เช่ารถรายชั่วโมง ร่วมกันประหยัด


ทำให้คนไม่จำเป็นต้องซื้อรถ จะไปไหนมาไหนก็คิดก่อนที่จะเช่า มันเป็นการประหยัดไปในตัว ใช้น้ำมันน้อยลง ใช้รถน้อยลง เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไปในตัว..

มาอยู่ต่างประเทศระยะสั้นๆ ทำให้ต้องปรับตัวหลายอย่างในวิถีการใช้ชีวิตประจำวัน  จากที่ตื่นเช้าขับรถไปทำงาน ไปทานอาหารเช้าและกลางวันที่ทำงาน ตอนเย็นก็แวะซื้ออาหารง่ายๆ จากที่ต่างๆ กลับบ้าน เสาร์อาทิตย์ บางทีก็ทำงาน หรือถ้าว่างก็พักผ่อน นอนเล่นบ้าง บางทีก็มีไปห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ บ้าน โดยนั่งมอเตอร์ไซค์หรือเอารถไปถ้าตั้งใจซื้อของชิ้นใหญ่ หรือซื้อของมากชิ้น

พอมาต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา การที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องปรับตัว เพราะที่นี่ห้างร้านและที่ต่างๆ นั้นสร้างอยู่ห่างกัน เนื่องจากไม่ใช่เมืองใหญ่ที่มีพื้นที่น้อย เมืองส่วนใหญ่ที่นี่มีการกระจายตัวทางราบสูง  และแน่นอนรถแท็กซี่หายาก ต้องโทรเรียก ส่วนรถเมล์วันธรรมดาอาจจะมาทุก ๒๐ นาที แต่ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ล่ะก็ชั่วโมงละคันก็เก่งแล้ว  คนส่วนใหญ่จะมีรถยนต์ส่วนตัวกัน แม้กระทั่งนักศึกษาก็มีรถยนต์ส่วนตัวกันมากพอสมควร เพราะฉะนั้นจะไปไหมมาไหนทีต้องคิดต้องวางแผนจัดเวลาให้ดี เพราะต้องไปให้ตรงนัด ต้องเผื่อเวลารถเมล์ หรือรถสาธารณะ หรือเผื่อเวลาเดิน

มาแรกๆ ก็ลำบาก เพราะไม่รู้เส้นทางเดินรถ ไม่รู้ตารางเวลา แต่พอหาตารางเวลาได้ พอจะรู้เส้นทางบ้าง ก็กลายเป็นทางเลือกที่ดีมาก เพราะไม่ต้องขับรถ ไม่มีภาระดูแลรถ หาที่จอด หรือเปลืองค่าน้ำมัน ฯลฯ  แต่ที่ยังลำบากอยู่บ้างคือการไปซื้อกับข้าวประจำอาทิตย์ เพราะจะต้องซื้อทั้งนม ทั้งน้ำ ทั้งอาหารที่จะซื้อมาเก็บใช้สำหรับสัปดาห์หน้า  ปัญหาคือ ถือคนเดียวเดินไกลๆ ไม่ไหว  พอดีบ้านที่อยู่ก็อยู่บนเนินเขาที่ทางเข้าบ้านชันพอควร และอยู่ห่างจากป้ายรถเมล์ประมาณเืกือบห้าร้อยเมตร  แรกๆ ก็เลยใช้วิธีซื้อทีละนิด เท่าที่จะใส่ Back Pack ขึ้นหลังได้ แต่วิธีนี้เสียเวลาเพราะต้องไปหลายครั้งเกินไป เที่ยวนึงจะเสียเวลาไปกลับทั้งหมดเกือบสองชั่วโมง ทั้งเวลารอรถเมล์ เดิน และเวลาซื้อของด้วย

พอไปเยี่ยมน้องที่เคยเรียนในช่วงเวลาเดียวกันที่ Purdue ปัจจุบันน้องเขาทำงานอยู่ธนาคารโลกที่ ดีซี เขาก็แนะนำว่าตอนนี้มีบริษัทที่ให้บริการเช่าใช้รถร่วมกัน (Time-sharing Car) อยู่ตามสถานีรถไฟฟ้าต่างๆ ในเมืองใหญ่ๆ ตอนแรกๆ ที่เขาไม่มีรถ เขาก็ใช้บริการนี้  เราก็ดีใจมาค้นดูที่แถวเมืองที่อยู่ ปรากฎว่ามหาวิทยาลัยมี corporate account กับบริษัทให้เช่ารถแบบนี้ สำหรับให้พนักงาน/คนทำงานในมหาวิทยาลัยที่ไม่มีรถใช้บริการเป็นพิเศษได้ โดยคิดค่ารายปีเพียง ๒๕ เหรียญ และจะได้เครดิตค่าเช่ารถเดือนละ ๔๘ เหรียญ ตกประมาณ ๖ ชั่วโมงวันธรรมดา (เสาร์อาทิตย์ ตกชั่วโมงละ ๑๐ เหรียญ)

รถเช่า

ภาพจาก www.zipcar.com

เราก็นึกในใจ เย้... แบบนี้สะดวกมาก เราแค่เอารถออกไปทีละชั่วโมงสองชั่วโมงไปซื้อกับข้าวต่อครั้ง ไปสักสองสามครั้งก็เกินพอแล้ว.. โอ๊ย ดีใจ รีบสมัครเลยค่ะ

ตอนสมัครมีปัญหานิดหน่อย เพราะเราไม่มีใบขับขี่ของที่นี่ เนื่องจากราคาค่าเช่านั้นรวมค่าประกันอุบัติเหตุแล้ว เขาต้องการประวัติของผู้เช่าที่มีประวัติดี ถึงมีใบขับขี่ของที่นี่ ก็ต้องมีประวัติให้เขาดูอย่างน้อย ๑ ปี แต่ตัวเองมีแต่ใบขับขีีสากล ประวัติขับขี่ของเมืองไทย กรมการขนส่งก็ไม่เคยเก็บ ประเทศที่เขาเข้มงวดเรื่องการขับขี่ส่วนใหญ่จะลิงค์ประวัติการขับขี่จากกรมตำรวจไปที่กรมการขนส่งด้วย แต่บ้านเรายังไม่มีแวว เห็นว่าจะทำอยู่ แต่ยังไม่สำเร็จ คงอีกนาน   พอดีเห็นเขาบอกว่าเอาประวัติประกันรถยนต์ที่เราใช้บริการอยู่ได้ ก็เลยติดต่อไปที่กรุงเทพประกันภัยทางอีเมล์ (ตอนนั้นไม่ได้หวังมากแล้วว่าจะได้ใช้บริการเช่ารถ) ปรากฎว่าทางกรุงเทพประกันภัยบริการลูกค้าดีมากๆ ออกหนังสือรับรองให้ดิฉันเป็นอย่างดี และรวดเร็วมากๆ ด้วย ๓ วันได้ใบรับรอง ส่งข้อมูลให้บริษัทให้เช่ารถ ก็ได้รับการอนุมัติทันที... ในที่สุดก็มีรถใช้ยามจำเป็น ^ ^

เรามาดูลักษณะการให้บริการของการเช่ารถลักษณะนี้หน่อยนะคะ ดิฉันว่าเข้าท่าทีเดียวสำหรับเมืองใหญ่ๆ ทำให้คนไม่จำเป็นต้องซื้อรถ จะไปไหนมาไหนก็คิดก่อนที่จะเช่า มันเป็นการประหยัดไปในตัว ใช้น้ำมันน้อยลง ใช้รถน้อยลง เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไปในตัว

่าเช่าวันธรรมดา ๘ เหรียญ/ชั่วโมง ถ้าเช่า ๑๒ ชั่วโมง ตั้งแต่ ๗ โมงเช้า ถึง ทุ่ม ราคา ๔๒ เหรียญ ถ้า ๒๔ ชั่วโมงจะราคา ๕๖ เหรียญ  ดูเหมือนแพงใช่ไหมคะ แต่ราคานี้รวมค่าน้ำมันกับประกันอุบัติเหตุแล้วนะคะ (ถ้าเกิดอุบัติเหตุจะจ่ายค่าเสียหายไม่เกิน ๕๐๐ เหรียญ)  สำหรับราคาค่าเช่าเสาร์ อาทิตย์จะแพงขึ้นเป็นชั่วโมงละ ๙-๑๐ เหรียญ และถ้าเช่าแบบ ๑๒ ชั่วโมงหรือ ๒๔ ชั่วโมงก็แพงขึ้นตามลำดับค่ะ

ถ้าเทียบกับการเช่ารถทั่วไป หนึ่งวันค่าเช่าน่าจะตกประมาณ ๒๕ เหรียญ แต่ประกันอุบัติเหตุ damage waiver อาจจะตกประมาณ ๓๐ เำหรียญต่อวันได้ แต่เราต้องจ่ายค่าน้ำมันเอง

ถ้าเทียบกันแล้ว เราใช้รถแป็บๆ เป็นรายชั่วโมง แบบ Time-sharing จะคุ้มกว่ามากๆ ค่ะ เลือกเวลาได้ มีรถให้เลือกหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่เราก็เลือกตามจุดที่เราใช้ประจำ คันที่จอดอยู่ใกล้ๆ จุดที่เราทำงานหรือบ้านเรามากที่สุด  ตัวเองใช้ฮอนด้า ซีวิค ไฮบริด อยู่เป็นประจำ คันนี้จอดอยู่ใกล้ๆ ออฟฟิซ  บริเวณใกล้ๆ ที่ทำงานนี้มีรถให้บริการอยู่ ๘ คัน มีทั้งรถซีดาน รถกระบะ ฯลฯ

ซีวิคคันที่เช่าใช้เป็นประจำ จอดอยู่หน้าป้ายรถเมล์พอดี ดอกซากุระแถวที่จอดยังเยอะอยู่เลย

ข้อดีอีกอย่างคือ ถ้าเราไปเมืองใหญ่ๆ เมืองอื่นๆ ในอเมริกา ก็สามารถใช้่บริการเช่ารถตามจุดชุมชนต่างๆ ได้สบายๆ เลย เรียกว่าไปที่ไหนก็มีรถใช้อำนวยความสะดวกตามความต้องการของเราได้สบายๆ

ข้อดีอีกอย่างคือค่าปรับเวลาคืนรถช้านั้นแพงมากๆ คือ ๕๐ เหรียญต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้น เวลาจะใช้รถ จะวางแผนล่วงหน้าเป็นอย่างดี ทำให้เป็นการประหยัดไปในตัว ดิฉันพบว่าตัวเองนิยมการใช้รถสาธารณะหรือเดินมากขึ้น และเวลาจะเช่ารถก็คิดก่อนว่าจะไปที่ไหนบ้าง ไปเส้นทางไหน ใช้เวลาเท่าไหร่ เป็นการวางแผนการใช้เวลาและใช้รถดีมากๆ เลยค่ะ

ถ้าในกรุงเทพมีบริการแบบนี้บ้างก็คงจะดีนะคะ เผื่อปริมาณรถจะลดลงบ้าง ใช้ทรัพยากรโลกน้อยลง มลภาวะก็จะได้น้อยลงด้วย

หมายเลขบันทึก: 176161เขียนเมื่อ 9 เมษายน 2008 22:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:56 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

ดีจัง สะดวกดี แต่ขับซ้ายงงๆ มั้ยพี่ อือ...ถ้าเมืองไทยบริการขนส่งมวลชนดีๆ หรือบริการ time sharing ก็คงไม่ต้องใช้รถกันเยอะขนาดนี้ แต่เช่าเมื่อใช้ก็ประหยัดดีนะ ปัญหาเดียวที่ไม่ใช้บริการรถสาธารณะคือ บริการแย่ แต่ก็มีนั่งรถไฟฟ้าบ้างเวลารถติด ไม่ชอบนั่งแท๊กซี่เพราะรำคาญคนขับบางประเภท ไม่ได้นั่งรถเมล์นานแล้วเพราะห่วงชีวิตตัวเองและขี้เกียจรอ เวลามีค่า มัวรอรถก็ไม่ทันกินแน่นอน ทุกวันนี้ก็ช่วยลดมลภาวะด้วยการใช้อีเมล์ติดต่องานมากขึ้น ประหยัดเวลา น้ำมัน และค่าใช้จ่ายด้วย ถ้าวันไหนไม่จำเป็นทำงานอยู่บ้านก็ได้ ได้งานเหมือนกัน อยู่ที่วินัยในการทำงานของตัวเอง ไม่ต้องมีใครมาคุม

สวัสดีครับ

ผมก็บ่นมาสิบกว่าปีได้แล้ว เรื่องรถสาธารณะที่ควรจะสะดวกกว่านี้ รถเมล์ที่ดีกว่านี้ รถแทกซี่ที่เรียกแล้วรับ ไม่พูดลวนลามผู้หญิง ฯลฯ (คล้ายๆ ความเห็นข้างบน)

ติดสะระตะแล้ว คงเห็นว่าซื้อรถคุ้มกว่า ตอนนี้ถึงได้มีรถเกลื่อนเมือง ส่วนรถสาธารณะก็ยังทุเรศทุรังเหมือนเดิม

เฮ้อ...

สะดวกกว่าสมัยก่อนนะคะ ไม่จำเป็นต้องซื้อรถหรอก แต่เรื่องรถเมล์ ยังเหมือนเดิม รอนานมากๆ คนเราอยู่ทีไหน ก็ต้องปรับตัวนะคะ แต่ต่อมาก็ชินเอง

สวัสดีจ๊ะน้องซูซาน

ขับรถที่นี่ สำหรับพี่ไม่ยากนัก ท่องอย่างเดียว ชิดขวาๆๆๆๆๆ 5555

ดีว่าที่เป็นเกียร์ออโต้ ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ ก็สบายหน่อย ไม่งั้นจะเปลี่ยนเกียร์ทีนึงก็จะกลายไปเป็นจับที่เปิดประตูรถทุกที 5555

ที่สับสนแต่ปรับตัวไม่นานอีกอย่างคือ สัญญาณไฟเลี้ยวกลายมาเป็นมือซ้าย คันที่ขับอยู่ที่บ้านเรามันเป็นขวามือน่ะ

เวลาขับในเลนก็พยายาม align รถให้ตรงกับคันข้างหน้า เพราะเรามี tendency จะขับเบียดกินเลนทางขาวมาก เนื่องจากนั่งคนละฝั่งกับที่เคยนั่งขับ ยังกะไม่ค่อยถูก

เรื่องการลดการเดินทาง แล้วทำงานอยู่กับบ้านมากขึ้นก็เป็นทางเืลือกที่ดี ถ้าทำได้นะ แต่อาจจะไม่ทุกคนที่มี option นี้ในเมืองไทย ที่อเมริกามีคนทำงานอยู่กับบ้านเยอะเหมือนกันจ๊ะ

พี่ก็ใช้บริการแท็กซี่ในเมืองไทยบ้าง แต่ก็จะเลี่ยงเหมือนกันถ้าเลี่ยงได้ ส่วนรถเมล์ก็ใช้บ้างเวลาไปทำธุรกรรมกับธนาคารใกล้ๆ ที่ทำงานน่ะ

สรุปแล้วกรุงเทพยังต้องการทางเลือกการเดินทางมากกว่านี้หรือดีกว่าที่เป็นอยู่นะ พี่ว่าทำยากเพราะจำนวนคนเยอะ พื้นที่น้อย และผังเมืองที่ไม่เคย enforce ได้ด้วยแหละ

สวัสดีค่ะคุณธ.วั ช ชั ย

อย่างว่านะคะ การขาดรากฐานการพัฒนาเมืองที่ดีก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ ตามใจคือไทยแท้ ก็เลยได้เมืองแบบตามใจฉัน (ที่ไม่เป็นไปตามใจใครสักคน) แบบนี้

พอดีเห็นว่าต่างประเทศเขามีรูปแบบการให้บริการแบบใหม่ (เมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่มี) ก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง เพราะสำหรับตัวเองแล้วมีประโยชน์และประหยัดทรัพยากรโลกมากๆ ค่ะ

สำหรับบ้านเราก็คงต้องช่วยๆ กันคนละไม้คนละมือต่อไปนะคะ ^ ^

สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์

ใช่ค่ะ สะดวกกว่าสมัยก่อนเยอะเลยค่ะ มีรถให้เช่าเป็นรายชั่วโมง เราก็มีทางเลือกที่จะไม่ต้องซื้อรถได้ ประหยัดไปเยอะค่ะ เพิ่มความสะดวกให้เราในส่วนที่จำเป็นด้วย ไม่ต้องแบก grocery หนักๆ อีกต่อไป ^ ^

สวัสดีค่ะ อ.ตุ๋ย

คนคิดนี่ฉลาดมากนะคะ มาอุดช่องโหว่ให้กับคนที่ไม่คิดว่าจะต้องใช้รถทั้งวัน โดยเฉพาะเหมาะกับความต้องการของอ.ตุ๋ยเป๊ะเลย ดีจังเลยค่ะ สงสัยเจ้าไอเดียของเคยเจอปัญหามา แถมมีความต้องการแบบนี้เยอะ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ อ่านที่น้องตุ๋ยเล่าให้ซูซานฟังเรื่องขับรถ เป็นความรู้สึกเดียวกันเลยค่ะ ..อ่านแล้วก็อมยิ้มตามไปด้วยค่ะ  

ส่วนเมืองไทย ท่าจะยาก กะเวลาให้ส่งคืนรถเนี่ย สงสัยเจอค่าปรับอานแน่นอนค่ะ และทางเลือกมีให้เยอะค่ะ เห็นต่างชาติติดใจตุ๊กๆเรา ถึงแม้จะมีควันท่อไอเสีย เค๊าก็ไม่บ่นกัน สงสัยอาการสนุกตื่นเต้นในการนั่งมีมากกว่าควันที่รบกวน

ขอบคุณค่ะที่มาเล่าสู่กันฟัง

สวัสดีค่ะพี่อุ๊

ใช่ค่ะ คิดว่าเขาหาช่องว่างตลาดได้ดีมากๆ เลย แต่ถ้าพูดถึงกรุงเทพเจอปัญหารถติดก็คงแย่เหมือนกันนะคะ ที่นี่เขาให้แบ่งเช่าได้ทีละครึ่งชั่วโมง อย่างต่ำน่าจะเช่าหนึ่งชั่วโมงค่ะ แต่ถ้าเป็นกรุงเทพฯ สงสัยต้องแบ่งเช่าทีละหกชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ เผื่อเวลาไปให้หมดเลย

สำหรับ zipcar ที่ใช้อยู่ ถ้าส่งรถคืนไม่ทัน สามารถจองต่อได้ แต่เสียค่า fee นิดหน่อยน่าจะ 4-5 เหรียญเพื่อให้ operator ยืดเวลาจองรถให้ แต่ถ้ามีคนจองคิวรถต่อต่อเราพอดีก็โดนปรับแน่ๆ ค่ะ

เมื่อกี้เพิ่งไปเช่ารถซื้อกับข้าวมาชั่วโมงครึ่ง สบายๆ เอาของไปเก็บที่บ้านเรียบร้อย เอารถมาคืนที่ๆ จอดที่มหาวิทยาลัย ก่อนเวลาประมาณ ๕ นาที อาศัยว่าบ้านอยู่ใกล้ รถไม่ติด ก็เลยกะเวลาได้พอดี แล้วก็มานั่งเขียนตอบพี่อุ๊นี่แหละค่ะ ^ ^

เที่ยวนี้ถ่ายรูปรถมาด้วย เดี๋ยวจะเอามาโชว์ คืนนี้จะเอารูปลงค่ะ

สวัสดีครับ

คุณ กมลวัลย์

สะดวกดีนะครับ

แล้วก็ยังมีรถให้เราเลือกหลายแบบด้วยนะครับ

ถ้าในเมืองไทยมีแบบนี้บ้างก็ดีนะครับ

ดูเหมือนจะลำบาก แต่ก็ไม่ลำบาก ถ้าหากมีการวางแผนที่ดี ฝึกฝนตนเอง

Take Care Yourself ครับอาจารย์ :)

สวัสดีค่ะคุณ HeadOfArt

มีรถให้เลือกหลายแบบมากค่ะถ้าอยู่ตามชุมชนใหญ่ๆ อย่างที่สถานีรถไฟฟ้าที่เมืองที่อยู่ จะมีจอดอยู่ 4 คันด้วยกัน ก็เลือกเอาว่าชอบรถแบบไหนค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรถวัยรุ่น หรือรถกระบะสำหรับเอาไว้ขนของชิ้นใหญ่ ถ้าเป็นสถานีในเมืองใหญ่อย่างดีซี ก็จะมีรถหรูให้เลือกเช่น บีเอ็ม หรือรถเก๋ๆ อย่างออสติน มินิ แต่รถพวกนี้จะราคาค่าเช่าสูงกว่าที่ใช้อยู่ค่ะ ก็เลือกกันตามสะดวกน่ะค่ะ

อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้บ้างเหมือนกันน่ะค่ะ แต่เรื่องระบบจราจร และวินัยของผู้คนต่างกัน ก็คงต้องปรับสูตรบ้าง ถ้ามีใครคิดนำไปทำค่ะ แต่ถ้ามองในกรุงเทพ สถานที่ต่างๆ อยู่ไม่ห่างกันมากนัก ขอให้มีรถสาธารณะดีๆ วิ่งไปถึงและตรงเวลาก็คงใช้ได้แล้วล่ะค่ะ แต่ก็คงยังยากอยู่ในสภาพปัจจุบัน..

สวัสดีค่ะอ.วสวัตดีมาร

ชีวิตที่นี่ไม่ลำบากเลยค่ะ ถ้าเรารู้จักจัดสรรเวลา และมีเงินบ้างเพียงพอต่อชีวิตประจำวัน ก็คงเหมือนอยู่เมืองไทยแหละค่ะ ยังรู้สึกเลยว่าตัวเองใช้สตางค์น้อยมาก ก็ไม่ได้ใช้อะไรนอกจากซื้ออาหารกับน้ำมันรถ(ซึ่งแพงกว่าอาหาร 5555)

ช่วงนี้น้ำมันแพงมาก การเช่ารถในลักษณะ Time-Sharing นี้จะคุ้ม เพราะเขารวมค่าน้ำมันในค่าเช่าแล้ว แต่ก็มีlimit สักประมาณ 250 miles/วัน เกินจากนี้รู้สึกว่าจะต้องจ่ายเองค่ะ

ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ถ้าเรารู้จักปรับตัว และรู้จักความพอดี รู้จักความพอเพียง ก็อยู่อย่างมีความสุขตามอัตภาพได้ค่ะ ^ ^

สวัสดีค่ะอาจารย์ตุ๋ย..รถสวยเชียวค่ะ...เช่าแบบนี้ต้องล้างรถก่อนคืนไหมคะ...ไม่รู้ที่เชียงใหม่มีไหม..รู้แต่ว่าบริการรถเช่าเยอะมาก และมีรถทุกประเภทเพราะว่านักท่องเที่ยวเยอะ...เมื่อก่อนน้องที่รู้จักคนหนึ่งเขาจะซื้อรถแล้วไม่รู้ว่ายี่ห้อไหนคันไหนจะถูกใจบ้าง เขาก็ลงทุนไปเช่ารถยี่ห้อที่มาดหมายไว้นั้นขับคันละวัน จนได้ยี่ห้อที่ถูกใจ ^^

 

สวัสดีค่ะพี่สร้อย

จริงค่ะ รถสวยดี ^ ^ เป็นสีที่เราชอบด้วยสิ สีแบบมองไม่ค่อยเห็นฝุ่นน่ะค่ะ แต่ฝุ่นที่นี่ก็ไม่มากค่ะ

สำหรับเรื่องล้างรถก่อนคืนนั้น ไม่ต้องค่ะ แต่ไปทุกทีรถก็สะอาดดีค่ะ ขนาดตากแดดตากฝน(ที่ตกบ่อยเหมือนกัน)ตลอดเวลา ภายในมีฝุ่นสกปรกอยู่บ้าง ตามประสารถใช้งานน่ะค่ะ ก็คล้ายๆ รถเราที่มีฝุ่นตอนใช้งานมาแล้วสักอาทิตย์หนึ่งน่ะค่ะ แต่ท้ายรถสะอาด มีแปรงปัดฝุ่นอันใหญ่อยู่ท้ายรถหนึ่งอัน แต่ไม่เคยต้องใช้เลยค่ะ กำลังเดาว่าเขาจะต้องมีคนเอารถไปทำความสะอาดเป็นช่วงๆ รวมทั้ง maintain รถทั่วๆ ไป เช่น เติมน้ำให้ที่ปัดน้ำฝน หรือเติมลมยาง ตรวจสภาพรถยนต์ ฯลฯ

กฎบริษัทเขาบอกว่าให้ทุกคนช่วยกันรักษาความสะอาดภายในรถ เราเองก็ไม่ขนอะไรนอกจาก grocery ที่ใส่ถุงพลาสติกเรียบร้อยอย่างดี ก็ไม่มีอะไรเลอะเลยค่ะ

เรื่องเช่ารถขับก่อนไปซื้อนั้น ก็เคยมีเพื่อนทำที่อเมริกาค่ะ คุ้มกว่ากันเยอะค่ะ เพราะจะได้รถที่ถูกใจแน่นอน ^ ^ ส่วนรถเช่าที่เชียงใหม่ก็เคยเช่าจาก airport ครั้งที่ไปงาน gotoknow ที่อ.พิชัยจัดไงคะ จำได้ว่าพี่สร้อยนั่งมาด้วยกับพ่อกับแม่มาจากร้านอาหารที่ airport ไปที่โรงแรมน่ะค่ะ คิดว่าจำไม่ผิดนะคะ ^ ^

แวะมาเยี่ยมครับพี่ตุ๋ย ผมเพิ่งมีเวลาเข้ามาอ่าน blog พี่แต่ก้ออ่านเพลินไปเลยครับ :)

ปล เห็นด้วยครับว่ามีรถภาระเยอะ เพราะตอนนี้ผมก้อเดินไปทำงานทุกวันครับ

สวัสดีจ๊ะ Frank

ดีนะที่ enjoy อ่านบันทึกพี่ บางทีพี่ก็คิดว่าตัวเองร่ายยาวเิกินในบางเรื่อง 555 รู้สึกว่าเป็น occupational hazard อิอิ โทษไปนั่น

ดีนะที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัย พี่เองก็เดินมาที่ทำงานทุกวันเหมือนกัน วันไหนโชคดีรถเมล์โรงเรียนผ่านมาพอดีก็ขึ้น ^ ^ ป้ายเดียวเอง

เขียนเล่าเรื่องที่กลาสโกว์บ้างก็ได้นะ น่าจะมีอะไรในเชิงวัฒนธรรมและความเป็นอยู่อาศัย ที่คนไทยไม่รู้เยอะเหมือนกัน

แล้วเจอกันที่เมืองไทย ขอบคุณที่แวะมาทักทายนะจ๊ะ

ที่อเมริกาเมืองใหญ่นั้นใหญ่จริงๆนะคะ เรื่องการใช้รถจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ระบบการเช่ารถแบบที่เล่ามานี้แสดงถึงความช่างคิด และคิดอย่างมีระบบของผู้คิดการให้บริการแบบนี้ ผู้ใช้ก็ต้องมีวินัย รู้จักการวางแผน ระบบอย่างนี้นำมาใช้เมืองไทยคงจะไม่ค่อยเวิร์คด้วยเหตุผลหลายประการ อย่างในกรุงเทพนั้นก็รถติดมากทำให้วางแผนการเดินทางอย่างควบคุมเวลาทำได้ยากหากไม่ใช้รถไฟฟ้า และรถยนต์เมืองไทยราคาแพง คงมีเรื่องรถหายบ่อยๆ และคนไทยไม่ค่อยมีวินัยหรือความทะนุถนอมต่อสิ่งที่เป็นสาธารณะ หากใช้รถที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของละก็คงทำรถยับเยิน และพี่ว่าประการสำคัญคือ คนไทยไม่น้อยยังต้องการเป็นเจ้าของรถเองจากการที่การมีรถเป็นเครื่องแสดงฐานะอย่างหนึ่ง เราจึงเห็นคนที่เงินเดือนไม่ได้มากนักแต่กัดฟันผ่อนรถหรูราคาแพง

ที่ปารีสเพื่อนพี่เล่ามาว่ามีระบบที่เทศบาลเมืองเป็นผู้ให้บริการให้เช่าจักรยาน มีตามจุดใหญ่ๆทันสมัยมาก ใช้ระบบการ์ดเติมเงินไปนำจักรยานออกมาจากช่องเป็นเทอร์มินัลเสียบได้หลายๆคัน ขี่ไปไหนๆแล้วก็ไปคืนที่ใกล้ที่สุดที่เราไป เห็นบอกว่าประสบความสำเร็จมาก หากเดือนมิถุนายนได้ไปปารีสอีกครั้งจะเก็บภาพมาฝาก

ต่างก็พยายามหาวิธีการประหยัดพลังงาน หลังจากที่เพลินจนสร้างปัญหาแก่โลกทั้งใบนะคะ

ว่าแล้วไปพายเรือดีกว่า

สวัสดีค่ะพี่นุช

ระบบรถเช่านี้สะดวกมากๆ ค่ะ และเหมาะกับผู้ที่มีวินัย และต้องการประหยัดพลังงาน รักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยค่ะ มานี่ได้เดินมากขึ้น ได้ชื่นชมธรรมชาติมากขึ้น เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ แถมไม่มีภาระกังวลดูแลรถด้วยค่ะ อยู่ที่นี่สมบัติมีน้อยชิ้น ถือเป็นบุญค่ะ ^ ^

ถ้านำระบบแบบนี้ไปใช้ในกรุงเทพก็คงจะเป็นจริงอย่างที่พี่นุชว่าไว้นะคะ ก็เหมือนกับเทคโนโลยีนั่นแหละค่ะ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าระบบที่ดีและใช้ได้ดีกับที่หนึ่ง นั้นอาจจะใช้ไม่ได้ดีกับอีกที่หนึ่ง ตัวแปรก็คือคนและสิ่งแวดล้อม ทำให้คิดถึงเทคโนโลยีมือถือ วัฒนธรรมตะวันตกที่สะพัดเข้ามาในเมืองไทย และถูกหยิบไปใช้อย่างฉาบฉวยโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม ทำให้เป็นบ่อเกิดของปัญหาทางสังคมที่ตามมาอีกมากมายนะคะ

พอพูดถึงโครงการเช่าจักรยาน ทางมหาวิทยาลัยเขากำลังทำอยู่เลยค่ะ เพิ่งทำ Online Survey ออกมา แต่คงไม่ทันได้อยู่ใช้ระบบนี้ค่ะ รับรองได้ว่ามีตั้งแต่ต้นก็คงเช่าใช้แน่นอนค่ะ รถเมล์ที่นี่เขามีที่ห้อยรถจักรยานด้านหน้าค่ะ เห็นหลายคนทำแล้ว แต่ตอนขึ้นรถไฟยังไม่เห็นคนเอาขึ้นเท่าใหร่ค่ะ เคยเห็นชายหนุ่มคนนึง เอาจักรยานมาสองคันขึ้นรถเมล์ค่ะ เขาคล่องมากๆ เลย ^ ^ แล้วอย่าลืมเก็บภาพปารีสมาฝากนะคะ เมืองนี้สวยจริงๆ ค่ะ เคยไปนานแล้วแบบไม่ได้ดูอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ประทับใจมากค่ะ

จริงๆ แล้วภาพจากแม่น้ำตอนพายเรือก็ดีนะคะ ^ ^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท