้หนูโหวตให้พ่อครูบาค่ะ

รักษาสุขภาพด้วยค่ะ

 

http://gotoknow.org/blog/berger0123/244674

ว่างๆก็แวะมาเยี่ยมที่บล็อกได้ค่ะ

สวัสดีครับครู (อ.แผ่นดิน)

ผมเป็นลูกน้อง แต่เมื่ออ่านแล้วได้ความรู้หลากหลาย และต้องการให้ผู้เป็นผู้นำบริหารงานในลักษณะนี้ครับ

ขอเป็นกำลังใจแก่ผู้บริหาร ซึ่งชอบที่สุดคือผู้เป็น "หัวหน้า" มากกว่าผู้บริหาร

และขอให้กำลังใจแก่ผู้ตามทุกท่าน ที่จะต้องเรียนรู้ต่อไป เพื่อจะได้เป็นผู้นำที่ดี (บางท่านถอดใจก่อนว่าไม่มีโอกาสเป็นผู้นำ โดยลืมไปว่า เราทุกคนคือผู้นำ อย่างน้อยก็ต้องนำตัวเอง ในแรกเริ่ม และยังมีอีกหลายอย่างที่ตามมา ครับ)

ขอบคุณมากครับ

สวัสดีครับ สิริพรรณ ธีระกาญจน์

พรุ่งนี้เป็นอีกวันที่ผมจะจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับทีมงาน ...
ในแบบเปิดเปลือย

เป็นกิจกรรมต่อเนื่อง มีชื่อว่า พฤหัสสกัดความรู้..ภาค 2 ครับ

ไปจัดกันนอกสถานที่-แบบไม่เปลืองงบ-เพราะไม่ไปตอนนี้ คงไม่มีโอกาสได้ไปแน่เลย  เนื่องจากถัดจากนี้  มีงานรอเต็มยาวเหยียดเลยครับ ...

สำคัญ บางทีออกนอกสถานที่บ้าง เผื่อจะช่วยให้เราเห็นอะไรมากขึ้น

  • น้อง  ออต

    เว้าแบบนี่ หมายความว่าจั่งได๋...
  • มาโหลด
  • ยินดี ฮับต้อน

สวัสดีครับ..berger0123

ขอบคุณสำหรับดอกไม้ที่นำมาเติให้ชีวิตสดชื่นขึ้น..

ผมกำลังจะออกจากบ้านพัก เพื่อกลับบ้านสักระยะ..ไปดูบ้านเกิด ไปเติมเต็มกำลังใจและพลังชีวิตให้กับตัวเองอีกสักยกครับ พรุ่งนี้จะได้ลุยงานกันอีกที

ขอบคุณครับ

สวัวดีครับ.ท่านพี่ ขจิต ฝอยทอง

  • เป็นยังไงบ้างครับ
  • เดินทางออกจากสวนป่าฯ กันหรือยัง
  • ครับ...
  • การพูดคุยกันบ่อย  ผมเชื่อว่าจะช่วยให้อะไรต่อมิอะไรดีขึ้น
  • อย่างน้อย ลูกน้องจะได้รู้สึกว่า  เรายังเข้าฝใจและให้กำลังใจเขาอยู่.
  • รวมถึงการยืนยันว่า งานที่เขารับผิดชอบนั้น เป็นงานร่วมกันของทุกคน..ปัญหา จึงหมายถึง เป็นปัญหาของทุกคน-ที่ทุกคนจะต้องร่วมใจ "หาทางแก้"
  • ...
  • ขอบคุณครับ, ท่านพี่ฯ

สวัสดีครับ  ดาวลูกไก่ ชื่นชมยินดี

กรณีเรื่อง "หัวหน้าวิ่งเร็ว ลูกน้องวิ่งตามไม่ทัน"  นั้น  มีให้พบเห็นหลากหลายในสังคมการทำงาน  ผมเองก็เคยถูกตั้งคำถามในเรื่องนี้เหมือนกัน  ดังนั้น ในระยะหลังจึง  ถอยออกมาเป็นผู้ติดตามงาน  มากกว่าการมอบงานให้ทำ  พร้อมๆ กับการร่วมคิด (แต่เพียงนิดๆ) ... เพื่อให้เจ้าของงาน ได้แสดงศักยภาพของตัวเอง

ปัญหาหนึ่งที่มองว่า  บุคลากร  ยังขาดความรับผิดชอบ หรือขาดความกระตือรือร้นที่จะทำงานนั้น  ส่วนหนึ่งมาจากบรรยากาศของการอยู่ร่วม และสำคัญคือ  การได้รับความยุติธรรมในการพิจารณาความดีความชอบ  ซึ่งเรื่องหลังนั้น  เป็นเรื่องใหญ่มาก  แต่ผมก็พยายามบอกกล่าวให้อดทนและตั้งใจ  ไม่ต้องดูใครเลย  ดูอย่างผมสิ,  ไม่เคยได้รับความดีความชอบมายาวนาน  ยังทนได้, และคำว่าทนได้นั้น ก็หมายถึง  ทำงานตามปกติ และไม่ด้อยไปกว่าเดิม ...

ขอบคุณนะครับที่แวะมาเยี่ยม,
ผมเป็นกำลังใจให้เสมอ-นะครับ

 

สวัสดีครับ..KRUPOM

เช้าวันนี้, สายลมร้อนบางเบาโชยมาทางหน้าต่างๆ ...เย็นสบายมากเลยครับ  แต่สายๆ บ่ายๆ อากาศก็คงร้อนและร้อนจนแทบไม่อยากออกจากห้องเลยทีเดียว

นี่กระมังครับ..เขาว่ากันว่า สีสันของฤดูแล้ง

สวัสดีครับ อ.JJ

ตอนนี้ฟังเรื่องวิจัย  วิทยากรผูกโยงไปถึงเรื่องผู้นำและภาวะผู้นำ...
ชวนให้ผมคิดถึงบันทึกในบล็อกเรื่อง "คิดเรื่องงาน"  มีหลายเรื่องสอดรับกันอย่างแทบไม่น่าเชื่อ

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ..คุณพี่อนงค์ MSU-KM :panatung~natadee

วันนี้ผมึ้นพบ 3 หัวใจแห่งการให้ คือ ให้ใจ...ให้โอกาส...ให้อภัย

แต่สไตล์นั้น ยังขอยึดแบบถึงลูกถึงคน เหมือนเดิม นะครับ

สวัสดีครับ...นาง ลักษมี สารบรรณ

คนบ้านเดียวกัน..มาเยี่ยมยาม ก็เสมือนกินข้าวฮวมพา.....

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ..berger0123

ขอบคุณครับ..
แม้ไม่มีรางวัลใด..หัวใจของเบิกบานครับ
เพราะมิตรภาพที่มีให้กัน...งดงามเสมอ

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ  chudchainat

วันนี้ค้นพบเพิ่มเติมคือ

  • ผู้นำที่ดี ต้องสร้างผู้นำขึ้นเรื่อยๆ
  • ผู้นำที่ดี ต้อง สอนงาน-สร้างทีม...

ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท