PAR ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้เป็นคณะทำงานเกี่ยวกับการวิจัยชุมชน โดยใช้เนื้อหาสาระเรื่องวิสาหกิจชุมชนในการเดินเรื่องเพื่อพัฒนาเจ้าหน้าที่กับงานส่งเสริมการเกษตรที่ปฏิบัติอยู่ในพื้นที่ การทำงานที่เกิดขึ้นดิฉันมีเพื่อร่วมทีมงานของส่วนกลาง (กรมส่งเสริมการเกษตร) เขต จังหวัด อำเภอ และชาวบ้าน
การรวมทีมงานจึงเริ่มตั้งแต่ให้ทุกคนในทีมงานได้ทำภารกิจของตนเองโดยเริ่มจากงานที่ต้องทำมีอะไรบ้าง แล้วความรู้ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานเรื่องนี้มีอะไรบ้าง แล้วตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่ ต้องหาอะไรเพิ่มเติมบ้าง แล้วได้ข้อสรุปว่า ส่วนกลางมีหน้าที่จัดกระบวนการสนับสนุนองค์ความรู้ที่พื้นที่ขาด เขตทำหน้าที่ค้นหาองค์ความรู้ที่มาเสริมหนุนทีมงาน จังหวัดทำหน้าที่ดูแลทีมงานและรวบรวมความต้องการ และอำเภอทำหน้าที่จัดเก็บและประมวลข้อมูล ส่วนชาวบ้านต้องร่วมเป็นนักวิจัยชุมชน
งานที่เกิดขึ้นจึงเริ่มจากการวางแผนงานบนโต๊ะ แล้วลงไปรวบรวมข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับพื้นที่และชุมชน แล้วนำมาปรับแก้การวางแผนการปฏิบัติ คือ การค้นประเด็นปัญหา นำมาแยกแยะ เชื่อมโยง และสรุป สิ่งที่ชุมชนและเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรต้องการคำตอบ
ประเด็นข้อสงสัยจึงแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ
1) ระดับชาวบ้านที่เป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน "โจทย์ของชาวบ้าน"
มีความต้องการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ใช้เอง มีความต้องการลดต้นทุนการผลิตข้าวลง ประมาณ 250 บาทต่อไร่ จากการลดปุ๋ยเคมีและการลดสารเคมี มาเป็นสารอินทรีย์
2) ระดับกลุ่มเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร "โจทย์เจ้าหน้าที่" ที่มีความต้องการศึกษาสถานการณ์ ปัญหาอุปสรรค และวางกลยุทธ์เพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชน
การปฏิบัติงานที่เกิดขึ้น คือ
1) ไปจัดกระบวนการกลุ่มกับชุมชน ประมาณ 5 ครั้ง เพื่อค้นหาสิ่งที่กลุ่มมีอยู่/ ปัญหาอุปสรรค/ ความเป็นไปได้/ การเสริมหนุน โดยประเด็นที่ทำเป็นหลักคือ การค้นหาจิตสำนึกและบทบาทหน้าที่ของกลุ่มที่เป็นวิสาหกิจชุมชนนั้นอยู่ตรงจุดไหนของภาระงานเรื่องนี้ ได้ใช้การสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การจัดหมวดหมู่ การแยกแยะ การเปรียบเทียบ และการอธิบายความ ซึ่งพบว่า กลุ่มดังกล่าวยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชน แต่มีความรู้ความเข้าใจและมีการดำรงตนของความเป็นกลุ่มที่เข้มแข็ง
และยังไม่ทราบว่า ตนเองยืนอยู่ตรงจุดไหนของวิสาหกิจชุมชน
2) การจัดกระบวนการกลุ่มกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นทีมงานวิจัย ประมาณ 5 ครั้ง เพื่อค้นหาผลงานส่งเสริมการเกษตร องค์ความรู้ของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรที่มีอยู่ และความรู้ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานเรื่อง วิจัยชุมชน ได้ใช้การสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การจัดหมวดหมู่ การแยกแยะ การเปรียบเทียบ และการอธิบายความ ซึ่งพบว่า เจ้าหน้าที่มีเครื่องมือในการชวนชาวบ้านคุย/ มีเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลกับชาวบ้าน/ มีเทคนิคการทำงานกับชุมชน/ มีฐานของการเป็น Facilitator แต่ยังขาดการฝึกปฏิบัติที่ต่อเนื่อง การสื่อสารระหว่างกลุ่มยังมีการคิดและปฏิบัติที่ต่างกัน ดังนั้นจึงส่งผลให้การจัดการความรู้ที่นำไปใช้เสริมหนุนเพื่อนำวิจัยชุมชนไปใช้ในการทำงานวิสาหกิจชุมชนจึงยังไม่แข็งแรง
เป็นเพราะศักยภาพของทีมเสริมหนุนมีน้อยและการเรียนรู้มีค่อนข้างต่ำ จึงต้องใช้เวลาและเวทีที่มีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องบทบาทของวิทยากรกระบวนการ/ องค์ความรู้เรื่องวิสาหกิจชุมชน/ เรื่องการวางแผนกลยุทธ์/ เรื่องวิจัยเชิงคุณภาพ/ เรื่องบทบาทนักส่งเสริมการเกษตร/ เรื่อง Facilitator ผลที่เกิดขึ้นคือ เจ้าหน้าที่จะต้องมีการจัดระบบงานวิสาหกิจชุมชน เจ้าหน้าที่จะต้องพัฒนารูปแบบและวิธีการถ่ายทอดความรู้เพื่อให้เกษตรกรมีสำนึกของความเป็นวิสาหกิจชุมชนและเข้าใจบทบาทของตนเอง จะต้องวางกลยุทธ์เพื่อเสริมหนุนการทำงานข้องเจ้าหน้าที่ที่ตรงความต้องการ สนับสนุนทรัพยากร/ปัจจัย/งบประมาณที่ทันเหตุการณ์ และมีการปฏิบัติงานที่ต่อเนื่อง
ดังนั้น ความต่างกันของศักยภาพทีมงานจึงเป็นอุปสรรคต่อการ สื่อสาร ระยะเวลาที่ใช้ปฏิบัติงาน ความรู้ความเข้าใจที่มีต่องาน เป็นต้น แต่ได้มีการปรับแก้โดยการทดลองทำให้ดู แล้วให้ปฏิบัติ
ด้วยตนเอง การเสริมความรู้ในเวทีการสนทนาเพื่อประมวลข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปข้อมูลในแต่ละเวทีย่อย แล้วให้แสดงความคิดเห็น เป็นผู้จัดเก็บข้อมูลและให้ข้อมูลที่ตนเองบันทึกในเวทีประชุมเจ้าหน้าที่การซักถามข้อมูล (ทำซ้ำ) / ทบทวนและให้เล่าข้อมูล และการให้มาทำหน้าที่เป็นผู้นำกระบวนการทั้งในเวทีชุมชนและเวทีประชุมเจ้าหน้าที่
ฉะนั้น ในการทำงานชิ้นนี้จึงต้องฝึกเจ้าหน้าที่ให้เรียนรู้บทบาทนักส่งเสริมการเกษตรกับการเรียนรู้งานวิจัยชุมชน ที่ใช้สถานการณ์จริงควบคู่กับเนื้องานที่ได้รับมอบหมายพร้อมกัน
จึงทำให้ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการปฏิบัติเสมือนกับทำซ้ำไปซ้ำมา เช่น การสร้างโจทย์วิจัย ใช้เวลา จำนวน 3-4 ครั้ง, การวางกรอบงานวิจัย ใช้เวลา จำนวน 3 ครั้ง, การจัดเก็บข้อมูล พื้นฐานทั่วไปใช้เวลา จำนวน4-5 ครั้ง เป็นต้น
ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งของประสบการณ์ในการเรียนรู้เรื่อง การทำวิจัยชุมชน ที่นำมาใช้พัฒนาเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในการทำหน้าที่กับกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานส่งเสริมการเกษตรได้อย่างเท่าทัน.
ไม่มีความเห็น