ท่านผู้อ่านครับ...ตามความรู้สึกนึกคิดของคนเรานั้นมักมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวหลัก เมื่อคนเรามีสิ่งนี้แล้วจะมองไม่เห็นสิ่งที่แท้จริงที่เป็นสัจธรรมได้เลย
นั่นคือการถูกความไม่รู้ปิดบังดวงตาแห่งปัญญา จึงไม่อาจรู้จริงได้ อวิชชาหรือความไม่รู้นี้เปรียบเหมือนก้อนศิลาใหญ่ที่ทับหญ้าอยู่ไม่ให้โอกาสเจริญงอกงามได้
การที่คนเรามีอวิชชาแล้วก็เหมือนผู้ที่เดินทางในยามค่ำคืนแล้วไร้แสงสว่างใด ๆ ส่องทางเดิน ย่อมมีโอกาสเกิดอันตรายนานาประการขึ้นได้เสมอ
และคนเราทุกวันนี้เดินทางอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงแต่สภาพที่มองเห็นล้วนเป็นมายาภาพอันหาแก่นสารมิได้เลย จนกว่าคนเราจะฝึกฝนตนเองเพื่อมีดวงตาแห่งปัญญา
การฝึกฝนตนเองทางด้านนี้ในมุมมองหนึ่งคือการทำบุญเสียสละบริจาคอาจจะเป็นไฟฉาย บริจาคให้เป็นทาน หรือบริจาคค่าไฟฟ้าเป็นทานอย่างนี้
ท่านผู้รู้จึงกล่าวว่า...ผู้ที่ให้ประทีปโคมไฟจะได้ชื่อว่าผู้ให้จักษุหรือให้ดวงตาแห่งปัญญาครับผม จริงไหมคุณ...? ฮา ๆ เอิก ๆ.
ปัญญาประดุจดั่งอาวุธ เมื่องานเนื้อเรื่องของอาจารย์แล้ว หนูนึกถึงคำๆนี้ค่ะ จะคอยติดตามตอนต่อไปค่ะ
สวัสดีครับ ....อาจารย์ยูมิครับ .......ปัญญา โลกัสมิง ปัชโชโต (ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก) หรือ นัถธิปัญญา สมาอาภา (ไม่มีแสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญา)
นั่นหมายความว่า แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ที่มีอานุภาพมากแล้ว ยังสอดส่องไปในจิตใจของมนุษย์ไม่ถึง เพราะถูกบดบังด้วยร่างกาย แต่ปัญญา เป็นแสงสว่างเดียวที่ส่องถึงจิตใจ ให้ความสว่างคือวิชชาในจิตใจของมนุษย์ครับ...........วิชชาให้รู้ในเรื่องทางพ้นทุกข์ครับ