ผมตื่นนอนเช้าตรู่เพื่อเตรียมตัวไปร่วมพิธีเปิดกิจกรรมอันสำคัญของเหล่าขุนพลนักฝันที่ย่ำเดินอยู่บนถนนสายแห่งการแสวงหาที่ไม่รู้จบ และถนนสายนี้ก็เป็นถนนที่มีคำตอบอันหลากหลายที่พวกเขาไม่อาจพบเจอได้ในห้องเรียนอันแคบเล็ก ซึ่งนั่นก็คือโครงการ “เปิดโลกกิจกรรม”
เปิดโลกกิจกรรม ถือเป็นกิจกรรมอันสำคัญของชาวกิจกรรมนิสิต เพราะนี่คือเวทีแห่งการเปิดตัวของเหล่าบรรดาชมรม หรือองค์กรกิจกรรมทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ทั้งในระดับองค์การนิสิตและสโมสรนิสิตคณะ ต่างจูงมือประสานใจพาเหรดกันมาออกซุ้มแสดงผลงานและเกียรติประวัติของตนเองอย่างพร้อมหน้า รวมถึงการเปิดโต๊ะรับสมัครสมาชิกใหม่เข้าสู่การเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางบนถนนสายกิจกรรม และไม่วายหลงลืมขนสินค้านานาชนิดมาจำหน่ายระดมทุนเข้าชมรม หรือแม้แต่การแจกจ่ายของที่ระลึกก็มีให้เลือกเป็นเจ้าของอย่างล้นหลาย -
เป็นที่น่าเสียดายว่า ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนั้นไม่มีใคร่ใส่ใจบันทึกห้วงประวัติศาสตร์อันสำคัญของกิจกรรมเหล่านี้ไว้อย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ผมก็ยังคงทำหน้าที่เป็น “ผู้เฒ่า” เล่าตำนานในเรื่องนี้อยู่อย่างไม่รู้จบ แต่ก็ยังไม่พบใครที่จะจดจำและนำไปต่อยอดอย่างชัดเจนเสียที
ผมเองเคยสร้างวาทกรรมเกี่ยวกับการเปิดโลกกิจกรรมในทำนองว่า “เปิดโลกกิจกรรม .. เปิดตำนานสายธารกิจกรรมนิสิต” ซึ่งหมายถึงว่ากิจกรรมนี้คือบ่อเกิดขององค์กรทางกิจกรรม .. โดยชมรมต่าง ๆ จะถือกำเนิดเปิดตัวกันครั้งแรกในเวทีนี้ จากนั้นก็จะนำไปสู่การขับเคลื่อนกิจกรรมตามแนวทางของตนเอง
ผมเคยได้พานพบจุลสารเล่มบาง ๆ เล็ก ๆ เล่มหนึ่งอันเป็นจุลสารที่จัดทำขึ้นในคราวจัดเปิดโลกกิจกรรม ครั้งที่ 2 ซึ่งตรงกับวันที่ 13 กรกฎาคม 2531 และนั่นก็บ่งชี้ชัดเจนว่าโครงการดังกล่าว ถือกำเนิดเป็นสายธารแห่งกิจกรรมครั้งแรกเมื่อปีการศึกษา 2530
จากวันเวลาข้างต้น ผมเองก็แทบไม่น่าเชื่อว่าเปิดโลกกิจกรรมได้เดินทางมายาวนานร่วม 2 ทศวรรษถึงเพียงนั้น !
ปี 2531, โครงการเปิดโลกกิจกรรมก่อร่างสร้างฝันขึ้นจากกลุ่มประสานงาน 14 ชมรม ซึ่งหมายถึงหัวเรือใหญ่ที่ทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนให้กิจกรรมดังกล่าวมีตัวตนอย่างน่ายกย่อง หากแต่ปัจจุบันนี้หลายชมรมได้เร้นหาย หรือแม้แต่ยุบสลายไปจากถนนสายนี้แล้ว เช่น ชมรมนาฏศิลป์และดนตรีไทย, ชมรมสังคมศาสตร์, ชมรมศึกษาศาสตร์, ชมรมเกษตรสัมพันธ์, ชมรมเชียร์, ชมรมคณิตศาสตร์ – สถิติ, ชมรมวิชาการ และชมรมศิลปะนครินทร์ ...
อย่างไรก็ตาม ผมเป็นคนหนึ่งที่กล้ายืนยันว่าตนเองเที่ยวท่องและสัญจรอยู่ในเวทีการเปิดโลกกิจกรรมอยู่เกือบทุกยุคสมัย พบเจอความเปลี่ยนแปลงและการต่อยอดอย่างไม่รู้จบ กิจกรรมดังกล่าวเป็นเวทีแห่งการแสดง “ตัวตน” ของนักกิจกรรมอย่างชัดเจน ไม่มีการว่าจ้างศิลปินหรือบุคคลภายนอกมากรีดกรายอยู่บนเวทีอันทรงเกียรติแห่งนี้ แต่ละชมรมจะสลับกันขึ้นเวทีไปแสดง หรือโชว์กิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และถึงแม้จะไม่มีการแสดงใด ๆ อย่างน้อยก็ขึ้นไปกล่าวทักทายมิ่งมิตร หรือไม่ก็ร้องเพลงสักเพลงก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ “ทำด้วยใจ” เติมเต็มให้กันและกัน
นอกจากนี้ ผมเองยังเคยได้นั่งฟังการเสวนาจากวิทยากรรุ่นพี่ที่จัดเจนในวิถีกิจกรรมอย่างเข้มข้น “เรื่องของเรา ถูกบอกเล่าด้วยเราเอง” ดูจะเป็นคำนิยามที่ชัดเจนและอบอุ่นเป็นที่สุดที่ผมพบเจอในวันเปิดโลกกิจกรรม หรือแม้แต่ภาพถ่ายแต่ละภาพที่โชว์หราในซุ้มก็ล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวของสายธารกิจกรรมขององค์กรนั้น ๆ อย่างมีเสน่ห์ และชวนค่าต่อการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวิถีนั้นอย่างยิ่ง
ปี 2540 เป็นปีที่ผมทำงานคลุกคลีกับน้องนิสิตเป็นอย่างมาก ปีนั้นเราได้ร่วมกำหนดให้แต่ละชมรมได้ทำการออกร้านจำหน่ายสินค้าอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากที่ส่วนใหญ่มักแค่แสดงผลงานในรูปของซุ้มนิทรรศการเท่านั้น รวมถึงการเปิดโอกาสให้มีการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบรรยากาศให้คึกคักได้ไม่น้อย
วันนี้, เปิดโลกกิจกรรมเดินทางมายาวนานร่วม 2 ทศวรรษ ผมสัมผัสได้กับร่องรอยการเดินทางอันแสนนาน... มีหลายคนประสบความสำเร็จค้นพบความฝันอันมีชีวิต หลายคนหล่นหายและเลิกราไปจากถนนสายนี้ กระนั้นผมก็ไม่เคยพบเจอเลยแม้แต่สักครั้งเดียวว่า ถนนสายนี้จะเงียบร้างซึ่งคนหนุ่มสาว ขึ้นอยู่กับว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง !
และต่อจากนี้ไป คือส่วนหนึ่งของถ้อยคำจากคนกิจกรรมใน “ชมรมวรรณศิลป์” ที่ผมมีโอกาสได้พบเจอในปี 2531 ...
เราไม่อยากให้เพื่อนใหม่เข้ามาในสถาบันแห่งนี้เพียงเพื่อว่า “รับกระดาษแผ่นเดียว” แล้วก็เดินจากไปทั้ง ๆ ที่ในสถาบันแห่งนี้ มีอะไรมากมายที่ท่านจะนำไปใช้ได้ในชีวิตจริงของท่าน เมื่อท่านจากสถาบันแห่งนี้ไป เราควรจะมีทั้งประสบการณ์และกระดาษแผ่นนั้น คงจะดีมากทีเดียวนะครับ...
ฟังดูไม่ซับซ้อน .. ซื่อ ใส... และตรงไปตรงมาอย่างน่ารักและน่าคบ !
นั่นคือ ถ้อยคำที่มีชีวิตในวันเปิดโลกกิจกรรมเมื่อ 19 ปีที่แล้ว
สวัสดีครับ น้องสายลม