กลางดึกของคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้นั่งดูรายการโทรทัศน์ที่เชิญอดีตดาราสาวผู้หนึ่งมาแถลงทั้งน้ำตาถึงเบื้องลึกของเรื่องราวการหย่าร้างกับอดีตสามีว่า ที่ต้องแยกทางกัน เพราะอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข รู้สึกซึมเศร้าไร้ค่า มีแต่การทะเลาะเบาะแว้งไม่เว้นแต่ละวันและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีผลกระทบต่อลูกสองคนที่โตพอจะรับรู้ความเจ็บปวดนี้ด้วยจึงเกรงว่าถ้าไม่รีบเลิกรากันเสียก่อน ความนับถือที่มีต่อกันจะยิ่งหมดไป
ช่วงต่อมาได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายชายได้เล่าเพิ่มเติมด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า เขาไม่ชอบให้ภรรยากลับไปเป็นดาราเพราะเขารังเกียจวงการมายานี้ เขายืนยันว่าสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ พูดเรื่องนี้ครั้งใด จะเกิดบรรยากาศตึงเครียดแบบบ้านแตกทุกครั้งไป
ทั้งคู่ต่างเห็นพ้องกันว่า หลังจากจูงมือกันไปจดทะเบียนหย่าได้ สองอาทิตย์ที่ผ่านมา สัมพันธภาพดีขึ้น ไม่ทะเลาะกันอย่างเคย ครั้นถึงช่วงท้ายรายการ พิธีกรไม่อาจสรุปได้ว่า สาเหตุที่แท้จริงของ “ เตียงหัก ” ของหญิงชายคู่นี้คืออะไรแน่.. เพราะต่างคนยังคงยืนยันว่า มีความรักต่อกันอย่างยิ่ง อีกทั้งได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะรักษามิตรภาพที่แปรเปลี่ยนไปสู่ความเป็นเพื่อนที่ดีที่ไปมาหาสู่กันเพื่อให้ลูกสองคน มีความอบอุ่นเสมือนเมื่อครั้งที่ยังเป็นคู่สมรสกันอยู่ ซึ่งคำพูดทำนองนี้ คล้ายๆกับที่เราเคยได้ยินบ่อยๆในกรณีอื่นๆทั่วๆไปที่ปรากฏเป็นข่าวมากขึ้นในปัจจุบัน
ข้าพเจ้าอยากชวนเชิญท่านผู้อ่านลองวิเคราะห์ปัญหาข้างต้นไปพร้อมกับข้าพเจ้า ซึ่งมีความเห็นว่า ความรักใดๆไม่ว่าจะเป็นความรักของพ่อ-แม่-ลูก เพื่อนรักเพื่อนซี้ คู่รักหวานคู่แหวว ภรรยา-สามี ฯลฯ หากต้องการให้เกิดความยั่งยืน จำเป็นต้องผสมผสานระหว่าง ความรัก ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกและความผูกพัน กับความพากเพียรที่จะมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปรับตัวปรับใจ ต่อความแตกต่างของความต้องการและบุคลิกนิสัยใจคอซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความลงตัวที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอยู่อย่างราบรื่นและมีความสุข
หากตราบใดที่ยังเกิดความสับสนหลงเข้าใจผิดว่า ความรักคือการครอบครองเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่าง ผูกขาด ไม่เหลือช่องว่างให้อีกฝ่ายหนึ่งรักษาคุณค่าในความเป็นตัวตนเอง เพราะรู้สึกว่าถูกบงการชีวิตอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดฟันเฟืองแห่งการอยู่ร่วมกัน ย่อมเกิดติดๆขัด นำไปสู่การปีนเกลียว และแตกหัก ถึงขั้นที่ต่างคนต่างแยกทางกันไปทั้งๆที่ยังรักกันอยู่อย่างมากมาย
ประสบการณ์รักของข้าพเจ้าได้มีบทเรียนมาแล้วแบบรักต่างวัย ป้า-หลาน ซึ่งเคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันอย่างใกล้ชิดแทบไม่คลาดสายตา ครั้นต่อมา เมื่อวิถีชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปแบบคนละขั้ว เช่นข้าพเจ้าหลับกลางคืน ตื่นกลางวัน ตรงกันข้ามกับหลานชาย ที่หากินเล่นดนตรีกลางคืน แต่หลับกลางวัน ข้าพเจ้าตั้งตาคอยความสุขอย่างที่เคยเป็นอยู่ให้กลับคืนมา เช่น กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา เที่ยวเตร่ด้วยกัน ไม่ใช่สภาพ “อยู่ใกล้ เหมือนอยู่ไกล ” เช่นนี้ แต่เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า หากตามตอแยด้วยความรักที่ผิดเวลา รังแต่จะสร้างความทุกข์มากกว่าความสุข จึงเริ่มประยุกต์ใช้หลักคิดนี้ :
“ เหตุผล พอประมาณ สร้างภูมิคุ้มกัน ” เป็นปรัชญาของความรักให้เกิดความยั่งยืนนานตลอดไป