กลับบ้านครั้งที่ห้า


เท่าที่รู้สึกตอนนั้น คือจะตายเสียให้ได้ เหงื่อออก หน้าซีด ขาสั่นไปหมด แต่ยังขับรถอย่างมีสติ กลัวเป็นลมเหมือนกัน แต่ที่กลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ กลัวรถเหม็น

วันที่ 15 กรกฎาคม 2550

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ 10 ของการใช้ชีวิตที่สิงคโปร์ นับไปนับมาก็เหลืออีก 123 วันก็จะได้กลับบ้านแล้ว ห่างหายไปจากการเขียนบันทึก 3 วัน มีเรื่องราวเกิดขึ้นในชีวิตพอประมาณ

                เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาผมต้องเข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่ 8 โมง ทั้งๆที่ต้องอยู่ที่คลินิกตอนเช้า แต่เนื่องจากครูหาญต้องรีบผ่าให้เสร็จก่อน 3 โมง เลยต้องเข้ามาช่วยกันก่อน อีกทั้งหมอชาพาลีลาพักร้อนทั้งสัปดาห์ เลยขาดคนช่วยไป ตอนเย็นเลิกงานประมาณเกือบ 6 โมงเย็น ผมไปที่โกลเด้นไมล์ เพื่อซื้อตั๋วรถทัวร์กลับบ้าน เลือกบริษัทเดิมคือพญาทัวร์ เพราะราคาถูกที่สุด ทั้งๆที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นัก เพราะเคยเจอคนขับรถสูบบุหรี่ทั้งคืนในการกลับบ้านครั้งแรก แต่เนื่องจากราคาถูกเท่านั้น จึงได้ตัดสินใจเลือก ราคา 30 เหรียญ จากนั้นก็ไปที่ Chinatown เพื่อกินข้าวกับเท้งและพี่โต้ง กว่าจะถึงห้องพักก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว ผมยังคงมีความสุขกับการเดินดมกลิ่นอินเดียเหมือนเคย รู้สึกว่าทำไมกลิ่นมันจึงคุ้นจมูกชอบกล แต่นึกไม่ออกว่าเป็นกลิ่นของอะไร

                วันศุกร์เข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่ 7.30 น. เพราะเดือนนี้และเดือนหน้า ครูลีต้องผ่าให้เสร็จก่อน 3 โมงเย็น เพราะว่าติดเรียนอะไรสักอย่างกับ professor ของท่าน เลยเป็นโชคดีเล็กน้อย เพราะมิฉะนั้นอาจจะเลิกผ่าตัดราวๆ 2 ทุ่ม วันนี้นับว่าเป็นวันดีของผม เพราะได้ผ่าตัดโดยครูคุมอย่างใกล้ชิด รู้สึกว่าครูลีอารมณ์ดี เราคุยกันหลายเรื่องทั้งนอกและในวิชาการ ครูลีท่าจะชอบผม ดุบ้าง ชมบ้างปนเปกันไป เลยสนุกทั้งเช้า กว่าผมจะออกจากห้องผ่าตัดก็ 2 โมงครึ่ง ผมรีบกินข้าวเที่ยงอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้ออกไปอยู่กับครูรอยในช่วงบ่ายที่คลินิก

                ทำงานจนลืมไปเลยว่าวันนี้ทั้งวันไม่ได้กาแฟสักอึก ว่ายังไงตอนบ่ายรู้สึกซึมๆ ปวดหัวเล็กน้อย ง่วงเหงาหาวนอนตาจะปิดเสียให้ได้ แต่ที่ไม่หลับเพราะว่าครูรอยให้ผมตรวจคนไข้ทุกคน และได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องนักศึกษาแพทย์บ้าง จนกระทั่ง 5 โมงยังเหลือคนไข้ใหม่อีก 1 คน ผมจึงขอตัวครูว่าจะออกไปก่อน เพราะว่าจะกลับบ้าน ตั้งแต่เช้าผมเตรียมเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้คู่ใจหอบหิ้วมาโรงพยาบาลด้วยแล้ว ดังนั้นจึงตรงไปยังท่ารถได้เลย ผมเลือกที่จะนั่งรถบัสหมายเลข 57 ไป เพราะว่าราคาถูกดี เดินอีกครึ่งกิโลเมตรก็ถึงแล้ว เมื่อจัดการเรื่องรถเสร็จผมก็เดินเข้าไปในโกลเด้นไมล์เพื่อหาข้าวเย็นกิน จะได้ไม่ต้องหิวโซเหมือนการกลับบ้านครั้งแรก เลือกกินหมูผัดกระเพราราดข้าว ราคา 5 เหรียญ คนขายเป็นคนไทยทั้งนั้น คนกินก็เป็นคนไทย (ผมไง) แต่เขาไม่มีการยิ้มแย้มทักทายกันบ้างเลย

                เมื่อมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองมาเลย์เซีย ผมพบกับความประทับใจอีกครั้ง 3 ครั้งที่ต้องผ่านต.ม.ที่นี่ ผมพบเจ้าหน้าที่ที่ยิ้มแย้มเสมอ ครั้งที่ 2 เจอเจ้าหน้าที่พูดไทยได้ด้วย เขาถามผมว่ามาทำงานเหรอ ส่วนคนนี้เป็นผู้ชายที่ยิ้มให้ผมก่อนรับพาสปอร์ต หลังจัดการประทับตราก็ยังยิ้มส่งให้อีก นี่แหละเป็นปีส่งเสริมการท่องเที่ยวของเขา ป้ายที่อยู่ด้านหลังประกาศเตือนอยู่ตลอดเวลาว่ายิ้มก่อนให้บริการ ผมประทับใจครับ

นั่งรถกลับบ้านรอบนี้ผมก็ยังคงเจอกับคนขับรถสูบบุหรี่อีก เวรกรรมจริงๆ ผมหลับได้เก่งขึ้นมาก เรียกว่าเกือบอิ่มเลยก็ว่าได้ ไม่ตื่นบ่อยนัก อดดูตึกปิโตรนาสเลย

มาตื่นเอาอีกทีก็ถึงด่านต.ม.ขาออก และเข้าเมืองไทยในเวลา 6 โมงเช้าตามเวลาบ้านเรา ก็พบบรรยากาศเดิมๆ คือ ช้า แซงคิว เจ้าหน้าที่ไม่สนใจเรื่องการลัดคิว และที่สำคัญเรียกเก็บเงินค่าล่วงเวลาจากผม 10 บาทแล้วไม่ออกใบเสร็จให้ นี่แหละหนา บ้านเมืองเจริญช้าก็เพราะพวกเรากันเองนี่แหละ เก็บความหงุดหงิดเอาไว้ในใจ แล้วทิ้งไว้ที่ด่านสะเดานี่ ขึ้นรถกลับบ้านต่อไป

จิ๋มโทรเข้าหาทันทีที่เข้าประเทศ บอกว่าลูกๆตื่นหมดแล้ว คุณจ้าตื่นพร้อมไก่ สงสัยอยากมารับพ่อพร้อมกับพี่แป้งด้วย กว่าจะได้เจอกันก็ 7 โมงครึ่ง เจ้าตัวเล็กดูงงสัก 3 วินาที เลยจำพ่อได้ ก็โผมากอดกันแน่น พี่แป้งนั่งตักขวา คุณจ้านั่งตักซ้าย กอดยังไงก็ไม่หายคิดถึง ตอนนี้ลูกสาวผมอยู่เหมือนปลาช่อนเข้าไปทุกที หัวโตพุงลีบเพราะไม่กิน เฮ้อ.. เชื้อไม่ทิ้งแถวเลย ทั้งพี่ทั้งน้อง (ทั้งแม่)

ตลอดทั้งเช้าคุณจ้าให้ผมอุ้มตลอด เพราะว่าคงรู้จักการคิดถึงแล้ว อีกอย่างครั้งนี้จากไปตั้ง 3 สัปดาห์ ผมเลยไม่ต้องทำอย่างอื่น พาอุ้มไปเดินเล่น ไปนั่งคุยกับคุณยายบ้านอาจารย์โสภณที่อยู่เยื้องกัน ผมนั่งบนแปลแล้วเจ้าจ้าหนุนตัก คุณยายเล่าว่า คุณจ้ากำลังเป็นขวัญใจของหมู่บ้าน เพราะว่าเธอจ้อเก่งเหลือเกิน คุยไปคุยมาเธอก็ผล็อยหลับไปเลย สงสัยตื่นเช้าไปหน่อย นานๆเจ้าคนนี้จะได้หลับบนตัก น่าจะง่วงจริงๆ

เที่ยงวันนี้ไปกินขนมจีนกระท่อมเดือนเพ็ญ กินให้หายอยาก อยากกินมาเป็นเดือนแล้ว ครั้งก่อนพี่แป้งอยากกินพิซซ่าบ้าง อาหารญี่ปุ่นบ้าง ครั้งนี้เลยขอเธอเป็นกรณีพิเศษ เมื่อได้รับความเห็นชอบ ผมเลยได้สมหวัง

ช่วงบ่ายเราไปโรบินสัน เพื่อหาซื้อเพลงประกอบละครเพลง ฟ้าจรดทราย พี่แป้งทวงผมว่า พ่อจะพาไปซื้อกระเป๋านักเรียนลาก เพราะว่าครั้งก่อนเห็นว่าลูกหอบหิ้วของหนักมาก จริงๆแล้วมันก็ไม่น่าจะหนัก แต่เธอเลือกซื้อกระเป๋าใหญ่ อีกทั้งการจัดตารางสอนของเธอมักจะได้รับการบวกของเล็กของน้อย ใส่ไปใส่มาเลยหลังแอ่น ผมกลัวว่าลูกจะปวดหลัง กลัวกระดูกสันหลังเป็นอันตราย เลยบอกว่ารอบนี้จะซื้อกระเป๋าลากให้ แต่ที่โรบินสันไม่มี เลยไปที่ลีการ์เด้น ได้มาลูกหนึ่งใบเบ้อเริ่มอีกเช่นเคย บอกให้เอาลูกเล็กกว่าก็ไม่ยอม เลยต้องยอมเพราะเขาเป็นคนใช้และอีกอย่างใช้วิธีลากเอาคงไม่หนักหนาสาหัสนัก งานนี้คุณจ้าอยู่บนพ่อตลอด ไม่เห็นอยากจะได้อะไรกับเขาบ้างเลยบ้างเลย ผมเลยรู้สึกสบายใจ จะว่าไปผมนี่ค่อนข้างโชคดีครับ ที่ลูกไม่เคยดิ้นอยากได้ของเลยสักครั้ง เมื่อครั้งที่พี่แป้งยังตัวเล็ก พ่อจะซื้อของให้ เธอบอกว่าไม่เอา มีแล้ว และหลายครั้งที่เธออยากได้ของแต่พ่อไม่ซื้อให้ ก็ไม่เคยร้องห่มร้องไห้ดิ้นพราดๆเหมือนที่เคยเห็นในห้างเป็นประจำ คุณจ้าก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะหลายครั้งที่อยากไปเอาของเล่น แต่พ่อไม่ยอมก็ไม่เคยร้องสักครั้ง หลังจากซื้อของเสร็จก็ไปกินไอศกรีมกัน

ได้กลับบ้านก็ 4 โมงครึ่ง นัดกับพี่เปิ้ลเอาไว้ว่าจะไปกินสเต็กที่ซานตาเฟ่ ที่คาร์ฟู เนื่องจากพี่แป้งร้องขอเอาไว้ก่อนหน้าขนมจีนเสียอีก เมื่อขับรถออกจากบ้าน ผมรู้สึกมวนๆท้องเล็กน้อย หลังจากขับรถออกไปไม่ถึงไหนก็ต้องกลับบ้านมาปล่อยออกก่อน 1 รอบ

เราเปิดเพลงใหม่ฟังกัน พี่แป้งกับแม่เธอชอบแฮะ แป้งถามผมตลอดเลยว่า ตอนนี้ใครร้อง เกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ เรียกว่าถามทุกเพลง คุณจ้าก็ลา ลา ลา ไปด้วย จิ๋มบอกว่าอยากอ่านหนังสือเรื่องฟ้าจรดทรายอีกรอบ

มื้อเย็นนี้พี่แป้งสั่งสเต็กเนื้อแกะของโปรดของเธอ ผมสั่งซุปเห็ด เพราะว่าจะกินของเหลือของลูก เจ้าต้นข้าวกับพี่แตงกวาของป้าเปิ้ลก็มาด้วย สนุกกันใหญ่ เมื่อกินเสร็จก็แยกย้ายไปซื้อของ เพราะผมกะว่าจะซื้อบะหมี่สำเร็จรูปไปกินที่สิงคโปร์ แต่เมื่อเริ่มซื้อของ ท้องไส้ผมก็ปั่นป่วนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เริ่มรุนแรง เลยรีบซื้อของได้ไม่กี่อย่าง ปกติผมจะเป็นคนไม่เข้าส้วมนอกบ้าน ยังไงก็ต้องทนกลับบ้านให้ได้ แต่ครั้งนี้ประเมินแล้วว่าไม่ไหว จึงไปเข้าก่อน แต่ผิดหวัง เพราะว่าห้องส้วมเต็มทุกห้อง เลยวิ่งลงไปที่ชั้น 1 ปรากฏว่าสกปรก ไม่มีกระดาษชำระ ท้ายที่สุดก็รีบไปที่รถและกลับบ้านในบัดดล

เท่าที่รู้สึกตอนนั้น คือจะตายเสียให้ได้ เหงื่อออก หน้าซีด ขาสั่นไปหมด แต่ยังขับรถอย่างมีสติ กลัวเป็นลมเหมือนกัน แต่ที่กลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ กลัวรถเหม็น ผมรู้สึกว่าบ้านมันช่างไกลเหลือเกิน คุณจ้าคงงงว่าทำไมพ่อขับรถหยาบเหลือเกิน ถึงบ้านด้วยความปลอดภัย ปลอดกลิ่น เกือบตายครับ

ก่อนนอนลูกสาวช่างน่ารักเหลือเกิน พี่แป้งนอนชิดผมเหมือนเคย หนุนแขนกอดแขนพ่อจนหลับ ส่วนคุณจ้าตาแข็งกว่า เธอดูมีสมาธิมากขึ้น สามารถฟังผมอ่านหนังสือนิทานจนจบเล่ม เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน อ่านได้แค่หน้าสองหน้าก็กระเจิงแล้ว จิ๋มเล่าว่า ตอนนี้เธอสามารถฟังรวดเดียว 3 เล่มเลย คืนนี้เธอเล่นจนหยดสุดท้าย ขนาดหลับไปแล้วยังสะลึมสะลือชะโงกหน้ามาดูผมแล้วยิ้มก่อนที่จะหัวทิ่มลงบนหมอนแล้วหลับสนิทตูดโด่ง เธอกลัวว่าพ่อจะหายกระมัง

หลังจากลูกหลับ ผมก็เริ่มอ่านและตรวจสอบเอกสารที่จิ๋มไปเอามาจากภาควิชามา มีจดหมายหลายฉบับ ที่สำคัญที่สุดคือ จดหมายให้ตรวจสอบเครื่องมือวิจัยจากคณะพยาบาล ซึ่งค้างอยู่ ผมตกใจมาก ทำไมไม่มีใครแจ้งกลับไปว่าผมเรียนต่อ ป่านนี้คงรอกันแย่แล้ว เพราะกำหนดส่งคืนเขาภายในวันที่ 4 และ 12 กรกฎาคม ผมเปิดอ่านดูทั้ง 2 เรื่อง พบว่าเป็นเรื่องวิจัยเกี่ยวกับการดูแลสตรีแท้งบุตรทั้ง 2 เรื่อง จึงใช้เวลาดึกคืนนั้นจัดการอ่านจนเสร็จและให้คำแนะนำไป ส่วนอีกเรื่องหนาเป็นปึก จึงตั้งใจจะอ่านวันรุ่งขึ้น หากไม่ทันก็จะไปอ่านที่สิงคโปร์แล้วส่งจดหมายกลับมา

เช้าวันอาทิตย์ ทั้ง 2 สาวก็ยังตื่นแต่เช้า พี่แป้งขยับตัวมาหนุนแขนพ่อต่อไป ยังไม่ยอมลืมตา ส่วนคุณจ้าตื่นขึ้นมาปุ๊บก็ตรวจสอบทันที ว่าพ่อของเธอยังอยู่ (ลองหลับตานึกภาพตัวแย้ ที่เวลาออกจากรูแล้วชูหัวโด่ๆ สิครับ นั่นแหละ ท่าที่เธอใช้มองหาผมทุกครั้งหลังตื่นนอน) จากนั้นจึงตะกายขึ้นมานอนหนุนแขนอีกข้าง แล้วก็ไปกวนพี่แป้งจนตื่น ผมจึงพาไปเดินเล่นรอบอ่างน้ำ ได้สูดอากาศยามเช้า เดินจิบกาแฟไปเรื่อยๆอย่างสบายใจ พบคนรู้จักให้ทักทายบ้าง พี่ดวงที่เป็นพยาบาลดมยาทักทายไถ่ถามถึงเรื่องย้ายที่อยู่ สงสัยอ่านใน blog ได้พบพี่วัลย์ หนูแพงและหมีพู ทั้งคู่ก็ยังคงเหมือนเดิม หมีพูพูดเก่งขึ้น ระหว่างนี้ลูกศิษย์ได้โทรเข้ามาหา คุณหมอโชติกา เธอบอกว่าอยากเรียน urogynae เหมือนกัน ผมก็ถามว่าทำไม เธอบอกว่า ได้อ่านเอกสารที่ผมเคยเขียนส่งไปให้เมื่อครั้งที่ได้อ่านหนังสือ แล้วจดบันทึก แล้วส่งไปยังลูกศิษย์ เธอบอกว่าได้อ่านแล้วรู้สึกว่าวิชานี้น่าสนใจ มีอะไรให้ทำอีกมาก ผมเลยบอกว่าสาขานี้ยังไม่มีเปิดสอนในบ้านเรา คงอีกพักหนึ่ง เลยถือโอกาสชวนน้องให้สมัครเป็นอาจารย์เลยเพราะลูกศิษย์คนนี้ขยัน ฝีมือผ่าตัดใช้ได้ และดูแลคนไข้ดี

เช้านี้เราหุงข้าวต้ม กินกับปลากระป๋อง หมูหยอง ผักกาดดอง และเต้าหู้ยี้(ของโปรดพี่แป้ง) คุณจ้ากินแต่ผักกาดดอง จะไม่ให้กินก็ไม่ยอม หลังๆจึงแอบป้อนปลาบ้าง หมูหยองบ้าง จนหมดถ้วย จากนั้นก็นอนเล่นกันในบ้านนี่แหละ ผมจัดการอ่านเครื่องมือวิจัยฉบับที่ 2 จนแล้วเสร็จ ส่วนจิ๋มก็จัดกระเป๋าให้เหมือนเดิม

เที่ยงตรงเราจึงเก็บข้าวของออกจากบ้านเพื่อไปกินสุกี้ MK ที่โลตัส รายการนี้เป็นความคิดของลูกสาวคนโต แต่เมื่อจะออกเดินทาง ผมเกิดปัญหาอีกครั้ง ไม่ใช่ท้องเสียนะครับ แต่หานาฬิกาคู่ใจไม่พบ หากันอยู่นาน ทั้งบนบ้าน ข้างล่างก็ยังไม่พบ แล้วมันจะหายไปได้อย่างไร เมื่อคืนก็ยังใส่อยู่เลย นาฬิกาเรือนนี้ยี่ห้อ Seiko Kinetic ผมซื้อตั้งแต่ปี 2539 ใส่มันมาตลอด ถลอกไปถลอกมาจนแทบจะหาสีเดิมของมันไม่เจอ แต่ด้วยความคุ้นเคยจึงไม่เคยคิดที่จะซื้อของใหม่ ดูขลังดี ถ้าใส่เรือนใหม่เดี๋ยวเดินลำบาก เพราะกลัวสีถลอก ด้วยความเร่งรีบ เลยจำต้องออกจากบ้านโดยปราศจากนาฬิกา

เราจัดการกับมื้อเที่ยงด้วยความรวดเร็ว ผมต้องไปให้ถึงสนามบินภายในเวลาก่อน 2 โมง เพราะเครื่องออก 14.55 น. คุณจ้าหลับในรถ แต่ก่อนจะออกเดินทางกันนั้น เราได้บอกเธอหลายหนแล้ว ว่าพ่อจะไปสิงคโปร์ ผมถามเธอว่ารู้ไหมว่าพ่อจะไปไหน ไปโป นี่คือคำตอบครับ เมื่อเช๊คอินเรียบร้อย ผมก็พบว่า เครื่องบินเสียเวลาไป 1 ชั่วโมง เลยเซ็งไปโข ถ้ารู้อย่างนี้ จะได้ให้จิ๋มรออยู่ก่อนที่สนามบิน แต่ไปเสียก่อนก็ดี เพราะผมกลัวระเบิด

ผมถึงสิงคโปร์ตอน 18.20 น.ตามเวลาท้องถิ่น โทรศัพท์ไปหาพี่โต้งเรื่องนัดกินข้าวกัน พบว่าเขาจะเริ่มกินกันตอนทุ่มครึ่ง พี่โต้งจะทำกับข้าวที่หอพัก ผมเลยตัดสินใจตรงไปลงที่ Outram เลย เดินไปอีกประมาณ 10 นาทีก็ถึงหอแล้ว ทุ่มครึ่งพอดี พี่โต้งหุงข้าว ทอดไข่เจียว ทอดกุนเชียง หนุ่มกับเท้งซื้อไก่ย่างมามากมาย ผมมามือเปล่าครับ อาหารมื้อนี้อร่อยแบบไทยๆดีครับ ผมกินไปจนรู้สึกเกินอิ่ม และล้างจานให้ เนื่องจากไม่ได้ออกเงินเลย (จะให้ แต่ไม่มีใครเอาสักคน) เราคุยกันอยู่จน 4 ทุ่มจึงแยกย้ายกันกลับห้องของตัวเอง

ผมเดินผ่านเข้ามาใน Little India อีกครั้ง คนอินเดียยังล้นหลามอยู่เช่นเคย อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์นะครับ ผมเห็นหลายคนเตรียมตัวกลับ โดยขึ้นไปนั่งรอกันบนรถบรรทุก 6 ล้อ หลายคันมารอรับคนงานกลับที่พักของตัวเอง และที่นี่เองที่ผมได้ทราบว่า กลิ่นหอมแบบอินเดียที่คุ้นเคยอย่างยิ่งนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นกลิ่นของใบหมุย ผักพื้นบ้านของเรานี่เอง โธ๋เอ๋ย มิน่าเล่า ช่างคุ้นเคยเสียจริงๆ

เมื่อกลับถึงห้องก็โทรคุยกับจิ๋ม สองสาวนั้นหลับไปนานแล้ว คุณจ้าเมื่อตื่นขึ้นมาตอนเย็น โวยวายหาพ่อใหญ่เลย จิ๋มยังบอกว่าเธอพบนาฬิกาข้อมือของผมแล้ว มันอยู่ในห้องน้ำข้างล่าง ก็เมื่อคืนผมท้องเสีย และถอดมันวางไว้ในนั้นไงเล่า โอแม่เจ้า ดีที่ไม่หายไปไหน เรือนนี้รักสุดๆนะครับ ผมคงต้องทนดูเวลาจากโทรศัพท์ไปราวๆ 2 สัปดาห์ เพราะอีก 2 อาทิตย์หน้า ลูกและเมียจะเดินทางมาสิงคโปร์
หมายเลขบันทึก: 112046เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2007 19:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
ขำตัวเอง ที่นึกบอกอาจารย์ในใจตอนอ่านถึงตอนว่าหานาฬิกาไม่เจอว่า น่าจะอยู่ในห้องน้ำนะคะ...ได้ไงไม่รู้ค่ะ พอถึงตอนจบเลยต้องเขียนบอกว่า เนี่ย เห็นมั้ยๆ อาจารย์เล่าเก่งขนาดคนอ่านนึกภาพตามไปด้วยได้เลยนะคะ

พี่โอ๋ครับ

ผมเป็นคนที่คิดแบบซับซ้อนไม่เป็น จึงต้องเขียนเล่าความตามเหตุการณ์ ถ้าเก่งแบบ เจ เค โรลลิ่ง พี่อาจจะงง

อ่านตามการเล่าเพลินค่ะ อาจารย์ เรียงลำดับ ให้เข้าใจง่าย ดี
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท