คำขอที่ยิ่งใหญ่


บ้านเมืองจะมีความสุขมากกว่านี้ หากผู้มีอำนาจรู้จักขอโทษผู้ด้อยอำนาจ พ่อแม่รู้จักขอโทษลูก เจ้านายรู้จักขอโทษลูกน้อง เจ้าอาวาสรู้จักขอโทษลูกวัด หมอรู้จักขอโทษคนไข้ และนายกรัฐมนตรีรู้จักขอโทษประชาชนกัน

สวัสดีครับกัลยาณมิตรที่เคารพรักทุกท่าน

ด้วยเหตุผลหลายประการที่ทำให้ผู้เขียนต้องห่างหายไป  แม้จะห่างหายแต่ไ่ม่ห่างเหินครับ  เพราะมีกัลยาณมิตรหลายท่านยังแวะเวียนติดต่อ  บ้างก็มาเยี่ยมในบันทึก  บ้างก็ส่งอีเมล์  บ้างก็ส่งหนังสือ  และบ้างก็ส่งโปสการ์ดมาให้

เหตุผลหลักข้อหนึ่งในหลายๆ เหตุผลนั้นก็คือ  การเจียมตัวเองที่ไม่กล้าเขียนบทความเกี่ยวกับธรรมะมากนัก  เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองศึกษาและปฏิบัติมาน้อยมากๆ  อาศัยก็แต่ความชอบเป็นการส่วนตัวเท่านั้น  เมื่อเรารู้น้อยแม้จะระมัดระวังแค่ไหนก็ตาม  ก็อาจแสดงความโง่ที่ดูฉลาดออกมา  แล้วถ้าความโง่นั้นเป็นสิ่งสกปรก  ที่ทำให้แปดเปื้อนแก่พระพุทธศาสนา(ซึ่งความเป็นจริงตัวศาสนาไม่อาจแปดเปื้อนได้) แล้ว  ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยแต่ตัวเองเป็นที่ยิ่ง

แต่ก็นั่นแหละครับ  บางทีการได้มาบางอย่างก็ย่อมต้องสูญเสียบางอย่างไป  หากเรายอมแสดงความโง่โดยบริสุทธิ์ใจสักนิด  แล้วได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่คือไมตรีจิตจากกัลยาณมิตรในสังคมแห่งนี้แล้ว  ผู้เขียนก็เห็นว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้วครับ

ในสังคมอันวุ่นวายแห่งนี้  เราต้องเจอกับปัญหาหลายด้านเหลือเกิน และหนึ่งในนั้นคือวิกฤติการบกพร่องอย่างร้ายแรงด้านคุณธรรมและจริยธรรมของบรรดา(ผู้ที่อยากเป็น)ผู้นำประเทศ 

เยาวชน(หรือแม้แต่ผู้ใหญ่)  ก็ได้รับแบบอย่างการโกหกหลอกลวง  การทำเพื่อประโยชน์ตัวเองและเพื่อนพ้องโดยไม่สนใจวิธีการ  ว่าวิธีนั้นจะบริสุทธิ์ยุติธรรมและเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นหรือไม่

ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะมีให้เห็นในสังคมชาวพุทธ  หรือนี่จะเป็นตัวบ่งชี้อะไรบางอย่างในอนาคตอันใกล้  ผู้เขียนไม่มีความสามารถในด้านพยากรณ์  แต่พอจะรู้ว่าคงไม่สู้ดีแน่ถ้าเรายังเป็นกันอย่างนี้

มาช่วยกันเถอะครับ  มาช่วยกันศึกษา ขุดค้น ปฏิบัติ เอาพระพุทธศาสนาแท้ๆ มาปัดฝุ่น ปรับใช้กันให้เป็นรูปธรรมเด่นชัด  ไม่ใช่เอาวัตถุมาล่อให้หลงใหลกันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ลองนึกกันดูเล่นๆ นะครับ  ว่าถ้าตอนนั้นเรามีชีวิตอยู่ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่  เราจะมีอะไรให้ยึดถือบ้าง  ทั้งๆ ที่ตอนนั้นไม่น่าจะมีวัดที่อลังการกันอย่างปัจจุบัน  วัตถุมงคลก็คงไม่ต้องพูดถึง คงไม่มีแน่(หรือมี?)  แล้วเมื่อเทียบกับตอนนี้คงเห็นว่ามันต่างกันอย่างมากมาย อย่างไม่น่าให้อภัยด้วยซ้ำ

มาช่วยกันนะครับ(กราบก็ได้ เอ้า) มาช่วยกันนำบรมธรรมอันลึกซึ้ง  มาช่วยกันศึกษา ช่วยกันฝึกปฏิบัติ ส่งเสริมให้คนเก่งคนดีเป็นพุทธบุตร ก็เพื่อลูกหลานของเราจะได้อยู่ได้อย่างสุขสงบ  ท่ามกลางกลียุคที่นับวันจะเข้มข้นขึ้นทุกที  ส่วนนักการเมืองเหล่านั้น ก็ปล่อยเขาไปเถอะครับ อย่าไปแย่งกันลงนรกกับพวกเขาเลย

ต้องขอโทษที่เขียนมากหน่อย  สงสัยอั้นไว้นานมั้งครับ  คงต้องขอหยุดไว้แค่นี้ก่อน  เพราะผู้เขียนได้คัดลอกบทความมาเป็นของขวัญแก่ทุกท่านไว้ยาวพอสมควร เดี๋ยวบันทึกจะยาวเกินไป

ต้องขอบคุณ ขอบใจ ขอบพระคุณ กัลยาณมิตรทุกท่านที่ให้กำลังใจกันเสมอมา แม้ผู้เขียนจะหายหน้าไปนานก็ตาม  ต่อไปเราคงพบหน้ากันบ่อยขึ้น  อยากขอบคุณเป็นรายบุคคลก็กลัวจะตกหล่นครับ  แต่ก็ต้องขอขอบคุณเป็นพิเศษจริงๆ กับผู้หญิงคนหนึ่ง  ที่ถ้าการติดต่อของเธอเป็นเรื่องของหนุ่มจีบสาว  ป่านนี้คงสำเร็จไปแล้วครับ  เพราะทั้งๆ ที่ผู้เขียนหายไป เธอทั้งติดต่อทางอีเมล์  ส่งหนังสือมาให้  ส่งคำถามมาให้  หรือแม้แต่อ้างอิงที่บันทึกของตัวเอง  อยากรู้ว่าเป็นใครก็ดูหน้ากันเอาเองครับ

P

ธรรมะสวัสดีครับ

 


คำขอที่ยิ่งใหญ่

           การอยู่ร่วมกันอย่างสันติเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความอยู่รอด  ไม่ใช่แต่มนุษย์เท่านั้นที่ตระหนักถึงความจริงข้อนี้  สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกหลายชนิดที่อยู่กันเป็นฝูงก็ “รู้” เช่นกัน  สัตว์เหล่านี้รู้ดีว่ามันไม่อาจอยู่ได้ด้วยลำพังตนเอง  แต่ต้องต้องพึ่งพาอาศัยตัวอื่นด้วย  ความสมัครสมานสามัคคีจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก  แต่ในการอยู่ร่วมกันนั้น  การกระทบกระทั่งหรือความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก  ในกรณีเช่นนั้นมันจะทำอย่างไร?

          สัตว์หลายชนิดเลือกใช้วิธี “คืนดี” กัน  เมื่อแพะทะเลาะกันเรื่องอาหาร  ไม่นานมันจะกลับมาแสดงความเป็นมิตรต่อกัน เช่น เลียขนหรือเอาจมูกไซ้ลำตัวของปรปักษ์ที่เพิ่งทะเลาะกัน  ปลาโลมาก็เช่นกัน  หลังจากต่อสู้กันแล้ว  มันจะเอาตัวมาสีกันเบาๆ  หรือไม่ก็เอาปากดุนหลังของอีกตัว  แม้แต่หมาป่าไฮยีน่าซึ่งขึ้นชื่อว่าดุร้ายและเจ้าอารมณ์  ก็ยังหันหน้าเข้าหากันหลังจากทะเลาะกันอย่างดุเดือด  เป็นการเลียตัวหรือถูสีข้าง  ยิ่งญาติที่สนิทกับมนุษย์ด้วยแล้ว  ไม่ว่าชิมแปนซี กอริลล่า หรือโบโนโบ  ล้วนเป็นนักคืนดีที่มีลูกเล่นแพรวพราว  ไม่ใช่แค่หาเหาหรือเกาหลังให้เท่านั้น  หากยอมให้ขึ้นคร่อม  อย่างหล้งนี้เป็นลักษณะเด่นของโบโนโบเลยทีเดียว

          น่าสังเกตว่าในการคืนดีกันนั้น  สัตว์ตัวที่อ่อนแอหรือพ่ายแพ้ในการต่อสู้จะเป็นฝ่ายริเริ่มเข้าหาก่อน (ยกเว้นโบโนโบ  ซึ่งตัวที่ชนะจะเป็นฝ่ายที่ริเริ่มก่อน)  มองจากสายตาของมนุษย์  นี้เป็นเรื่องของกฎป่าที่ถือว่าอำนาจเป็นใหญ่  ดังนั้นตัวที่อ่อนแอก็ต้องสยบยอมตัวที่แข็งแรง  แต่มองในอีกแง่หนึ่ง  จะสังเกตว่าสัตว์เหล่านี้ไม่เคยเถียงกันว่า ใครผิด ใครถูก  แน่ละมันคงไม่มีปัญญาพอที่จะตั้งมาตรฐานถูก-ผิดอย่างมนุษย์  แต่อย่างน้อยมันก็รู้ว่าการเป็นศัตรูกันนั้นไม่เป็นผลดีทั้งต่อตัวมันเองและต่อทั้งฝูง  มันอาจโง่ในหลายเรื่อง  แต่มัน “ฉลาด” พอที่จะรู้ว่าเป็นมิตรกันนั้นดีกว่าเป็นศัตรูกัน  จะโดยการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือการส่งผ่านทางพันธุกรรมก็แล้วแต่  การคืนดีจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของสัตว์เหล่านี้          ในฐานะที่เป็นสัตว์ชั้นสูง  มนุษย์ก็มีสัญชาตญาณคืนดีเช่นเดียวกัน  ถึงแม้เราจะเลิกเลียตัวหรือหาเหาให้กันมานานแล้ว  แต่เรามีวิธีหลากหลายมากในการคืนดีและผูกไมตรีกัน  การให้ของขวัญเป็นตัวอย่างหนึ่ง  แต่วิธีหนึ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับมนุษย์เราก็คือ การขอโทษ

          การขอโทษเป็นสิ่งสะท้อนถึงพัฒนาการของมนุษย์  จากการอาศัยพละกำลังเป็นเครื่องตัดสิน (might is right) มาเป็นการตัดสินโดยอาศัยความถูกต้องเป็นใหญ่ (right is might) กล่าวอีกนัยหนึ่งการขอโทษได้ช่วยให้การคืนดีพัฒนาไปอีกก้าวหนึ่ง  แทนที่การริเริ่มคืนดีจะเป็นหน้าที่ของผู้อ่อนแอ  ก็กลายเป็นภาระของผู้ที่ทำผิดพลาด  แม้ว่าผู้นั้นจะมีอำนาจหรือพละกำลังเหนือกว่าก็ตาม

          การขอโทษมิใช่เครื่องหมายของความอ่อนแอ  มีแต่ในอาณาจักรสัตว์เท่านั้นที่ตัวอ่อนแอเป็นฝ่ายคืนดีก่อน  แต่สำหรับมนุษย์ผู้มีวัฒนธรรมแล้ว  ผู้ที่เอ่ยปากขอโทษก่อนต่างหากคือผู้ที่เข้มแข็งกว่า  เข้มแข็งเพราะเขากล้ารับผิด  เข้มแข็งเพราะเขากล้าขัดขืนคำบัญชาของอัตตาที่ต้องการประกาศศักดาเหนือผู้อื่น

          การขอโทษเป็นเครื่องแสดงถึงความมีอารยะของบุคคลผู้กระทำการดังกล่าว  เพราะแสดงให้เห็นถึงความรู้ผิดรู้ชอบในมโนธรรมสำนึกของเขา  เป็นมโนธรรมสำนึกที่บอกเขาว่าความถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอำนาจ  เยอรมนีเป็นประเทศที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าโปแลนด์  แต่เมื่อนายวิลลี่ บรันดท์  นายกรัฐมนตรีเยอรมันคุกเข่าต่อหน้าอนุสาวรีย์วีรชนโปแลนด์ที่กรุงวอซอเมื่อ ๓๕ ปีก่อน  เพื่อแสดงการขอโทษแทนชาวเยอรมันที่ก่อกรรมทำเข็ญแก่ชาวโปแลนด์ในสงครามโลกครั้งที่สอง  เขามิได้ทำให้เยอรมนีตกต่ำหรืออ่อนแอลงเลย  ตรงกันข้ามเยอรมนีกลับมีเกียรติภูมิสูงส่งขึ้นในสายตาของชาวโลก  เป็นเกียรติภูมิที่ไม่อาจสร้างขึ้นได้ด้วยแสนยานุภาพทางทหารหรือความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

          การขอโทษ  แม้จะกล่าวด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำว่า “ผม(ฉัน) ขอโทษ”  แต่ก็มีพลังพอที่จะสมานไมตรีที่ขาดสะบั้นให้กลับมั่นคงดังเดิมได้ในชั่วพริบตา  คำขอโทษเปรียบเหมือนน้ำเย็นที่ดับเพลิงแห่งโทสะ  เป็นดังมนต์วิเศษที่สยบความโกรธ  และทำลายความพยาบาทให้ปลาสนาการไป

          เด็กคนหนึ่งเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัด  หนึ่งในคณะศัลยแพทย์เสียใจมากที่เกิดความผิดพลาดขึ้น  เมื่ออกจากห้องผ่าตัด  เขาเดินไปหาแม่และกล่าวคำขอโทษ  ในเวลาต่อมาแม่ของเด็ก  ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากหมอ  ปรากฏว่าศัลยแพทย์ถูกฟ้องทุกคนยกเว้นหมอผู้นั้นผู้เดียว  ทนายความของศัลยแพทย์เกิดความฉงนสงสัย  แต่หมอผู้นั้นก็ไม่สามารถให้คำตอบได้  ทนายความจึงถามแม่ของเด็กระหว่างการซักพยานว่าทำไมถึงไม่ฟ้องหมอผู้นั้นด้วย  คำตอบของเธอก็คือ “เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ใส่ใจ”

          มีคำไม่กี่คำที่สามารถเยียวยาจิตใจของผู้สูญเสียและเจ็บปวดได้  หนึ่งในนั้นคือคำขอโทษ  แต่ทุกวันนี้คำขอโทษกลับเป็นคำที่ผู้คนเปล่งออกมาได้ยากที่สุด  คนจำนวนไม่น้อยกลัวว่าการขอโทษเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของตน  และเปิดช่องให้ผู้อื่นเล่นงานตนได้  หากหมอขอโทษก็แสดงว่ายอมรับผิด  เท่ากับเปิดช่องให้ผู้เสียหายทำการฟ้องร้องได้  ดังนั้นจึงปิดปากเงียบ  แต่ใช่หรือไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นกลับทำให้ความขัดแย้งลุกลามมากขึ้น  เพราะยั่วยุให้อีกฝ่ายทำการตอบโต้หรือกดดันด้วยวิธีที่รุนแรงขึ้น  จนอาจลงเอยด้วยความเสียหายของทั้งสองฝ่าย

       ทุกวันนี้เราใช้ “หัว” กันมากเกินไป  จึงนึกถึงแต่ผลได้กับผลเสีย  เราใช้ “ใจ” กันน้อยลง  จึงไม่รู้สึกถึงความทุกข์ของผู้ที่เจ็บปวดจากการกระทำของเรา  ยิ่งไปกว่านั้นนับวันเราจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกันน้อยลงทุกที  การคิดคำนวณถึงผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้น  ทำให้เราปิดใจไม่รับรู้ความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์  และเฉยชาต่อเสียงร้องของมโนธรรมสำนึกภายใน  แต่เราจะรู้หรือไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นยิ่งทำให้จิตใจของเราแข็งกระด้าง  และลดทอนความเป็นมนุษย์ของเราให้เหลือน้อยลง

          การขอโทษอาจทำให้เรารู้สึกเสียหน้า  แต่แท้จริงแล้วตัวที่เสียหน้านั้นคือกิเลสมารต่างหาก  เมื่อเราจะขอโทษ สิ่งที่จะเสียไปคืออหังการของอัตตา  แต่สิ่งที่เราจะได้มานั้นมีคุณค่ามหาศาล  นอกจากมิตรภาพแล้ว  เรายังฟื้นความเป็นมนุษย์และความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้กลับคืนมา          อย่าโยนหน้าที่ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินความถูก-ผิด  ไม่ว่าจะทำอะไรไปก็ตาม  ควรให้มโนธรรมสำนึกในใจของเราเป็นเครื่องตัดสิน  เพราะหากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลหรือใครก็ตาม  ไม่ช้าไม่นานสำนึกในความผิดชอบชั่วดีของเราก็จะปลาสนาการไป  ถึงตอนนั้นเราจะยังมีความเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?

          อันที่จริงการขอโทษไม่จำเป็นต้องหมายถึงการยอมรับผิดเสมอไป  เมื่อดารายอดนิยมเกิดตั้งครรภ์ก่อนแต่ง  แม้เธอจะไม่เห็นว่านั่นเป็นความผิด  แต่ก็สมควรที่เธอจะเอ่ยปากขอโทษที่ทำให้แฟนๆ เจ็บปวดหรือผิดหวังในตัวเธอ  คำขอโทษไม่ได้เกิดจากสำนึกในความผิดพลาดเท่านั้น  หากยังเกิดจากความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเขา  และพร้อมรับผิดชอบในความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพราะเรา

          การขอโทษไม่ใช่เรื่องยาก  ขอเพียงแต่เปิดใจรับรู้ความทุกข์ของผู้อื่น  เมื่อนั้นความเห็นอกเห็นใจก็จะตามมา  จิตใจของเราจะอ่อนโยนและพร้อมที่จะช่วยปลดเปลื้องเขาให้พ้นจากทุกข์  ถึงตอนนั้นคำขอโทษจะออกมาเองโดยแทบไม่ต้องพยายาม  ด้วยการขอโทษ  เราไม่เพียงลดทอนความเจ็บปวดของเขาเท่านั้น  แต่ยังช่วยปลดเปลื้องทั้งเราและเขาให้พ้นจากวังวนแห่งความขัดแย้งและการเป็นปฏิปักษ์กัน

          มนุษย์เรายากที่จะหลีกเลี่ยงการทำร้ายกันได้  จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม  การรู้จักขอโทษช่วยให้เราคืนดีและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ  โดยไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่  บ้านเมืองจะมีความสุขมากกว่านี้  หากผู้มีอำนาจรู้จักขอโทษผู้ด้อยอำนาจ  พ่อแม่รู้จักขอโทษลูก  เจ้านายรู้จักขอโทษลูกน้อง  เจ้าอาวาสรู้จักขอโทษลูกวัด  หมอรู้จักขอโทษคนไข้  และนายกรัฐมนตรีรู้จักขอโทษประชาชนกัน

          การขอโทษเป็นวิธีสร้างสันติที่สิ้นเปลืองน้อยที่สุด  เพราะอาศัยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำ  เป็นเพราะเราไม่รู้จักขอโทษกัน  จะเพราะกลัวเสียหน้าหรือเพราะอหังการก็ตาม  เราจึงสูญเสียกันอย่างมากมาย  ยิ่งใช้ความรุนแรงต่อกันทั้งโดยวาจาและการกระทำด้วยแล้ว  ความสูญเสียก็ยิ่งทวีคูณ

          ไม่มีการขออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าการขอโทษ  เพราะเป็นการขอที่ไม่ได้ออกมาจากจิตที่เห็นแก่ตัว  แต่มาจากจิตที่มีมโนธรรมสำนึก  รู้สึกรู้สากับความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์  และอ่อนน้อมถ่อมตน  รู้สึกรู้สากับความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์  และอ่อนน้อมถ่อมตน ไร้อหังการ  เป็นการขอที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสูญเสียเลยแม้แต่น้อย

          คำขอโทษเป็นประดิษฐกรรมอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์  ไม่ใช่เพราะมันทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เท่านั้น  หากยังเพราะช่วยให้มนุษย์คืนดีและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ  โดยไม่ใช้ความฉลาดที่ได้มาเพื่อการทำลายล้างกันเท่านั้น

 

จากหนังสือ คำขอที่ยิ่งใหญ่
โดย พระไพศาล วิสาโล และ อาทิตย์ยามเช้า
หมายเลขบันทึก: 160621เขียนเมื่อ 22 มกราคม 2008 04:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 05:42 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

น้องธรรมาวุธครับ

  • โรค ห่างหายแต่ไม่ห่างเหิน นี่ มันติดต่อนะครับ ผมก็เป็นเหมือนกัน
  • แต่วันนี้ตื่นเช้าขึ้นมาเป็นอะไรไม่ทราบ แวะมาหาบันทึกของน้องแล้วก็เจอบันทึกใหม่ การกลับมาอีกครั้ง
  • หลวงพี่เคยสอนไว้ว่า คำสี่คำที่ควรพูดก่อนตาย คือ ขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย แล้วก็... ผมจำไม่ได้ ใครก็ได้ช่วยทีครับ

สวัสดีค่ะท่าน ธรรมาวุธ

  • ครูอ้อย  มาหาด้วยความคิดถึง  อ่านแล้วซาบซึ้ง
  • ครูอ้อย  ให้ได้ทั้ง 3 อย่าง
  • โดยเฉพาะ  ให้อภัย  เป็นการให้ที่ง่ายที่สุด หากใจจะให้  ไม่ต้องออกแรง หรือลงทุน
  • ครูอ้อยรู้จักการให้อภัย  ไม่ต่อรับขับสู้อีก  

ขอบคุณค่ะ  ชอบมากเลยของขวัญชิ้นนี้ค่ะ

P 1. นาย เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี 

สวัสดีครับคุณหมอ

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เปิดบันทึกขึ้นมาก็เจอคุณหมอเป็นคนแรกที่เข้ามาทักทาย  ทักทายด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคย 

"ขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย ... " ผมชักอยากรู้เหมือนกันครับว่าหลวงพี่ท่านว่าอย่างไร  หลวงพี่ที่ว่าคือพระไพศาลใช่ไหมครับ  แต่ผมขออนุญาตเรียกท่านว่าหลวงพ่อก็แล้วกันครับ  รู้สึกดีกว่า  อิอิ

ถ้าคุณหมอนึกออกเมื่อไหร่กรุณาแวะมากระซิบบอกด้วยนะครับ  แต่ผมก็หวังว่าคงไม่ใช่คำว่า "ลาก่อน"  นะครับ 555555

 

ธรระมสวัสดีครับ 

P 2. สิริพร กุ่ยกระโทก 

สวัสดีครับครูอ้อย

รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่ครูอ้อยเข้ามาทักทายเป็นคนแรกๆ

พอเห็นหน้าเปื้อนยิ้มของครูอ้อยทำให้ผมนึกได้(และแทบอยากเขกกะบานตัวเองสักสิบครั้ง) ว่าสามสี่วันก่อนผมได้รับโปสการ์ดจากครูอ้อย  กะว่าจะเข้าไปกราบขอบคุณแต่ก็ลืมทุกที  ต้องขอโทษอีกที (อิอิ)

งั้นผมถือโอกาสนี้กราบขอบคุณครูอ้อยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ครูอ้อยทราบไหมครับว่าทำไมครูอ้อย ให้อภัย ได้ง่ายที่สุด?  ก็เพราะว่าครูอ้อยทำเป็นนิสัยน่ะสิครับ  เมื่อทำบ่อย ทำจริง มันก็ทำง่าย  ต่างอย่างตรงข้ามกับคนบางพวกที่ไม่เคยทำ  งั้นแม้แต่คิดก็ทำไม่ได้  มันเสียเกียรติ เสียเหลี่ยม  ชีวิตจึงอัดแน่นด้วยอัตตา ตัวกู ของกู

ผมเคยได้ยินคำตอบของคำถามหนึ่งที่ทำให้ผมจำติดใจมาตลอด คำถามมีอยู่ว่า 

การทำดีและทำชั่วนั้นอันไหนทำยาก-ง่ายกว่ากัน?

คำตอบก็คือ

การทำความดีนั้นคนดีทำได้ง่ายกว่าทำชั่ว  และการทำความชั่วนั้นคนชั่วก็ทำได้ง่ายกว่าทำดี....ครับ

ก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำอย่างไหน  แต่ถ้าผมคิดไม่ผิด ผมรู้แล้วล่ะว่าครูอ้อยเลือกแบบไหน

ธรรมะสวัสดีครับ 

 

 

 

 

 

สวัสดีค่ะคุณธรรมาวุธ

เบิร์ดเดินเอ้อระเหยเข้ามาอย่างสบายใจเพราะ ี่ถ้าการติดต่อของเธอเป็นเรื่องของหนุ่มจีบสาว  ป่านนี้คงสำเร็จไปแล้วครับ

เฮ้อ ! โล่งอกไปทีที่ไม่สำเร็จ ฮี่ ฮี่ ฮี่

หนังสือเล่มนี้เบิร์ดก็ชอบนะคะ โดยเฉพาะท่อนนี้

สำหรับมนุษย์ผู้มีวัฒนธรรมแล้ว  ผู้ที่เอ่ยปากขอโทษก่อนต่างหากคือผู้ที่เข้มแข็งกว่า  เข้มแข็งเพราะเขากล้ารับผิด  เข้มแข็งเพราะเขากล้าขัดขืนคำบัญชาของอัตตาที่ต้องการประกาศศักดาเหนือผู้อื่น

สิ่งที่ขาดหายไปจากสังคมเราก็คือการกล่าวคำขอโทษนี่แหละค่ะ  

เราแก่ขึ้นทุกวันแต่เราไม่ได้เติบโตเท่าที่ควรเลย 

การแก่ขึ้นนั้นเพียงอยู่เฉยๆเราก็แก่ขึ้นได้เรื่อยๆ แต่การเติบโตนั้นต้องมีการเรียนรู้และงอกงามจากตัวของเราเอง

น่าเศร้านะคะที่ยิ่งสูงด้วยยศฐา ศักติ ก็ยิ่งไม่รู้จักคำๆนี้แต่กับเด็กๆเรากลับทวงถามไม่เว้นวาย

ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่งดงามเสมอมานะคะ และยินดีเป็นที่สุดที่เห็นคำกล่าวนี้ค่ะ

 หากเรายอมแสดงความโง่โดยบริสุทธิ์ใจสักนิด  แล้วได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่คือไมตรีจิตจากกัลยาณมิตรในสังคมแห่งนี้แล้ว  ผู้เขียนก็เห็นว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้วครับ

ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะคะ ^ ^

สวัสดีด้วยความคิดถึงชะมัดเลยค่ะน้องเทพ

พี่แอมป์ตามเบิร์ดเข้ามาอย่างดีใจมากจ๊ะ  ที่ได้อ่านบันทึกธรรมที่ทำให้ใจสบาย และได้ข้อคิดทุกครั้งของน้องเทพอีก  พี่แอมป์รู้สึกชื่นชมน้องด้วยใจจริงที่ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม  และคัดสรรบันทึกธรรมมาให้ได้อ่านอยู่เนืองๆ 

การอ่านแล้วคิดตาม ก็ทำให้เกิดความตระหนักในธรรมได้เช่นกัน  อย่างเรื่อง “คำขอที่ยิ่งใหญ่” ที่เบิร์ดนำมาฝากไว้  ใจความนี้ 
         "การขอโทษเป็นเครื่องแสดงถึงความมีอารยะของบุคคลผู้กระทำการดังกล่าว  เพราะแสดงให้เห็นถึงความรู้ผิดรู้ชอบในมโนธรรมสำนึกของเขา  เป็นมโนธรรมสำนึกที่บอกเขาว่าความถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอำนาจ"

ทำให้พี่คิดถึงคำกล่าวหนึ่งของท่านมหาตมะคานธี ที่กล่าวถึงมโนธรรม   อ่านทีไรก็กินใจทุกที 
                 In matters of conscience, the law of majority has no place. 
                 ในเรื่องของมโนธรรมแล้ว  ไม่มีที่สำหรับกฎเสียงข้างมาก


                  ...ขอยืนยันว่าพี่ชวนคุยเรื่องธรรมะจริงๆนะจ๊ะ... : )

                    เอ่อ....   ว่าแต่ทำไมน้องเต้ปต้องไปยืนท่าเตรียมสตาร์ทตรงประตูครัวด้วยเล่าจ๊ะ ?....   
                    ..........พี่แอมป์มาดัก เอ๊ยมาดีจริงๆนะจ๊ะเนี่ย  อิอิอิ

 จะเจอหลวงพี่ไพศาลต้นเดือนกพ. แล้วจะนมัสการบอกท่านให้ว่า เดี๋ยวนี้ได้เลื่อนระดับเป็น หลวงพ่อ แล้ว
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
P

"เราแก่ขึ้นทุกวันแต่เราไม่ได้เติบโตเท่าที่ควรเลย  การแก่ขึ้นนั้นเพียงอยู่เฉยๆเราก็แก่ขึ้นได้เรื่อยๆ แต่การเติบโตนั้นต้องมีการเรียนรู้และงอกงามจากตัวของเราเอง"

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวข้างต้นครับ  คนเราแก่ขึ้นทุกวัน ไม่ทำอะไรก็แก่ นอนเล่นๆ ก็แก่ขึ้น ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า จิตใจเราจะยกระดับขึ้นด้วย

เดี๋ยวนี้เราเต็มไปด้วยผู้ใหญ่ที่แก่เฉพาะอายุ  ไม่เคยได้พัฒนาจิตใจ ไม่เคยได้ยกระดับปัญญาขึ้นเลย  แล้วชอบมาอ้างว่าเกิดก่อน หรืออาบน้ำร้อนมาก่อน

ก็แปลกนะครับที่เราป่าวประกาศบอกใครต่อใครว่าเราเป็นพุทธมามกะ อยู่ในนิกายที่เคร่งครัด แต่เราเคยคิดกันหรือไม่ว่าพระพุทธศาสนาของเรานั้นไม่ได้แบ่งการเคารพกันด้วยอายุ  ท่านแบ่งกันด้วยศีล ด้วยความดี  คนที่ถือศีลน้อยกว่าก็ต้องให้ความเคารพแก่ผู้ที่ถือศีลมากกว่า  แต่การแบ่งแบบนี้ก็เป็นการแบ่งแบบคร่าวๆ เพระเราคงไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่ประกาศตัวว่าตัวเองถือศีลมาก จริงๆ แล้วจะทำได้จริงตามที่แสดงตัวหรือไม่

ฉะนั้นคนอายุรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ย่อมทำความเคารพผู้ที่อายุคราวลูกได้  เช่น พ่อแม่ย่อมต้องไหว้บุตรที่บวชเป็นพระสงฆ์  ถ้าเรานำเรื่องเหล่านี้มาคิดวิเคราะห์ และน้อมนำมาใช้อย่างจริงใจ  ประเทศเราจะน่าอยู่ขึ้น และพูดได้เต็มปากว่าเราเป็นประเทศแห่งพุทธมามกะ โดยไม่ต้องสนใจว่าเรามีวัตถุสวยงามอลังการแค่ไหน  หรือแม้แต่ว่าเราจะได้บรรจุพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่

เมื่อเรายังเป็นกันอย่างนี้ คำว่า "ขอโทษ" คงหาฟังได้ยากจากผู้ที่(คิดว่า)เป็นผู้ใหญ่กว่า

ฮื่มๆ ชักมัน ขอเบรคไว้ก่อนนะครับ  แล้วค่อยถกกันคราวหน้า

ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนกันครับ

ธรรมะสวัสดีครับ
ป.ล. อย่าว่าแต่คุณเบิร์ดโล่งอกเลยครับ  ผมก็โล้งงงงโล่ง อิอิ

สวัสดีครับพี่แอม....แบรรรรรร
P ดอกไม้ทะเล

"การขอโทษเป็นเครื่องแสดงถึงความมี อารยะของบุคคลผู้กระทำการดังกล่าว  เพราะแสดงให้เห็นถึงความรู้ผิดรู้ชอบในมโนธรรมสำนึกของเขา  เป็นมโนธรรมสำนึกที่บอกเขาว่าความถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอำนาจ"

คิดถึงเช่นกันครับ และต้องขอโทษด้วยนะครับที่ตอบช้ามากๆ เมื่อวานแว้บไปดูที่บันทึกของพี่  สังเกตเห็นมีบันทึกเพิ่มมาอีกสามบันทึก รู้สึกงงเล็กน้อย เพราะธรรมดาถึงผมไม่ได้เขียนแต่จะเฝ้าดูว่าพี่จะเขียนเพิ่มหรือไม่ แต่ไม่ยักกะเห็น มาเห็นเอาเมื่อวาน แล้วค่อยไปร่วมวงไพบูลย์พูนสุขนะครับ (อูย เขียนถูกไหมครับคุนคู)

การขอโทษนั้นดูเหมือนง่ายที่จะเอ่ย  แต่เอาเข้าจริงแล้วนั้นยากนะครับ  และการขอโทษแต่ละครั้งนั้นเราก็ต้องคิดด้วย ใช่ว่ายิ่งขอโทษบ่อยๆ ถี่ๆ แล้วจะหมายความว่าเราเป็นคนรู้ผิดรู้ชอบอย่างเดียว

ผมว่าขอโทษบ่อยเกินไป หรือผิดกาละเทศะ ก็ไม่ควรเช่นกัน  ทุกอย่างก็มีทั้งคุณและโทษ ใช้ผิดที่ผิดทางก็อาจเป็นผลร้ายเช่นกัน...ว่าไหมครับ

In matters of conscience, the law of majority has no place. 
ในเรื่องของมโนธรรมแล้ว  ไม่มีที่สำหรับกฎเสียงข้างมาก

ท่านมหาตมะคานธีท่านกล่าวได้ลึกซึ่งจริงๆ นะครับ ขอบคุณนะครับที่แปลให้ ที่ลึกซึ่งก็ตอนแปลเป็นไทยนี่แหละครับ ถ้าไม่แปลผมว่าท่านพูดไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่ครับ แหะๆ

...ผมว่าพี่สายตายาวแน่ๆ ครับ ใครว่าประตูครับล่ะครับ  นี่มันประตูรั้วหลังบ้านครับ คุณเบิร์ดสตาร์ทรถรออยู่นานแล้วครับ (พอดีรถจอดทิ้งไว้นานไม่ได้ รออะไหล่จากต่างประเทศอยู่ครับ เดี๋ยวหาย 5555)  ไปขึ้นรถก่อนล่ะครับ

สวัสดีครับ

 สวัสดีอีกครั้งครับคุณหมอ
P 7. นาย เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี

ผมว่าอย่าไปเรียนท่านดีกว่าครับ ก็ท่านอายุห่างกับผมมากจะเรียกหลวงพี่ก็มันยังไงอยู่ครับ  อิจฉาจังที่คุณหมอได้ไปกราบท่าน ท่านเป็นดาราในดวงใจผมเลยนะครับ  ว่างๆ ขอลายเซ็นต์เผื่อผมบ้างนะครับ อิอิ

อ้อ อีกอย่าง ครั้งนี้ผมเอาบทความจากหนังสือท่านมาเขียนให้อ่านกัน และในอนาคตก็คงต้องเอามาอีก ฝากหลวงพ่อ เอ๊ย ฝากคุณหมอด้วยได้ไหมครับ ว่าท่านอนุญาตหรือเปล่า ถ้าท่านไม่อนุญาตผมจะได้ไม่เอามาลง ไม่อยากดิ่งลงเบื้องล่างครับ มันไม่น่าอยู่

ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะ
ยินดีต้อนรับกลับมานะคะ
คิดถึง หายไปเสียนานเลย
อย่าไปไหนนานๆนะคะ

สวัสดีครับคุณพี่ศศินันท์

P Sasinanda

แค่คุณพี่เขียนไม่กี่คำ ผมก็ซึ่งใจจนบอกไม่ถูกเลยครับ

เหมือนกับคุณที่รู้จักกันและอยู่ใกล้ชิดกัน แล้วอยู่มาวันหนึ่งคนหนึ่งก็หายไปไหนไม่ทราบ
แล้วเขาก็ได้มาพบกันอีก  และเมื่อได้ยินถ้อยคำเพียงไม่กี่คำของคุณพี่ คงไปไหนไม่รอดแล้วครับ

ไม่รู้คนที่บ้านเป็นอย่างนี้หรือเปล่านะครับ อิอิ

ขอบคุณที่มาทักทายและยังไม่ลืมกันนะครับ จะไม่หายไปนานแล้วครับ

สวัสดีครับ

สวัสดีครับคุณธรรมาวุธ

ดีใจครับที่เห็นคุณกลับมาทักทายสมาชิกที่นี่อีก ผมอยากทักทายตั้งหลายวันแล้ว แต่คอมฯที่บ้านเข้า gotoknow ไม่ได้ วันนี้ลองใช้ firefox คิดว่าน่าจะใช้ได้เป็นปกติแล้ว เพราะทุกวันพิมพ์ความเห็นไม่ได้เลย 

ผมศรัทธาีในการปฏิบัติธรรมที่เอาจริงเอาจังของคุณธรรมาวุธครับ

ขอบคุณมากครับสำหรับแบบอย่างที่ดี ...สาธุ

P 13. ข้ามสีทันดร

สวัสดีครับคุณกบ /|\

ขอบคุณที่เข้ามาทักทายกันครับ  ห่างหายไปนาน  แต่เข้ามาทีไรก็ได้รับความอบอุ่นจากกัลยาณมิตรทุกครั้ง  นี่กระมังครับที่เป็นเสน่ห์ของชุมชนแห่งนี้

เรื่องปัญหาการใช้เว็บเบราเซอร์นั้นผมแนะนำให้ใช้ Firefox ครับ  ที่แนะนำก็เพราะว่าปลอดภัยกว่าใช้ Internet Explorer ครับ ทั้งปัญหาไวรัส สปายแวร์ และความเร็วในการใช้งาน  อีกทั้งเว็บไซต์แห่งนี้ก็เขียนด้วยภาษาที่เข้ากันได้ดีกับ Firefox ด้วยครับ  แต่ก็อาจจะมีปัญหากับบางเว็บไซต์ในเรื่องขนาดตัวอักษร และความเข้ากันได้  แต่อีกไม่นานปัญหาเหล่านี้น่าจะหมดไป

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคนออกแบบเว็บไซต์ส่วนใหญ่ออกแบบแล้วก็ทดสอบด้วย IE เลยไม่ทราบว่าอาจมีปัญหากับ Browser ค่ายอื่น

อีกอย่างที่อยากเชิญชวนให้ใช้กันคือลีนุกซ์ (Linux) ครับ ทุกอย่างฟรี ใช้งานได้ดี และใช้ได้จริง จะช่วยกันสร้างสมดุลย์ให้เศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี  ตอนแรกอาจจะยากหน่อยแต่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ผ่าน google  และในนี้มีหลายท่านที่เก่งกาจเรื่องนี้  มีปัญหาก็ถามไถ่กันได้ครับ

ลากไปเสียไกลเลยครับ อิอิ

เรื่องการปฏิบัติธรรมนั้นผมต้องออกตัวก่อนว่า  ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นนักปฏิบัต ถึงพยายามอยู่บ้างก็ไม่ได้เป็นผลอะไร  เพียงแต่นิสัยส่วนตัวชอบเรื่องนี้ เหมือนบางคนที่เขาชอบอะไรที่เป็นงานอดิเรกครับ  บางคนชอบสะสมแสตมป์,  สะสมเหรียญ, ฯลฯ  แต่ผมชอบสะสมความรู้เรื่องธรรมะ

แต่ก็รู้แบบงูๆ ปลาๆ ครับ  เรื่องความแม่นยำทางปริยัติไม่ต้องพูดถึง  ไม่เป็นเลย  ส่วนการปฏิบัติก็เป็นขั้นเตรียมอนุบาล  แต่ด้วยความรักและตระหนักถึงคุณค่าก็จะพยายามต่อไป  ไม่มีกำหนดหยุดครับ

ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณกบ และผมเชื่อว่าเป็นผู้หนึ่งที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องเหล่านี้  ผมก็ร่วมอนุโมทนาสาธุด้วย

ตอนนี้คนที่นับถือพระพุทธศาสนานั้นเสื่อมกันมากแล้ว  เราไม่ศึกษาตัวพุทธศาสนาจริงๆ แต่กลับไปศึกษาสิ่งอื่นที่มีมาก่อนพระพุทธศาสนา  และพระพุทธองค์ก็ยืนยันว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง

เช่น การหลงไปกับวัตถุ, อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์, เล่นแร่แปรธาตุ  ฯลฯ  หลายท่านแต่งเครื่องแบบเป็นพระ  แต่ใจกลับเป็นคนนอกศาสนา  แล้วสอนเรื่องนอกพระพุทธศาสนา  เมื่อเป็นดังนี้มันก็ยากเหลือเกินที่คนธรรมดาๆ อย่างเราๆ จะแยกออกว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม

ก็ในเมื่อหลายท่านยืนยันว่าสิ่งที่ตนสอนนั้นถูกต้อง  แล้วก็ยกพุทธพจน์ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้างมาตอกย้ำให้เราเชื่อ  ซึ่งจะจริงหรือไม่จริง  ตีความถูกหรือผิด เราก็ไม่อาจรู้ได้ 

เดี๋ยวนี้แก่นของพระพุทธศาสนาถูกห่อหุ้มด้วยอะไรต่อมิอะไรมากมาย  เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องใช้ความพยายามอย่างที่สุด  ที่จะค้นหาแก่นแท้ให้พบ  ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

ขอให้เจริญในมรรคเพื่อผลที่ตั้งใจไว้ครับ

ธรรมะสวัสดีครับ 

 สาธุ

"บ้านเมืองจะมีความสุขมากกว่านี้ หากผู้มีอำนาจรู้จักขอโทษผู้ด้อยอำนาจ พ่อแม่รู้จักขอโทษลูก เจ้านายรู้จักขอโทษลูกน้อง เจ้าอาวาสรู้จักขอโทษลูกวัด หมอรู้จักขอโทษคนไข้ และนายกรัฐมนตรีรู้จักขอโทษประชาชนกัน"

เห็นดีด้วย แต่ข้อความยาวๆ   จะมาอ่านทีละนิดครับ... อ่านทีเดียวแสบตา...

P 15. เอกชน 

 สวัสดีและยินดีต้อนรับครับ

อ่านทีละนิด จิบน้ำชาไปด้วย ได้อารมณ์ดีเชียวครับ

ทนอ่านหน่อยครับ เพราะผมยังทนพิมพ์เลย เป็นกำลังใจกันหน่อยครับ

ธรรมะสวัสดีีครับ 

น้องธรรมาวุธครับ

  • ได้กราบเรียนหลวงพี่ไพศาลแล้ว ๒ เรื่อง
  • การนำบทความหลวงพี่มาเผยแพร่ ถือเป็น ธรรมทาน ครับ
  • ท่านเป็น หลวงพ่อ มานานแล้วครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท