สภามหาวิทยาลัยในคราวประชุมครั้งที่ ๑๓๓(๖/๒๕๕๐) เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การทำความเข้าใจกับบุคลากรและนิสิตอย่างทั่วถึง จะต้องใช้เวลาพอสมควร หากจะดำเนินการในระยะเวลาสั้นๆ อาจจะทำให้เกิดปัญหาดังเช่นที่ผ่านมาขึ้นอีกได้ จึงเห็นควรชะลอร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. ..... ไปจนกว่าจะทำความเข้าใจกับประชาคมมหาวิทยาลัยนเรศวรให้มีความเห็นพ้องต้องกันทุกฝ่าย จึงจะดำเนินการนำเสนอต่อไป
สวัสดีครับ อาจารย์มาลินี
ขอบคุณครับ :)
ประเด็นที่อาจารย์คิดนั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับว่า การสร้างเข้าใจถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ขอบคุณครับ :)
สวัสดีค่ะ คุณ hhh และคุณ Jab
ดิฉันคิดว่าเราต่างปรารถนาดีต่อสถาบันของเราอย่างแท้จริง หากแต่การมองโจทย์ และการตีความอาจต่างกัน ดิฉันมีจุดยืนของดิฉันเอง จากการศึกษาข้อดี ข้อเสีย ของการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยมาโดยตลอดได้อ่าน ร่าง พ.ร.บ. ของ มน. เปรียบเทียบกับ ม.อื่นๆ มาแล้ว (ทั้งยังได้เคยบันทึกเผยแพร่ แสดงข้อคิดเห็นให้บุคคลทั่วไปที่อ่าน Blog ของดิฉันทราบเป็นประจำ)
ดิฉันเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในองค์กรแห่งนี้ ไม่ว่าจะในฐานะผู้บริหาร อาจารย์ พนักงานมหาวิทยาลัย ผู้ปกครองของนิสิต ดิฉันมีฐานะเช่นนั้นทุกอย่าง จึงตระหนักดีว่า ต้องเลือกหนทางที่ดีต่ออนาคตทั้งขององค์กร ของลูกศิษย์ ของตนเอง และของลูกหลาน ดิฉันจำเป็นต้องพิจารณาจากข้อมูลที่มีมูลความจริงเท่านั้น
ดังนั้น ถ้าคุณ hhh และคุณ jab ทราบข้อมูลที่เป็นจริง ขอได้โปรดแจ้งให้ประชาคมได้ทราบ เช่น
โปรดอย่าเข้าใจว่า ความคิดเห็นนี้เป็นการตอบโต้ แต่เป็นความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะได้ทราบข้อมูล เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบผู้บริหารแล้ว ยังจะเป็นประโยชน์ต่อสถาบันของเราด้วย
ที่สำคัญก็คือ....เราต้องไม่เผชิญปัญหาด้วย "ความรู้สึก" แต่ต้องรับมือกับมันด้วย "ความรู้"
เรียน อาจารย์มาลินี
ขอร่วมแสดงความเห็นอีกครั้้ง ก็ถือว่าแลกเปลี่ยนความเห็นบนฐานของแต่ละคนที่คิดว่าตนมีเหตุผลก็แล้วกัน ดังนั้นจะขอลองตอบในสิ่งที่อาจารย์ถาม
1. ผู้บริหารขาดหรือตั้งใจขาดความรอบคอบ ในที่นี้คือผู้บริหารกระทำต่อพ.ร.บ. ฉบับนี้โดยไม่ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย เป็นเวลาถึง 3 ปี เป็นอย่างน้อย เพราะร่างนี้เป็นร่าง ที่ สคก.ตรวจพิจาณาแล้ว ในปี 2547(โปรดดูหน้าแรกของร่างพ.ร.บ.) ถามว่า 3 ปี ที่ผ่านมาคนในมอรับรู้ไหม อาจารย์ช่วยหาหลักฐานมาบอกหน่อยว่า เมื่อไรที่ ผู้บริหารนำมาเผยแพร่ จนกระทั่ง มีการผลักดัน(ที่ไม่ได้เกิดจากผู้บริหาร)ในต้นปี 50นี้ เวลาตั้ง 3 ปีทำไมจึงเงียบกริบ แล้วโผล่อีกทีที่สนช. อาจารย์ช่วยตอบได้ไหม
5-7 อาจารย์กรุณาไปหาร่างฯที่ทำที่พะเยามาอ่าน ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจ แนะนำให้ถามนิติกร (ที่ไม่ใช่นิติกรของมหาวิทยาลัย)แล้วค่อยมาตอบว่าฉ้อฉลหรือไม่
ขอบคุณอาจารย์มากที่ให้โอกาสแสดงความเห็น หวังว่าจะเป็นความรู้ อันเป็นเหตุเป็นผลอยู่บ้าง
hhh
เรียนคุณ hhh ที่นับถือ
ดิฉันเห็นด้วยทุกประการกับคุณ hhh ในเรื่อง ที่มหาวิทยาลัย ขาดการประชาสัมพันธ์ และการประชาพิจารณ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาคมเกิดความไม่ไว้วางใจ รวมทั้งไม่เข้าใจ
ดิฉันจึงให้ความเห็นไปแล้ว ในท้ายบันทึกนี้ ตอนต้นๆ ว่า ดิฉัน เศร้ามาก ที่มหาวิทยาลัยยกเลิกการประชาพิจารณ์
เพราะความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้ ต้องประชาพิจารณ์กันเยอะๆ คุยกันเยอะๆ สร้างความเข้าใจกันบ่อยๆ กับบุคลากร และนิสิตทุกระดับอย่างต่อเนื่อง
แต่ดูเหมือน ทุกอย่างจะหยุดทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา
ดิฉันจึงหันมาพึ่งตนเอง ด้วยการศึกษา พ.ร.บ. มน. (ฉบับล่าสุด) ทีละมาตรา ทีละมาตรา และศึกษาเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยที่เพิ่งออกนอกระบบไปหมาดๆ ด้วย (ม.มหิดล)
หวังใจว่าจะไม่พบอะไรหมกเม็ด หรือไม่ชอบมาพากล
ยิ่งถ้าได้คุณ hhh มาร่วมตรวจสอบหรือให้ข้อคิดเห็นด้วย ก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
ไหนๆ ร่าง พ.ร.บ.มน. ที่ คุณ hhh ไม่วางใจ ก็ไม่ได้เสนอเข้า สนช. แล้ว จะกังวลอะไรอีกละคะ
ว่างๆ เรามาช่วยกัน พิจารณา ร่าง พ.ร.บ. กันให้ละเอียดรอบคอบดีกว่า ช่วยกันเสนอความเห็นที่เป็นประโยชน์ ดิฉันลองอ่านดูแล้วไม่ยากเย็นอะไร ไม่ต้องจบนิติศาสตร์ก็อ่านได้ค่ะ
กราบเรียน ท่านอาจารย์ที่เคารพ
เท่าที่ผมทราบอาจารย์เป็นคนที่ผลักดันแล้วเสนอชื่อคนที่เห็นด้วยกับการออกนอกระบบ จำนวน 800 ชื่อโดยประมาณใช่ไหมครับ แล้วอีกอย่างผมว่าการทำประชาพิจารณ์ควรที่จะยกเลิกเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะนิสิตมอไม่เคยได้รับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ นิสิตบางกลุ่มที่ออกมาคัดค้าน รวมตัวผมด้วยตั้งแต่แรกเริ่มผมก็หาเอกสารต่างๆเองจากอินเตอร์เน็ตและเว็บไซด์อื่นๆ เพราะการทำประชาพิจารณ์ไม่ใช่การเลือกตั้งที่จะดูผ่านๆตาแล้วก็สามารถที่จะกากบาทได้ทันที เมื่อคิดได้อีกทีก็คงสายไปแล้ว อีกประการหนึ่งที่มหาลัยไม่ควรหยุดนั่นคือการเผยแพร่และให้ความรู้ ผมหวังว่าคงอยู่ดีๆอีก 1 - 2 ปี ก็กลับมาดันอีกนะครับ ถ้ายังคงทำแบบไม่โปร่งใสเช่นเคย ผมอาจจะกลับมาในนามของศิษย์เก่าก็เป็นได้นะครับ ผมไม่ได้คัดค้านระบบดังกล่าว เพราะถึงอย่างไรในที่สุดมันต้องเป็นไปตามกระบวนการแต่ผมขอความชัดเจนและสิ่งที่เคยได้ให้คำมั่นไว้เมื่อ 15 มกราคม 2550
อีกอย่างผมก็เข้าใจและคงมองภาพไม่ยากกับการที่มหาวิทยาลัยเปลี่ยนระบบการจัดการต่างๆไม่ว่าจะเป็น 1.การเปิดหลักสูตรคู่ขนาน เพื่อดึงดูดผู้เรียน ค่าเทอมแพงกว่าปกติ จบมาได้ปริญญา 2 ใบ
2.การปรับเพิ่มค่าเทอมจากเก็บเป็นรายหน่วยกิตมาเป็นแบบเหมาจ่าย และที่สำคัญคือไม่สามารถแจกแจงรายละเอียดได้
3.การที่แต่ละหน่วยงานหากจะยืมของ/สถานที่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมซึ่งแต่เดิมสามารถอนุโลมได้
4.การที่มหาวิทยาลัยให้แต่ละคณะดูแลและจัดการบริหารเองจนบางครั้งทำให้ความรู้สึกของนิสิตเองรักคณะมากกว่ามหาวิทยาลัย จึงไม่แปลกที่จะถามว่าเด็กภาคภูมิใจอะไรมากกว่ากันระหว่างสาขา/คณะที่เรียนกับชื่อมหาวิทยาลัย
สวัสดีค่ะ คุณสามัญชน
ดิฉันกระทำเหมือนที่คิด พูด หรือเขียนเสมอ เพียงแต่องค์ประกอบบางอย่างที่ปรากฎให้เห็นเป็นภาพ ไม่ได้เกิดจากดิฉันเพียงคนเดียว สิ่งที่ดิฉันอยากจะเรียนให้ทราบก็คือ "ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นเสมอไป"
สำหรับเรื่อง พ.ร.บ. ที่คุณสามัญชน ซึ่งเป็นนิสิตให้ความสนใจ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นที่สุด รวมทั้งยังเป็นผู้ใฝ่หาความรู้เพื่อประกอบการคิดและตัดสินใจด้วย นับเป็นการกระทำอันสมกับเป็นนักศึกษาจริงๆ
ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ม.ในกำกับ ที่เราควรทราบเพื่อนำมาใคร่ครวญตรึกตรอง แล้วเลือกใช้ ให้ความเห็น หรือบอกต่อนั้น จะมีสองส่วน คือ หลักการ และวิธีทำ
หากศึกษาแล้วเห็นว่า หลักการดีมีประโยชน์ ก็ต้องศึกษาต่อว่าคนที่นำหลักการไปใช้ กระทำได้ถูกหลักการหรือไม่ เช่น ถ้าเราศึกษาดูแล้วเห็นว่าหลักการของ มหาวิทยาลัยในกำกับเป็นเรื่องที่ดี เราก็ต้องศึกษาต่อว่า การนำหลักการนี้มาใช้ของ มน. โดยการ ร่างเป็น พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยในกำกับ นั้น เป็นไปตามหลักการหรือไม่โดยละเอียด
ดังนั้น เราก็จะไม่พลาดเวลาถูกซักว่า คุณคิดรอบคอบหรือยัง เพราะ "สิ่งที่เราไม่ได้เห็นกับตา ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีเสมอไป"
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ส่งผลกระทบต่อคนและสังคมหมู่มาก ผู้ที่รับผิดชอบจะต้องทั้งเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว กับสร้างเวทีประชาพิจารณ์ที่เปิดเผย เพื่อเป็นการสื่อสารสองทาง เปิดโอกาสให้ประชาคมซักถามและตอบข้อสงสัย โดยต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง และอย่างทั่วถึง ไม่ใช่ทำเมื่อหมดเวลาส่งการบ้านแล้ว (ใช่ไหมค่ะ)
แล้วคำถามต่างๆ ในข้อ 1 2 3 4 ที่คุณสามัญชนยังสงสัย ข้องใจ จะได้มีผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงมาเคลียร์ ดิฉันไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะตอบได้ และอันที่จริง ปัญหาต่างๆ ที่หยิบยกมาไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ร่าง พ.ร.บ.มน. เลย ล้วนเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ซึ่งมีการกระทำแล้วและยังกระทำอยู่ขณะมหาวิทยาลัยยังไม่ออกนอกระบบด้วยซ้ำ เห็นไหมคะว่า มันไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่สิ่งที่เกี่ยวกันก็คือ "ประสบการณ์ที่เราได้รับ จะเป็นฐานความเชื่อให้เราคิดและตัดสินใจเรื่องต่างๆ เสมอ"
ถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับลูกที่อยู่ในบ้านกับลูกที่อยู่นอกบ้าน...ลูกที่อยู่ในบ้านจะทำอะไรที่ไม่ดีก็ยำเกรงพ่อแม่เพราะมีพ่อแม่คอยกำราบไม่ไห้ไปในทางเสีย...ส่วนลูกที่อยู่นอกบ้านห่างใกลพ่อแม่นั้นก็จะไปทำตามชอบใจอย่างไรก็ได้...ถ้าไปทางดีก็แล้วไป
เรียน คุณมาลินี
อันที่จริงแล้ว มหาวิทยาลัยนเรศวรยังมีความไม่พร้อมในหลายๆอย่าง ในหลายๆด้าน หากผู้บริหารคิดที่จะรับฟังเสียงสะท้อนจากนิสิต ผู้บริหารจะได้แนวคิดดีๆที่จะปรับยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัย
เราควรจะปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจผู้นอน
มิใช่การคิดเอง กระทำเอง ตัดสินใจเอง แล้วผลกระทบที่กลับมามันยากเกินกว่าที่จะเยียวยาได้
เปิดความจริงหลังม.มหิดลออกนอกระบบ สิทธิรักษาพนง.น้อยกว่าเดิม-เงินเดือนขึ้นลูกผีลูกคน |
โดย ผู้จัดการออนไลน์ | 11 ธันวาคม 2550 09:06 น. |
|
การอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ ต้องใช้วิจารณญาณ เพราะไม่เหมือนบทความทางวิชาการที่ต้องมีแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ เมื่อคนเขียนข่าวไม่เปิดเผยแหล่งข่าว จึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลก็ได้
คนเขียนข่าวที่มีจรรณยาบรรณ ต้องไม่เขียนเกินความจริง หรือเสนอภาพด้านเดียว ข่าวจากสื่อมวลชน จึงมักทำให้คนกลัวก็ได้ กล้าก็ได้ รักก็ได้ เกลียดก็ได้
เป็นข้าราชการในมหาวิทยาลัยมือใหม่ค่ะ มีความมึนงง สงสัย หวั่นไหว หวั่นใจ กับหลากหลายข้อมูล และหลากหลายลีลา ที่ได้เห็นเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยในกำกับเหมือนกันค่ะ ที่นี่ดิฉันรับรู้แต่เพียงว่าเรากำลังถูกให้เข้าแถวรอเป็น ม.ในกำกับ ด้วยความหวังดีของผู้บริหารเท่านั้นเองค่ะ นอกนั้นงงค่ะ
สวัสดี อ่านเว็บนี้แล้วโดน ขอร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยคน
ตอนนี้เหมือนมหาวิทยาลัยในประเทศ จะถูกผลักดันให้ออกนอกระบบ (โดยใคร หรือ เป็นกระแสอย่างไรไม่รู้) แต่อยากร่วม
แสดงความรู้สึกว่า ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนจากระบบหนึงไปสู่อีกระบบหนึ่งอย่างทันทีทันใด อย่างที่ทราบกันการเปลี่ยนแปลง
ระบบแบบนี้(แบบทันทีทันใด) แม้มีข้อดี แต่ก็มีข้อเสียด้วย การที่นำเอาระบบการศึกษา มาเสี่ยงกับข้อเสียของการเปลี่ยนแปลง
แบบทันทีทันใดนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงที่คิดว่าน่าจะเหมาะสมกว่าคือการทำแบบคู่ขนานในช่วงแรก
แล้วดูผลที่เกิดขึ้นหากดีก็ค่อยๆ ดำเนินไปข้างหน้ากับระบบใหม่ หากไม่ดี ก็ยังหันหลังกลับได้ทัน เพราะระบบเก่าก็ยังคงอยู่
ควบคู่กับระบบใหม่แม้ว่าจะหนักหนาสาหัส ในช่วงของการทดลองระบบใหม่ก็ตาม หรือถ้าจะให้ดี แยกทั้งสองระบบออกจากกันเลยจะดีกว่ามีทั้งมหาวิทยาลัยในกำกับ และมหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบ ใครใคร่อยู่ที่ไหนก็เลือกเอา ไม่รู้จะเทียบได้กับในต่างประเทศ
หรือเปล่าว่ามีทั้ง public และ private university