sasinanda
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาคุยกันอีกรอบ ชอบคุยกับคุณพนัสค่ะ คุณมีทั้งความละเอียดอ่อน พร้อมเข้าใจในความรู้สึกของคนอื่นๆ (แต่ตัวเองชอบเก็บความรู้สึกไว้ และไม่ค่อยชอบแสดงออกทางภาษากาย ไปออกทางภาษาหนังสือมากกว่า) เป็นคนมีจินตนาการกว้างไกลไปจนสุดหล้า
แต่ขณะเดียวกันก็สามารถลงลึกในภาคส่วนของความเป็นจริงในชีวิตได้เป็นอย่างดีแสดงว่าสมองสองซีก ทำงานประสานกันอย่างเหมาะเจาะจริงๆ ได้พันธุกรรมส่วนนี้มาจากใครคะ
เหมือนกับคนหลายคนที่เห็นมา เก่งทั้งศิลปะและทางวิทยาศาสตร์ แต่ส่วนใหญ่ คนมักจะมีแนวโน้มเก่งอย่างใดอย่างหนึ่ง มากกว่าอย่างชัดเจนขอคุยกันในประเด็นดังต่อไปนี้ค่ะ
· เรื่องธรรมชาติ ของสรรพสิ่ง เป็นเรื่องที่อาจอธิบายยากหน่อย ตอนแรกพี่เองก็ ชอบมีคำถามร้อยแปด ถามพระอาจารย์ ท่านจึงตอบโดยสังเขป แต่ให้ลงมือฝึกสติและสมาธิเลย เมื่อใจหยุด ใจนิ่ง ใจใส ดีแล้ว พุทธะที่อยู่ในตัว จะสว่างขึ้น กาย ใจ จิตวิญญาณ จะหลอมเป็นหนึ่งเดียว เกิดพลังกระแสไฟฟ้า ทำให้เกิด ความสว่าง เย็น ขึ้นภายใน
ซึ่งป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ ไม่แปลกเลย จะยากตรงการทำใจหยุดนิ่งถูกส่วนนี่ละ ยากมากมาก
และการ ประคองใจไว้ก็ยากมาก ไม่ใช่หยุดนิ่งแล้ว นิ่งเลยนะ อาจจะหยุดแค่ 1 นาที แล้วก็ไหวใหม่อีกแล้ว ก็ต้อง ทำสมาธิใหม่ ประคองไปอีก
สรุปว่า ต้องประคองไปทั้งหลับและตื่นนั่นแหละ ใจจึงจะสว่างอยู่อย่างนั้น คนธรรมดาปุถุชนจึงทำยาก สว่างแล้ว พอมีอะไรมากระทบใจ ก็มืดอีกแล้ว ต้องทำใจใหม่ ไม่รู้จบน่ะค่ะ แต่คนที่เคยฝึกมาระดับหนึ่ง จะใช้เวลาไม่นานนักในการมาเริ่มใหม่ทุกวัน เพราะพอจะจับทางเดินของจิตได้ กรุยทางไว้แล้ว เคยมาทางนี้แล้ว ก็จะกลับมาอีกได้ค่ะ แต่ถ้าเว้นไปนานๆ ก็จะหลงทางค่ะ
ตรงนี้ พูดตามประสบการณ์ของตัวเองค่ะ เพราะ ถ้าไม่มีประสบการณ์ ไม่กล้าพูด เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องพูดกันเล่นๆ
· ขออนุญาต ยกกลอนของท่าน ศาสตราจารย์กิตติคุณ สุมน อมรวิวัฒน์ มาฝากคุณพนัส เพื่อความกระจ่างยิ่งขึ้นค่ะ ธรรมชาติของสรรพสิ่ง คือความจริงที่ปรากฏ
คือความเป็นทั้งหมด กำหนดเด่นเป็นหนึ่งเดียว
องค์รวมจำแนกได้ ส่วนย่อยไซร้ก็กลมเกลียว
เชื่อมโยงและข้องเกี่ยว เป็นกลไกประกอบกัน
ทุกส่วนล้วนหลากหลาย คล้องเครือข่ายทุกสิ่งอัน
ซับซ้อนก็สัมพันธ์ เป็นพลวัตที่พัฒนา
การผุดบังเกิดชัด คุณสมบัติอันทรงค่า
วิชชาและปัญญา เป็นแกนหลักประจักษ์ตน
ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ยิ่งซับซ้อนก็สับสน
จัดระเบียบก็เวียนวน ปรับเปลี่ยนยากด้วยเคยชิน
มุ่งทางสายกลางเถิด สิ่งประเสริฐของชีวิน
เกื้อกูลกันทั่วถิ่น สร้างกลไกให้สมดุล
ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ทั้งภายนอกในตัวคุณ
กายจิตมาค้ำจุน โพธิจิต จิตวิญญาณ
ธรรมชาติคือตัวเรา เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
วงจรก็บรรสาน วัฏจักรแห่งปัจจัย
เพราะสิ่งนี้บังเกิดมี แล้วสิ่งนี้ จึงมีได้
เพราะสิ่งนี้ ดับลงไป แล้วสิ่งนี้ จึงดับลง
มนุษย์เรารู้แล้ว ว่าไม่รู้ และลุ่มหลง
ขจัดความเขลาปลง พร้อมละเลิกเห็นแก่ตัว
สร้างจิตสำนึกใหม่ รู้ฝึกใจไม่เมามัว
คุณค่าที่ถ้วนทั่ว สู่สันติประชาคม
ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ต้องศึกษาและอบรม
ไตรลักษณ์หลักอุดม- การณ์แท้แก่ชีวิต
ความจริง คู่ความงาม เป็นความดีคู่ดวงจิต
จักสร้างสุขเป็นนิจ อิสรภาพตราบโลกสลาย
· จริงๆแล้ว ที่คุณพนัส เฝ้ามองดูความงามของธรรมชาติ และเขียนพรรณนาความงามนั้นออกมาเป็นบทกวี ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง แม้ไม่ได้นั่งสมาธิ การนั่งดูความงามของต้นไม้ สายน้ำ ปล่อยจิตใจให้ไหลไปเรื่อยๆ พลังของจิตจะไหลช้าลงๆ
จนหยุดนิ่ง และประสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้ในที่สุด ก็เป็นการได้สมาธิอย่างหนึ่งนะคะ
การที่จิตคุณพนัส เข้าถึงธรรมชาติ จะเกิดญาณล้ำลึกขึ้นค่ะ เกิดความเข้าใจในธรรมชาติ ที่ปกติเราไม่สามารถใช้ความรู้อันจำกัดของมนุษย์ ให้เข้าถึงได้ จำเป็นต้องใช้ ความนิ่งใสจนเกิดญาณ เป็นเครื่องมือ
มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลค่ะ และเราเองก็เกิดมากันไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้ว ข้อมูลความทรงจำอันมากมาย ยังอยู่ในตัวเรา แต่เราเข้าถึงไม่ได้ จำไม่ได้ เพราะจิตเรา ไม่ใสสะอาดพอค่ะ
· · เราควรพยายามต้องค้นพบตัวเอง จะพบหรือเปล่า ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยเราก็มีจุดมุ่งหมาย มีแผนที่ชีวิต มีอิสระในการเลือกทางเดินชีวิตของเราตามควรต่อไปในภายภาคหน้า
แต่บางที ขณะนี้ เราเลือกทางเดินชีวิตบางอย่างของเราไม่ได้ เป็นเพราะกรรมที่เราได้ทำไว้เองมาบีบบังคับเรา ทำให้ไม่มีทางเลือกค่ะ เช่น ดิฉัน มีลูกน้องคนหนึ่ง ทำงานดี แต่มาขอลาออก ไปทำเขียงหมูที่ตลาดแทนแม่ๆป่วย ดิฉันพยายามทัดทาน ให้เหตุผลต่างๆนานา ว่า ทำเขียงหมู บาปมากนะ แต่เขาก็ไม่ฟัง เลยปล่อยไป น่าสงสารจริงๆ บางที มีทางเลือก ก็ไปเลือกอาชีพ ที่จะต่อบาปไปอีก คนหนอคน ปลงๆๆ
·
· กรณีเรื่อง เจ้าหน้าที่.....คุณพนัส มีภาวะผู้นำด้าน นักพัฒนา เช่นที่กล่าวว่า.......ตอนนี้เขามีพัฒนาการความรับผิดชอบที่ดี, กำลัง "อ่าน" งานได้ชัดเจน แต่ผมและคนอื่น ๆ ก็ยังต้องช่วยกันดูแลน้องคนนี้อีกรอบ
ผู้นำแบบนี้ จะมีประสิทธิภาพกว่าแบบอื่นๆ แม้บางที จะดูช้ากว่า เพราะ ต้องใช้เวลา
ส่วนตัวพี่เอง ใช้แบบผสมผสานระหว่าง การใช้อำนาจเชิงเมตตา กับ การพัฒนาบุคลากร เพราะ บางที ปล่อยให้พัฒนาไปเรื่อย ๆ กว่า ถั่วจะสุก งาก็ไหม้ งานเสร็จไม่ทันการเสียแล้ว คงจะไปเน้น อย่างเดียวไม่ได้ แต่การพัฒนาคน เราจะได้ ความคิดสร้างสรรค์จากเขาด้วย แต่เราจะเหนื่อย ตอน ที่ต้องคอยให้กำลังใจ
และ เป็นโคชใกล้ชิด ยกเว้น บางคน ที่ฉลาด ไปใกล้ชิดเขามาก เขาไม่ชอบ เขาชอบอิสระ เพียงพูดกันเข้าใจตั้งแต่ต้น
บางทีผลงานเขา ทำให้เราอึ้ง ด้วยความทึ่งด้วยซ้ำ เช่น มีลูกน้องชายคนหนึ่ง มีแววมาก ดูตาก็รู้ ให้งานไปชิ้นหนึ่ง ไม่นึกว่า จะทำได้ดี พอเห็นผลงาน ทึ่งมาก ฉลาดทีเดียว ใครๆบอก คนฉลาดควบคุมยาก ก็จริงค่ะ อีกไม่ช้า ไปเปิดบริษัทเองเฉยเลย แต่เคลียร์งานจนหมด น่ารักมาก แต่เสียดาย !!
· · คุณพนัสเล่าว่า......ทุกคนทำงานในสิ่งที่ตนเองถนัด, สนใจ, และสันทัด .. ไม่ฝืนตัวตน เป็นไปตามธรรมชาติของตนเอง นี่กระมังครับ การงาน คือ ธรรมะ, ธรรมะ คือ ธรรมชาติ และธรรมชาติ คือ ธรรมะ ...
· คนเรา ถ้าได้ทำงานที่ตัวเองชอบและถนัด ย่อมมีกำลังใจ และทำได้ดีค่ะ
คนทุกคนมีพลังสร้างสรรค์ฝังอยู่ ถ้า เขาสามารถค้นพบตัวเอง และดึงพลังนั้น มาใช้ในการดำเนินชีวิต และประกอบอาชีพการงาน เขาจะมีความสุข และประสบความสำเร็จในที่สุดค่ะ
แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังต้องจัดการกับพลังของตนเองอย่างเหมาะสมนะคะ อย่างไรก็ต้องมีวินัยกำกับ เพราะการทำอะไร ตามที่ใจรักชอบและถนัด ไม่ได้ หมายถึง การทำอะไรที่ขาดวินัย อิสรภาพที่แท้จริง ต้องมีวินัยอยู่ด้วยค่ะ
· คุณพนัส จะเหนื่อยหน่อยค่ะ แต่เท่าที่อ่านดูทุกบันทึกที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ในฐานะ บุคคลที่ 3 ก็เห็นว่า เหนื่อยแต่ได้ผลงานดีนะคะ ต้องปลีกตัวไปดื่มด่ำกับธรรมชาติ เป็นครั้งคราว แล้วร่ายบทกวีออกมา จะช่วยได้มากค่ะ
·
· ครั้งนี้ เป็นการตอบที่ยาวที่สุดเลย แต่ชอบนะคะ ได้ share ประสบการณ์ แลกเปลี่ยนกับกัลยาณมิตร นับว่า เป็นโชคดีของพี่ ค่ะ
คุณพนัสทราบไหม เรื่องธรรมะนี่ ลูกชายพี่ จะเข้าใจ ลึกซึ้งมาก แต่ไม่ชอบบอกใคร เขาบอกว่า เรื่องนี้ เฉพาะตัว ขี้เกียจพูด อยากรู้ ต้องทำเอง แหม ผิดกับแม่เลย ชอบอธิบาย!! ยังไง คุยกันอีกได้นะคะ ขอบคุณค่ะ
เมื่อ จ. 16 ก.ค. [email protected] สวัสดีครับพี่ศศินันท์
แวะมาเยี่ยมและอมยิ้มเฉยๆได้ไหมครับ ผมอ่านแล้วเห็นว่าพี่มีอาวุธครบมือ คือ สติและปัญญา ใครจะทำอะไร ใครจะคิดอะไร ใครจะพูดอะไร ก็ไม่กระทบกระเทือนแล้ว