Star Trek เป็นหนังชุดแบบ SciFi ในโทรทัศน์ เริ่มสร้่างในปี 1966 มีทั้งหมด 726 ตอน และมีการสร้างเป็นภาพยนตร์ต่อมาอีกสิบชุด (ชุดที่ 11 มีกำหนดฉายเดือนธันวาคม 2551) มนุษย์ชาติใน Star Trek ตามความคิดของ Gene Roddenberry ผู้สร้าง ค่อนข้างจะเป็นอุดมคติ และมีโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างกับสิ่งที่พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองจากสังคมทุนนิยมที่เห็นต่อประโยชน์ส่วนตนก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด
<p>ด้วยเหตุนี้ จึงมีนักคิด นักฝัน เสรีชน ติด Star Trek ทั่วโลกเป็นจำนวนมาก – อาจจะเป็นวิธีหนีไปจากโลกของความเป็นจริงที่เผชิญอยู่ – พวกนี้เรียกตัวเองว่า Trekkies </p><blockquote><p>“Space, the final frontier. These are the voyages of the starship Enterprise. Its five-year mission: To explore strange new worlds. To seek out new life and new civilizations. To boldly go where no man has gone before.”</p></blockquote><p>เรื่องราวของ Star Trek เริ่ม หลังจากสงครามโลกครั้งที่สาม จากการที่ Zephram Cochrane ค้นพบวิธีเดินทางที่เร็วกว่าแสงในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 21; ชาว Vulcan ได้พบ warp signature (ร่องรอยของอนุภาคซึ่งใช้ขับเคลื่อนเครื่องยนต์เข้าสู่ความเร็วแสง) และได้เริ่มติดต่อกับมนุษย์อย่างเปิดเผย </p><p>ต่อมาในศตวรรษที่ 22 ชาว Vulcan มนุษย์ และเผ่าพันธ์อื่น ก็ได้ร่วมกันตั้ง สหพันธ์แห่งดาวเคราะห์ the United Fedreation of Planets หรือเรียกสั้นๆ ว่า the Federation หรือ สหพันธ์ฯ ; การปฏิบัติการของตัวละครที่อยู่ในสหพันธ์ เป็นไปตาม Prime Directive ซึ่งกล่าวไว้ว่า The Prime Directive dictates that there can be no interference with the internal affairs of other civilizations. …ฟังดูเหมือนอาเซียนยังไงก็ไม่รู้! </p><p>ถึงแม้ว่าตัวละครในฝ่ายสหพันธ์ฯ ตามจินตนาการของ Roddenberry จะดูเป็นอุดมคติ มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายไม่ใช่หรือ หากจะเรียนรู้อะไรบางอย่างจากหนัง </p><p>สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าใครเป็นอย่างไร/เป็นอะไร แต่เป็นที่หลักศีลธรรมและโครงสร้างทางสังคมที่สนับสนุนให้รางวัลแก่สมาชิกของสังคมให้ดำรงตนอยู่ในอุดมคติได้ โดยที่แต่ละคนยังเป็นปัจเจกชนที่แตกต่างกัน</p><p>ในองค์กรก็คล้ายๆ กับ Starship Enterprise บุคลากรต่างปฏิบัติหน้าที่ที่แตกต่างกัน หากทุกคนคิด/ทำ/เป็นเหมือนกันหมด ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมีคนจำนวนมากมารวมกัน เพราะว่าลูกเรือของ Enterprise ไม่ใช่สาวโรงงาน</p><p>Enterprise มีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน ว่า “To explore strange new worlds. To seek out new life and new civilizations. To boldly go where no man has gone before.” ซึ่งนั่นกลับเป็นความไม่ชัดเจนแบบแฟนละครสาระขัณฑ์คาดหวัง </p><p>ความชัดเจนในที่นี้เป็นเรื่องของทิศทางของเป้าหมาย (direction) ไม่ใช่ที่หมาย (destination)
</p><h4>คุณธรรม</h4> <p>สิ่งแรกที่สังเกตเห็นได้ คือตัวละครหลัก (ลูกเรือ Enterprise) ประพฤติตนตามครรลองคลองธรรม พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างมีจุดหมายปลายทาง ทำงานเพื่องาน กล้าหาญ ซื่อสัตย์ มีเกียรติ รักความยุติธรรม และเสียสละตนเพื่อส่วนรวม เขาไม่ถือประโยชน์ส่วนตนเหนือประโยชน์ของส่วนรวม </p><p>คุณค่าที่เขาเหล่านั้นยึดถือ เป็นคุณค่าในอุดมคติที่แสดงออกมาในรูปที่คนแสดงออกได้ และเป็นภาพสะท้อนของสังคมอันแข็งแกร่ง แม้ว่าบางทีตัวละครแต่ละตัวอาจมี “อาการหลุด” ออกจากกรอบคุณธรรมบ้างเช่นเดียวกับคนทั่วๆไป แต่ก็สามารถ “กลับมาได้เอง” ในเวลาไม่นาน </p> <p>คุณธรรมหลักใน Star Trek มีอยู่สามอย่าง คือความถูกต้องตรงไปตรงมา (Data) ความรักและความเป็นมนุษย์ (Troi) และความกล้าหาญเกียรติศักดิ์ศรี (Worf) Star Trek ในแต่ละตอนผสมปนเปความสัมพันธ์ระหว่างคุณธรรมทั้งสามให้ผู้ชมได้ชั่งน้ำหนักเอาเอง</p><p>Riker มีทั้งความตรงไปตรงมา ความรักความอบอุ่นแบบมนุษย์ และความกล้าหาญ แต่คุณลักษณะเหล่านี้อยู่ในระดับที่สมดุลย์กว่าใน Picard ซึ่งเป็นคนแบบที่ Star Trek เสนอให้เป็นต้นแบบของมนุษย์ในอุดมคติ</p><p>สำหรับเผ่าพันธ์อื่นๆ ก็มีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนสังคมและคุณค่าที่แตกต่างกันออกไป เช่น ชาว Vulcan ให้คุณค่าแก่ความเป็นจริงและตรรกะ ชาว Betazoid เน้นเรื่องความรักและความเข้าใจถึงอารมณ์ความคิดของผู้อื่น ส่วนชาว Kingon ให้คุณค่าแก่ความกล้าหาญและเกียรติ</p><p>คุณธรรมเหล่านี้ แสดงด้วยตัวละครตั้งแต่ชุดแรก คือ ความจริง/ตรรกะ (Spock) ความรัก/ความรู้สึกโอบอ้อมอารี (McCoy) และความกล้าหาญ (Kirk)</p><h4>เป้าประสงค์</h4> <p>ตัวละครใน Star Trek ทำงานเพื่องาน เพื่อปรับปรุงตนไปสู่คนที่ดีขึ้น แต่ละคนมีองค์ประกอบส่วนตัวระหว่าง ความหลงไหล ความชำนาญพิเศษ ความต้องการ และเป้าหมาย ทำให้ทุกคนแตกต่างกันออกไป แต่เมื่อนำคนเหล่านี้มารวมกัน กลับเป็นองค์ประกอบที่เสริม และปิดจุดอ่อนของกันและกัน </p><p>พวกเขาไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน แม้ว่าในหลายตอนมีการอ้างถึงหน่วยทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Federation Unit ก็ตาม แต่เงินเป็นเรื่องไม่สำคัญ เพราะว่าการสะสมเงินและสิ่งของไม่ได้รับการยกย่องตลอดเรื่อง สถานะทางสังคมขึ้นอยู่กับผลสำเร็จและคุณค่าของผลงาน</p><p>แม้ว่าใน Star Trek จะมี “replicator” ซึ่งสร้างวัตถุ ทำให้ความต้องการทางวัตถุของตัวละครหมดไป ในเมื่อไม่มีปัญหาเรื่องความจำเป็นพื้นฐานของชีวิตอีกต่อไป ตัวละครก็มีสิทธิที่จะขี้เกียจไม่ทำอะไรเลยก็ได้ แต่เรื่องกลับไม่เป็นอย่างนั้น เขาทั้งหมดกลับทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เพื่อเ้ป้าหมายของส่วนรวม</p><p>หากท่านเป็นตัวละครใน Star Trek ล่ะ ท่านจะเลือกทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างนั้นหรือไม่?
</p><h4>ความสามารถ ทักษะ และการปฏิบัติ
</h4> <p>ตัวละครใน Star Trek มีความสามารถ และมีทักษะสูงเป็นอย่างยิ่ง แต่ละคนพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง และของผู้อื่น พัฒนาจุดแข็งและปิดจุดอ่อนของตน ทำให้เหมาะกับงานที่ตนรับผิดชอบ แต่ละคนไม่ได้ต้องการจะเป็นคนอื่นเลย เพราะว่าคนแต่ละคนแตกต่างกัน </p> <p>สถานะทางสังคมขึ้นกับความสามารถและผลงาน (ซึ่งสะท้อนอยู่ในตำแหน่ง) ไม่มีการแบ่งแยกตามอายุ เพศ เผ่าพันธ์ ผลงานมีค่าสูงสุด และผู้ที่มีผลงานและความรับผิดชอบก้าวหน้าได้เสมอ </p> <p>โครงสร้างทางสังคมแบบนี้วัดที่ผลงาน ผู้ที่ทำได้เหนือความคาดหมายประเภทดาวรุ่ง เช่น Wesley Crusher ลูกหมอ Crusher ได้รับการสนับสนุนแม้จะอายุน้อยแทนที่จะถูกต่อต้าน สะกัดดาวรุ่งด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา (ความกลัวว่าจะมีคนมาแซงหรือตนจะสูญเสียความสำคัญ)</p> <h4>การรู้จักตนและความนับถือตนเอง</h4><p>ตัวละครทั้งหมด มีความภาคภูมิใจ (self-esteem) ในตัวเองสูง รู้ตัวว่ามีค่าต่อส่วนรวมไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่คิดลอกแบบใครเพราะตระหนักว่าตัวก็มีดีเหมือนกัน ถึงชีวิตก็มีความสุขสบายแต่กลับไม่มีใครเมาที่นอน ขี้เกียจ-ไม่ทำงาน </p><p>ต่างคนต่างมีแรงผลักดันของตัวเองเพื่อพัฒนาตนให้เป็นคนที่มีค่ายิ่งขึ้นต่อส่วนรวม ไม่จะเป็นต้องอิจฉาริษยาใคร เพราะว่าแต่ละคนมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน และต่างพึ่งพากัน โดยไม่ล้มทับกัน ไม่กล่าวโทษผู้อื่นสำหรับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับตน</p><p>ช่างต่างกับสังคมสารขัณฑ์เสียเหลือเกิน ที่เป็นสังคมชี้นิ้วให้คนอื่นทำแต่ตัวเองกลับไม่ทำอะไร ขี้เกียจ อิจฉาตาร้อนกลัวว่าคนอื่นจะได้ดี ข้อแม้เยอะ มีเหตุผลต่างๆ นานาที่จะไม่ทำ ไม่เป็นสังคมแห่งการปฏิบัติ</p><h4>ความเคารพนับถือกันและกัน</h4> <p>สังคม Star Trek แยกแยะงานเป็นงาน เวลาพักทุกคนเป็นเพื่อนกัน ไม่มีฟอร์มอีกแล้ว เนื่องจากตัวละครแต่ละตัวมองเห็นแก่นแท้ของกันและกัน ไม่ว่าจะในเวลางานหรือนอกเวลางาน ต่างคนต่างนับถือกันและกัน ยอมรับในความแตกต่าง และยอมรับเพื่อนได้แบบที่เขาเป็น </p><h4>ความเป็นระเบียบ
</h4> <p>ห้องพักและสถานีที่ทำงานของทุกคนเป็นระเบียบตลอดเวลา ทุกอย่างถูกจัดตามการใช้งานที่สะดวกที่สุด ไม่มีความหรูหราฟุ่มเฟือย </p><p>แม้ว่าจะ สังเคราะห์อาหารได้จาก replicator แต่ก็ไม่มีใครอ้วน เพราะความมีมากเกินไป ไม่ได้ช่วยให้ใครมีค่ากว่าคนอื่นอยู่ดี</p> <h4>ความไม่จำเป็นในการเสริมสร้างภาพลักษณ์และการไม่มีการตลาด</h4> <p>แม้ว่า Star Trek จะเป็นเรื่องในจินตนาการ แต่ตลอดทั้งเรื่อง กลับไม่พบการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง หรือมีโฆษณาแอบแฝงใดๆ เหมือนรายการโทรทัศน์สาระขัณฑ์</p><p>สังคม Star Trek เป็นสังคมแห่งการปฏิบัติ ดีหรือไม่ดีก็วัดกันตรงนั้นครับ ไม่ใช่การประชาสัมพันธ์โอ้อวดกัน ถ้าดีจริงแต่คนอื่นไม่เห็น แบบนั้นดีจริงหรือครับ</p> <h4>ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัวเอง</h4> <p>Star Trek เป็นเรื่องในจินตนาการ เป็นการเสนอรูปแบบของสังคมอุดมคติแบบหนึ่งที่มีความซับซ้อน </p><p>ท่านอ่านบันทึกนี้ แล้วท่านได้อะไรบ้าง?</p><p>ถ้าเปลี่ยน Enterprise เป็นหน่วยของท่าน และเปลี่ยนลูกเรือเป็นพนักงาน เปลีั่ยนองค์กรเป็น Star Fleet หรือเป็นสหพันธ์ฯ จะใกล้เคียงกันขนาดไหน; ท่านมีความต้องการให้องค์กรของท่านเป็นอุดมคติขนาดไหน และท่านจะต้องทำอะไร-อย่างไรเพื่อให้เกิดลักษณะแบบนั้นขึ้นบ้าง แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ คำบ่นความโกรธขึ้งทั้งหลายที่ท่านมีต่อองค์กรและเพื่อนร่วมงาน จะทำให้อะไรดีขึ้นมาหรือครับ?</p><p>แล้วถ้าเปลี่ยนกรอบใหญ่เป็นประเทศสาระขัณฑ์ล่ะครับ ประเทศนั้นจะดีขึ้นได้เองเพียงแต่ประชาชนแสดงความปรารถนาดีและไม่ต้องทำอะไรอย่างนั้นหรือครับ?</p>