สวัสดีครับ เพื่อนMr.Direct
ผมเดินทางและในระหว่างเดินทางท่ามกลางผู้คนหลากหลาย ปัญหาของสังคมที่เราพยายามแก้ไข ส่วนใหญ่เราพยายามมองออกไปไกลตัวมากที่สุด และนั่นเองคือการปิดเร้นการพัฒนาตนเอง ความอ่อนด้อยของปัญญา
ผมมองว่า หลุมพรางของการแก้ไขกับปัญหา คือการเดินเข้าไปโรมรันพันตูกับปัญหานั้นโดยขาดการวิเคราะห์ตนเอง แต่กลับมั่นใจในการใช้ "ความรู้" เป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญเหนือใคร
อายุที่มากขึ้นตามวัฏจักรชีวิต การศึกษาที่สูงขึ้นตามที่มนุษย์พึงมีให้ศึกษาตามแนวทางการศึกษากระแสหลัก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีได้เลยว่า พวกเขาเหล่านั้นมี "มโนธรรม" ในการพัฒนาตนเองและสังคมแต่อย่างใด ตรงกันข้ามความหลงผิดและอัตตาที่เหมือนเกราะอัศวินที่มันป้องกันเราได้ก็จริง แต่หนาหนัก ทำให้เขาหยิ่งผยอง หารู้ไม่ว่า เกราะอัศวินที่แสนจะรุ่มร่ามนั้น หลายคนสลัดทิ้งอย่างไม่ใยดี และมุ่งแสวงหาความโปร่ง สบาย
"สายตาที่กว้างไกลในสนามรบ เป็นสิ่งที่ได้เปรียบที่สุด" คุณประภาส ชลศรานนท์ ได้กล่าวประโยคนี้ในข้อเขียนเชิงสัมภาษณ์นิตยสารฉบับหนึ่ง
สายตาที่กว้างไกลนั้น ผมคิดไปถึง Bird Eye View ที่สามารถบินไปในระดับสูงพอสมควรที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆได้ตามที่ควรจะเห็น นั่นคือโอกาสที่ได้เปรียบที่สุดครับ
ผมเขียนแบบนี้พยายามจะกล่าวไปถึง จาก "ความรู้" พัฒนาไปถึง "ปัญญาญาณ" นอกกรอบความคิด เป็นชีวิตที่อิสระและทรงพลัง
ผมเองก็พยายามเรียนรู้ตามวิถีของตนเองเงียบๆผ่านความเปลี่ยนที่เกิดขึ้นรอบตัว ทั้งที่คาดไว้แล้ว และเกินคาด อย่างที่สัมผัส พร้อมกับสดับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ขอบคุณเพื่อนมากครับ ...อย่างน้อยผมมองว่า เราได้โอกาสนั้น ได้โอกาสในการเรียนรู้ที่จะสร้างระยะห่างกับความไม่ดี และเพิ่มพูนตัวเองในเส้นทางความดี
สังคมศาสตร์เป็น "ศาสตร์" แห่งสังคม ดังนั้้น"ความรู้"ที่เป็นเรื่องของสังคมจึงเป็นพื้นฐานที่ดีในการพัฒนาจากข้างในของเราเอง
สติปัญญายังน้อยนิดครับ แต่ก็ได้หยิบมุมที่เห็นมาบอกกล่าว แลกเปลี่ยนกับเมธีที่ผ่านเข้ามาทักทาย
ขอบคุณเสมอครับสำหรับมิตรภาพที่ดีเสมอมา
-----
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
เมื่อ ศ. 18 ก.ค. 2551 @ 07:39
746844 [ลบ]
เช้านี้ผมได้รับโทรศัพท์ปลุกแต่เช้าตรู่ เพื่อคุยเรื่อง สังคม บ้านเมือง คุยเรื่องภาคใต้...เป็นปกติที่สถานการณ์เปลี่ยน ประเด็นใหม่ๆก็ถูกฉุดมาในวงสนทนามากขึ้น
บันทึกสั้นๆนี้ กลับฉุดความคิดผมให้คิดเตลิดไปมากขึ้น
เข้ามาอ่านบันทึก และ ได้อ่านข้อคิดเห็นของ อ.ดร.ธวัชชัย ทำให้ผมคิดย้อนกลับไปบันทึกล่าสุดของผมครับ สดับเสียงการเปลี่ยนแปลงของสังคมขัดเเย้ง
ข้อเสนอแนะของท่าน อ.ธวัชชัย นั้นเป็นจริงที่ผมรู้สึกเศร้าในสังคมที่ ใช้ระบบเพื่อนพ้อง แล้วฝังกลบมาตรฐานความดีงามไว้ ไม่รู้สึกรู้สา เราพบเห็นเรื่องราวเหล่านี้ ที่มักขัดต่อความรู้สึก ผมเองก็ทำใจได้ยากกับวิธีคิดที่เปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น
ความเศร้าที่พบกับความจริงจึงมาเยือนเป็นพักๆ ที่มีโอกาสได้รับรู้เป็นปกติครับสำหรับมนุษย์สามัญ คนเดินดินแบบผม
ก็ถือว่าได้เรียนรู้กันไป
"เป็นคนดีไม่มีเหงา" อยากให้ประโยคนี้เป็นกำลังใจให้คนดี คนที่ทำสิ่งที่ตนเองรัก เป็นสิ่งที่ชอบ และประกอบไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม จิตใจที่เป็นสุข ดีงาม
หากลองถามตัวเองดูว่า มีความสุขหรือไม่กับสิ่งที่ทำ คำตอบที่ได้ต่างเข้าข้างตนเองว่า "สุข" แต่มองลึกลงไปกว่านั้น เราต้องถามอีกว่าเป็นความสุขจริง หรือว่า สุข ปลอมกันแน่นะ สุขแล้วมีรอยด่างในใจ ...คงไม่ไหวเป็นแน่
"ความดีสวยงามเสมอ" ขอยกประโยคส่วนตัวมาอีกครั้ง เอาไว้ย้ำกับตนเองครับ
ขอบคุณครับ