(คนเชียร์เบียร์หาแฟนง่ายกว่าคนเชียร์Blog)
การเข้าไม่ได้ไม่ถึงจิตวิญาณของBlog ก็เหมือนหุงข้าวแล้วไฟดับ มันก็ได้ข้าวสุกๆดิบๆ กินบ่ได้นอกจากเอาไปหว่านให้ไก่ ก็ไม่แน่ว่าไก่จะท้องอืดอีกรึเปล่า การเขียนBlog ก็เหมือนการทำบุญ ถ้าไปบังคับ ออกกฎเกณฑ์ มันจะเป็นการตั้งต้นด้วยความ”ยาก”แต่ถ้าเริ่มที่การแนะนำ ให้ค่อยๆซึมซับตามความพร้อมของแต่ละคน เราจะได้สมาชิกชาวBlogที่ดีมีใจและถาวร
ประการสำคัญในวันที่เข้ามาเขียนครั้งแรกนั้น จำเป็นต้องมีคนคอยช่วยแนะนำในขั้นตอนที่ให้ดูดีเรียบร้อย เทคนิคยากๆอาจจะรอที่หลัง เอาขั้นแรกให้สอบผ่านมีคนมาอ่านมาชม แค่นี้ก็หัวใจพองโตแล้ว เกิดพลังใจที่จะทยอยนำประสบการณ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไปแต่มั่นใจตัวเอง ขั้นตอนนี้เครือข่ายเราทำได้ดีอยู่แล้ว “มีคนคอยเชียร์Blog พอๆกับคนเชียร์เบียร์ ทวีสินวิเคราะห์ ที่เต็มไปด้วยน้ำใจไมตรี แถมยังมีหลายระดับที่พร้อมเข้ามาแนะนำมือใหม่หัดเขียน สภาพการเรียนรู้ของสังคมไทยในขณะนี้ เรามีปัญหาเรื่องนี้มาก ในการประชุมกรรมการสภามหาวิทยาลัย มีการเอ่ยแว๊บๆถึงกลยุทธของครูอยู่บ้างดังเช่น
-
ครูที่ดีควรทำหน้าที่จุดประกายให้ลูกศิษย์ได้คิด กระตือรือร้นที่จะหาคำตอบ อันจะนำไปสู่การใฝ่รู้ใฝ่เรียนโดยตัวตนของเขาเอง
-
ครูที่เอาใจลูกศิษย์ มักจะบอกว่าเธอจะต้องทำตามนี้ ทำอย่างนี้ บอกโล่งโจ้งตั้งแต่หัวจรดลงท้าย เด็กแทบไม่ต้องคิดอะไร จำเอาที่ครูบอก ทำตามที่ครูสั่งเสีย การเรียนรู้ก็เลยสาดเสียเทเสียอย่างที่เห็นๆ
-
ไม่ทราบว่าเรามีครูเปิดประกายสักกี่% และครูปิดประกายสักกี่% ถ้าพิจารณาจากการแนะนำการเขียนBlog ครูสอนผมจะมีทั้ง2อย่าง ซึ่งก็ไม่เสียหายอะไร การเรียนรู้ผมคิดว่ายังไงก็ได้ ขอแต่เรียนแล้วให้มันได้ความรู้จริงๆเถอะน่า..
-
จุดเด่นในกระบวนการของBlog ครูนักเรียนติดตามผลการเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างสะดวก ถ้าลูกศิษย์เปิดใจเรียน ผู้เรียนจะเร่งเกียร์เข้าไปหาครูเอง คุณครูก็ประเมินความรู้ความต้องการของลูกศิษย์ได้อย่างหมดจด เรื่องอาจจะดูง่าย แต่ถ้าจะทำอย่างจริงจัง ต้องเตรียมทั้งครูและลูกศิษย์ให้เป็นสายพันธุ์เดียวกันเสียก่อน ผมจึงชื่นชมพระอาจารย์Handyมาก ที่จะให้นักศึกษาทุนทุกคนเขียนรายงานผ่านBlog ดร.ศักดิ์พงศ์ หอมหวน นำวิธีการนี้ไปใช้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชีวิตเช่นกัน น่าสนใจตรงนี้จะได้เด็กมีจริตชอบเรื่องนี้สักกี่% และพัฒนาไปจนเป็นคนนักศึกษาพันธุ์Blogได้กี่%
เรื่องเล่าเช้านี้ต้องการฉุกคิดว่า แม้แต่พวกเราเองก็ยังอยู่ในบริบทของกระบวนการICT.แค่หางอึ่งเท่านั้น หนทางข้างหน้ายังต้องทำอะไรอีกมากนัก เส้นขอบฟ้าสีทองยังระเรื่อบางๆไกลโพ้นหลายปีแสง ใครเข้ามาได้แล้วก็จะรู้ว่า..โลกการเรียนรู้เพิ่งจะเปิดหน้าสารบัญเท่านั้น เส้นทางเดินของBlogยิ่งกว่าไวรัสในคอมพิวเตอร์เสียอีก ตอนนี้ผมมีที่รักมานอนเอ้งเม้งอยู่ในดวงใจหลายท่านแล้ว เกิดกลไกที่จะคิดและทำงานใหม่ๆไม่สิ้นสุด ยกตัวอย่างเช่น
· ได้ความคิดจากท่านสะ-มะ-นึ-กะเจ้าพ่อหัวลำโพง ทำให้เคิดว่า คราวต่อไป เราน่าจะจัดการเดินทางไปประชุมBlogโดยใช้บริการรถไฟไทยบ้าง จะได้คอยรับคอยกอดกันที่ชานชาลาในแต่ละสถานี ให้คนอื่นต๊กกะใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในระหว่างการเดินทางนอกจะจากพูดคุยกันแล้ว ยังรายงานการเดินทางให้เพื่อนที่รออยู่ทุกสถานีข้างหน้าได้ทราบด้วย ลองเปลี่ยนรถบัสมาเป็นรถไฟ ถ้าสมาชิกครึ่งโบกี้ ก็เขียนป้ายผ้าติดข้างรถประชาสัมพันธ์เสียเลยว่า “โบกี้นี้มีคนพันธุ์Blog จะไปประชุมที่..ถ้าใครชอบฮากรุณาขึ้นตู้นี้”
· การจัดประชุมระหว่างภูมิภาคในอนาคต เราอาจจะเพิ่มรูปแบบใหม่ตามความเหมาะสม มีทั้งแบบวิชาการล้วน หรือ จัดลักษณะวิชาการกึ่งวิชาเกิน เชิญคนหลายวัย เชิญครอบครัว เอาคุณญาติไปร่วมเรียนรู้ด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้จะคุ้มค่าต่อความเหนื่อยยากในการเตรียมงาน ความประทับใจและผลลัพธ์ก็จะเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว บทสรุป
· Blog ไม่ได้อยู่ที่ข้อเขียนอย่างเดียว แต่มันเข้าไปแทรกซึมอยู่ในสายเลือด สายความคิด และสายสติปัญญาของประชาคมไทย
· ถ้าจะจัดลักษณะกึ่งวิชาการ เราอาจจะกำหนดสถานที่ประชุมให้แต่ละภูมิภาคเป็นเจ้าภาพ ต้นปีเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พิษณุโลกเป็นเจ้าภาพ เลือกวันหยุดอากาศกำลังเย็นสบาย
· อีสานเป็นเจ้าภาพ ให้หนองคาย อุบลฯ มุกดาหาร นครพนม จัดช่วงหน้าฝน อากาศไม่ร้อน
· ภาคใต้ควรเป็นเจ้าภาพช่วงหนาว จะได้ไปชมทะเล ชายหาด ที่คนไม่พลุกพล่าน หาดใหญ่ ยะลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช เลือกได้ตามความกล้าหาญ ถ้าอยากตื่นเต้นก็จัดที่ยะลา จะเป็นไรไปเล่า เราประชาสัมพันธ์ได้นี่ว่าอย่ามากวนเรานะ
สรุปว่าแนวทางนี้เป็นการจัดงานแบบอิงระบบ และเป็นไปตามอัธยาศัย ที่ได้ประโยชน์ 5 อย่าง ใครอยากเป็นแนวร่วมกรุณาช่วยหาเหตุผลมาอธิบาย ดีไหมครับ อิอิ.