วันที่ 16 มิถุนายน 2550
วันนี้เป็นวันเสาร์ ตื่นขึ้นมาราว 7.00 น. รู้สึกว่าไม่สามารถนอนต่อได้ เพราะว่าตื่นเช้าจนชิน (7.00 น. สำหรับผมถือว่าเช้าตรู่แล้วครับ) อาบน้ำแต่งตัวจะออกไปกินข้าวเช้า แต่ฝนตกพรำๆจนถึงหนัก รอจนกะว่าพอจะกางร่มได้ก็ออกไปหาของกินที่ศูนย์อาหารใกล้ที่พัก (อยู่มาเป็นเดือน เพิ่งรู้ว่ามีที่ขายของกินเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนนี่เอง)สังเกตเห็นว่า ที่ศูนย์แห่งนี้ เป็นร้านอาหารของชาวมุสลิม อินเดีย ประมาณครึ่งหนึ่งเลย วันนี้เช้าเลือกที่จะกินมะตะบะเนื้อแกะ (mutton) ในราคา 4 เหรียญ อยากกินมานานแล้ว ปรากฏว่าผิดหวัง เพราะว่ามีกลิ่นคาว เนื้อเหนียว และไม่อร่อย กินไม่หมดครับ น่าเสียดายจริงๆ ตบท้ายด้วยกาแฟร้อน การชงกาแฟ เขาจะชงแบบชาชัก ก็คือใส่กาแฟลงในแก้ว จากนั้นก็ถ่ายไปมากับเหยือกใบใหญ่ มันทำให้เกิดฟองฟูฟ่องน่ากินไม่น้อยไปกว่าคาปูชิโนเลย แต่รสชาติก็งั้นๆครับ
เมื่อท้องอิ่มแบบเอียนๆ ก็เดินกลับ ผมแวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีชื่อว่า Cold storage ก่อน กะว่าจะหาผลไม้กินสักหน่อย และถือโอกาสเปรียบเทียบราคากับ Fair price ไปด้วยเลย ที่นี่จัดร้านได้น่าเดินกว่า สวยกว่า หรูกว่าเล็กน้อย และชนิดของที่ขายก็หลากหลายกว่า แต่สนนราคาแพงกว่าเล็กน้อย ผมจึงเดินดูอย่างเดียวโดยไม่ซื้อครับ ไปซื้อแอปเปิ้ล 5 ลูก 2.3 เหรียญกินจาก Fair price ดีกว่า
และแล้ววันนี้ฝนก็ตกทั้งวันครับ ออกไปไหนไม่ได้เลย ถึงจะกางร่มก็เถอะ ขี้เกียจเท้าเปียก เลยนั่งอ่านหนังสือในห้อง ได้ตั้ง 1 บทใหญ่ เขียนให้ลูกศิษย์อ่านด้วย ระหว่างนั่งอ่านและเขียนหนังสือ ครูลีก็โทรเข้ามา ถามว่าทำไมไม่สั่งยาแก้ปวด pethidine ให้คนไข้คนสุดท้ายเมื่อวาน ก็บอกไปว่า เห็นเขาใส่ epidural block แล้ว น่าจะใส่มอร์ฟีนไปด้วย เรื่องของเรื่องก็คือ ปกติผมไม่ค่อยได้สั่งยา ทั้งที่ม.อ. (เพราะลูกศิษย์จัดการให้หมด) และที่นี่ก็ไม่ได้สั่ง เพราะส่วนมากเขาก็ใส่มอร์ฟีนเข้าไปในช่องน้ำไขสันหลังด้วย (ลืมคิดไปว่า นั่นเป็น epidural ไม่ใช่ spinal block) อีกอย่างผมสังเกตเห็นว่า ที่นี่เขาใช้ PCA (patient-controlled analgesia) กันออกจะแพร่หลาย และสุดท้ายก็เลยไม่ได้สั่ง แถมก่อนออกจากห้องผ่าตัด ก็ให้ครูลีดูใบสั่งยาแล้วด้วย ท่านเลยบอกว่า คนไข้ปวดทั้งคืน พยาบาลไม่ได้ตามผม เพราะไม่รู้ว่าลายเซ็นเป็นของผม (ปกติที่นี่เขามักจะให้หมอปั๊มชื่อที่เป็นตรายางลงไปในบันทึกเสมอ เพราะอ่านง่ายที่สุด) คนไข้จึงปวดทั้งคืน ในใจก็นึกไปว่า แล้วทำไมไม่ตามหมอเวรเล่า ปล่อยให้ป้าแกปวดอยู่ได้ อย่างไรก็ตามมันก็เป็นความผิดพลาดของผมอยู่ดีนั่นแหละ ครูลีเลยบอกอีกว่า ถ้าไม่แน่ใจว่าเขาใส่ยาอะไรไปบ้าง จงถาม open your mouth and ask, OK? ก็บอกไปว่า I’m sorry ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร ผมอยู่ในระหว่าง training ไม่เป็นไร เฮ้อ..ก็ยังสงสารป้าแกอยู่ดี
เมื่อวานพี่โต้งส่งข่าวมาว่า วันนี้น่าจะเที่ยวกัน แต่ปรากฏเท้งอยู่เวร หนุ่มติดธุระกับหัวใจ และยังติดต่อเซี้ยงไม่ได้ ก็เลยวางแผนว่า น่าจะได้เที่ยววันอาทิตย์ พรุ่งนี้เป็นทีที่ผมต้องไป round ครับ
ตามมาอ่านครับ...
มาซึมซับบรรยากาศการใช้ชีวิตที่ต่างแดนครับ ส่วนเรื่องยานี้ไม่มีความรู้ครับ...
ขอบคุณมากครับ...
ตกใจ คิดว่าอาจารย์ กินผิด ปวดท้องแน่เลย
กลายเป็นคนไข้ แต่ลืมหมอสั่งยาก็ ปวดใจนะคะ
สวัสดีครับ
นั่นแสดงว่าผมได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกคน ต่อไปคงได้กินข้างสังข์หยดต้นตำหรับแนๆเลย ใช่ไหมครับ
ปวดใจที่ไม่ได้ใส่ใจ
ปวดใจที่ไม่มีคนใส่ใจ (คนไข้)
ปวดใจที่ทำไมไม่ตามหมอเวร MO เดินเกลื่อนโรงพยาบาล
จริงๆผมติดตามเรื่องราวต่างแดนที่เขียนมาบ่อยครั้งครับ
ขอแสดงตัวหน่อย...ครับผม
เพราะว่าไม่ได้มีโอกาสไป แค่ได้อ่านก็เปิดหูเปิดตาครับ
ขอบคุณครับผม
ขอบคุณคุณ ครับ
แรกเริ่มที่บันทึก ไม่เคยคิดว่าจะมีคนมาอ่านหรอกครับ กะว่าจะเป็นบันทึกส่วนตัว เก็บไว้ให้ลูกสาวอ่านตอนเขาโต (ไม่รู่ว่าเว็บนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน)
แต่ก็มีคนเข้ามาทักทาย ให้กำลังใจ ก็พอช่วยให้คลายเหงาบ้าง
กลายเป็นว่าเลยได้เพื่อนอีกหลายคน หลายอาชีพ
ตอนนี้ติด blog ไปโดยปริยายครับ