ดังที่ผมกล่าวไปแล้วในบันทึกที่แล้วว่า วันเปิดโลกกิจกรรม เป็นเสมือนสายธารของการก่อเกิดกิจกรรมในมหาวิทยาลัย เพราะเป็นครั้งแรกที่ชมรมและองค์กรต่าง ๆ จะได้ปรากฏตัวอย่างเป็นทางการอย่างพร้อมเพรียงกันต่อมวลชนในมหาวิทยาลัย –
เรื่องราวของกิจกรรมนิสิต ยังคงไม่สิ้นมนต์ขลัง หากแต่ยังคงเป็นเสมือนหนังสือเรียนอีกเล่มหนึ่งที่ทรงคุณค่าต่อการศึกษาเรียนรู้ และหนังสือเล่มนี้ยังมีที่ว่างอีกมากมายให้ผู้ที่เรียนรู้สามารถบันทึก หรือจารึกเรื่องราวแห่งชีวิตลงไปนั้น เผื่อว่าสักวันในภายภาคหน้า คนที่สัญจรเข้าสู่เส้นทางสายกิจกรรมแห่งการแสวงหานี้จะได้เรียนรู้และเสพอ่านกันสืบต่อไปอย่างไม่รู้จบ
การทอดเท้าเดินและปล่อยวางให้หัวใจได้มีเสรีเที่ยวท่องในบริบทของงานเปิดโลกกิจกรรม เป็นเสมือนการสัญจรท่องอยู่ในเวทีแห่งความคิดและปัญญา และเป็นมุมของนักฝันที่มีความฝันในการแสวงหาคำตอบของชีวิต หรือแม้แต่การเป็นเสมือนวิถีแห่งการเดินทางเพื่อค้นหา “ตัวตน” ของตนเอง ชีวิตในมหาวิทยาลัยมีหลากหลายคำถามที่ชวนต่อการค้นหาคำตอบ แต่อย่างน้อยที่สุดคำถามที่เกี่ยวกับการค้นหาตัวตนของตนเองก็ถือว่าสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคำตอบอันเป็นความรู้ในตำราเรียน ...
19 ปีที่แล้ว : ในจุลสารเล่มเล็กที่จัดทำขึ้นในวันเปิดโลกกิจกรรมเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2531 ปรากฏลำนำชีวิตนานาคำถามของคนหนุ่มสาวที่พร่ำถามตนเองอย่างสุภาพ คล้ายกับลังเล เคว้งคว้าง หวั่นหวาดต่อเส้นทางชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่สนุกสนานเริงร่าราวนกฟ้าที่เพิ่งท่องทะยานฟ้า กระนั้น ลำนำดังกล่าวก็แฝงความมั่นคงทางจิตใจอันเด็ดเดี่ยวที่จะเลือกเดินเข้าสู่ถนนสายกิจกรรม
ลองสัมผัสดูนะครับ ... อาจจะไม่โดดเด่นอะไรเลยในทางวรรณศิลป์ แต่สำหรับผมแล้วมันสำคัญมาก เพราะนี่คือห้วงหนึ่งของคนที่เดินอยู่ในถนนสายกิจกรรมเมื่อ 19 ปีที่แล้ว
ฉันเป็นใคร
ฉันมาจากไหน
ฉันจะทำอะไร
ฉันจะทำเพื่อใคร
ฉันจะไปทางไหน
ฉันอ้างว้างโดดเดี่ยว
ฉันเหงาเศร้าซึม
ฉันสนุกสนานเริงร่า
ฉันมีความสุข
ฉันมีความทุกข์
ฉันมีเพื่อนร่วมทาง
ฉันยังมีความหวัง
ฉันยังมีลมหายใจในกาย
ฉันยังมีความคิด
ฉันยังมีอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง
ฉัน...ยังไม่รู้
ว่าฉันเป็นใคร
ฉันเลือกถนนสายนี้
ฉันจะก้าวไปอย่างมั่นคง
ฟังดูบางจังหวะในลำนำนั้น ดูเหมือนกำลังสับสนและยืนอยู่บนทางแยกที่จะต้องเลือก .. สิ่งที่ไม่รู้ในวันนี้จะนำพาชีวิตไปสู่การค้นหาคำตอบที่ควรต้องรู้ในอนาคต ..
ผมว่าใครก็ตามเถอะหากอยู่ในสถานะของผู้มาใหม่และแปลกหน้าต่อสถานที่ที่กำลังยืนอยู่เช่นนั้น ก็คงย่อมอยู่ในอารมณ์ที่ไม่แปลกแยกและแตกต่างกันเท่าใดนัก
แต่อย่างน้อยลำนำนั้นก็กำลังจะบอกกับเราทั้งหลายว่า ผู้ที่ตัดสินใจสัญจรเข้าสู่ถนนสายกิจกรรมเส้นนี้ จะพานพบกับเรื่องราวแห่งการเรียนรู้อันหลากหลายบรรยากาศ และที่สำคัญ คือ เส้นทางสายนี้จะไม่มีวันเดินดุ่มอย่างเดียวดายเป็นแน่ ...!
หมายเหตุ
จำนวนรายชื่อชมรมที่รวมเป็นกลุ่มประสานงาน 14 ชมรม ในการขับเคลื่อนวันเปิดโลกกิจกรรมเมื่อปี 2531
- อาสาพัฒนา, ศิลปะนครินทร์, วิชาการ, คณิตศาสตร์ - สถิติ, เชียร์, พุทธศาสน์, เกษตรสัมพันธ์, สังคมศาสตร์, อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ศึกษาศาสตร์, ถ่ายภาพ, วรรณศิลป์, นาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง, นาฏศิลป์และดนตรีไทย
สวัสดีครับพี่พนัส
"ศรัทธา เชื่อมั่น" คำนี้ผมได้ยินมาหลายปีแล้ว และจำได้แม่นครับ
มันมีความหมายในตัว ไม่ต้องขยายความให้เสียเวลาครับ
สวัสดีครับ น้องแจ๊ค
ศรัทธา เชื่อมั่น, .. สั้น ๆ แต่หนักแน่นและมีความหมายที่ทรงพลังมาก
หลายมหาวิทยาลัยใช้คำสองคำนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะในแวดวงของกลุ่มชมรมที่ทำงานด้านอาสาพัฒนา, และบำเพ็ญประโยชน์ ..
ขอบคุณครับ, และยังอยากจะบอกว่า ณ วันนี้ก็ยัง "ศรัทธา เชื่อมั่น" อย่างไม่คลอนแคลน
สวัสดีครับ พี่อัมพร
ตอนนี้หายป่วยหรือยังครับ...เป็นห่วง...และขอให้หายวันหายคืนนะครับ
เปิดโลกกิจกรรมที่ ม.สงขลานครินทรฯ ดูเหมือนจัดเร็วมาก ขณะที่ มมส จะต้องรอให้มีการรับน้องใหม่, ไหว้ครูเสียก่อน.. ดังนั้นจึงมักวนเวียนอยู่ไม่เกินสัปดาห์ที่สองของเดือนกรฎาคมของทุกปี
โดยส่วนตัว, ผมให้ความสำคัญกับกิจกรรมโครงการนี้มาก เพราะโอกาสที่เราจะได้พบเจอเหล่าชมรมต่าง ๆ อย่างพร้อมหน้านั้นหาได้ยากยิ่งนัก ...
นี่จึงเป็นเสมือน "ตลาดนัด" ของคนที่มี "ความฝัน" ในถนนสายกิจกรรม นั่นเอง ..
....
หายไข้ไว ๆ นะครับ
สวัสดีครับ
ผมถือว่า "บทเรียนที่ท่านถอดออกมานั้น" เป็นสุดยอดบทเรียนแห่งปีอีกบันทึกหนึ่งของผมเลยทีเดียว
กิจกรรมสร้างคนเสมอ... เรื่องเล่าของคุณยอดดอย เป็นเครื่องชี้ชัดและการันตีได้อย่างดีเยี่ยม
การเคลื่อนตัว หรือรวมกลุ่มของนิสิตนักศึกษา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเคลื่อนไหวไปตามภาวะของสังคม ซึ่งหมายถึงเกิดขึ้นมาตามแรงเร้าและแรงขับทางสังคม, จากนั้นก็หายลับไปตามปรากฏการณ์ที่แตกดับไปของปัญหา
ลักาณะเช่นนี้ไม่แปลก แต่น่าสนใจและควรค่าต่อการหยิบมาศึกษาเป็นอย่างมาก ดีกว่าหลายองค์กรที่เกิดและแช่อยู่ในระบบเป็น "พันปี" แต่ไม่เคยทำกิจกรรมที่สอดรับกับความเคลื่อนไหวในทางสังคม ...
ผมเป็นอีกคนที่พยายามอย่างเหลือทนในการหนีไปจากขนบวัฒนธรรมทางกิจกรรม ... ในสมัยที่เป็นนิสิตก็พาน้องใหม่ไปพัฒนาเทศบาล, จัดโครงการดินน้ำป่าอีสานเพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมของชาวมหาสารคาม, ทำผ้าป่าอาหารสัตว์ ... และอื่น ๆ
โดยส่วนตัวผมมองว่าทุกวันนี้นิสิตนักศึกษาทำกิจกรรมในเรื่อง "สิ่งแวดล้อม" กันน้อยมาก ทั้งที่ยุคสมัยนี้มีแหล่งทุนจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะสนับสนุน แต่กลับกลายเป็นว่านิสิตมุ่งความสนใจไปในเรื่องอื่น ๆ อย่างน่าเสียดาย
ที่ มมส ปีนี้, เรากำลังมุ่งไปในด้านวิถีวัฒนธรรมและศิลปะแขนงต่าง ๆ ... เพื่อชีhให้เห็นความงามของความเป็นมนุษย์ และสะท้อนให้เห็นความพอเพียงที่ควรจะเป็นในสังคม ...
....
ขอบคุณเรื่องเล่าดี ๆ ที่ถอดบทเรียนออกมาอย่างทรงคุณค่า
ผมชื่นชมและให้ความเคารพต่อ "นาฏกรรม" ที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาล .... และขออนุญาตที่จะนำไป "ต่อยอด" บอกเล่าให้กับผู้นำนิสิตได้รับรู้บ้างนะครับ
ขอบคุณอีกครั้ง ครับ !