Lucid Dreaming โลกจริงเหนือสมมุติ


ถ้าไม่ตื่นจะรู้ว่าหลับได้อย่างไร ถ้าไม่ตื่นจะรู้ว่าฝันได้อย่างไร?

"ฝัน" สิ่งนี้อยู่กับเรามาตลอดชีวิตและเป็นสิ่งที่เราต้องประสบเกือบจะทุกค่ำคืน(รวมถึงฝันกลางวัน) ซึ่งความฝันนี้น่าจะบอกอะไรบางอย่างให้กับเราได้ มหัศจรรย์ของความฝันนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฝันบอกเหตุ ฝันเห็นอนาคต ฝันซ้อนฝันและฝันแบบรู้ตัว จนบางครั้งตื่นขึ้นมาแล้วยังต้องทำนายฝันกันก็มี    

ฝันแบบรู้ตัวนี้หลายท่านอาจจะได้ประสบกับตัวเอง เช่นเดียวกันกับผู้เขียน เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ในตอนแรก ยังไม่ทราบว่ามันคืออะไรหรือเขาเรียกว่าอะไร แต่พอได้มาอ่านบันทึกของ

P

จึงทำให้ทราบว่าสิ่งนี้เขาเรียกกันว่า ความฝันแบบรู้ตัว หรือ ความฝันแจ้งชัด (lucid dreaming)

สิ่งนี้ต่างกับ ปรากฏการณ์พิศวง เดชาวู (déjà vu) เกิดขึ้นได้อย่างไร? แต่ก็น่าจะมีนัยยะที่เกี่ยวเนื่องกัน การเกิด Lucid Dream นั้นน่าจะเชื่อมโยงกับการฝึกสติให้รู้สึกตัว บางที การฝันแบบ ชัดแจ้ง และรู้สึกตัว อาจจะเป็นอารมณ์ที่แจ่มใสชัดเจนกว่าขณะตื่นก็เป็นไปได้ เพราะการฝันมีลักษณะเหนือกว่า multimedia และโลกจริงตรงที่ เสมือนการรับรู้ด้วยจิต ที่แค่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าใคร แค่เห็นการกระทำก็รู้ถึงความคิด(คล้ายๆการอ่านใจ) เหมือนกับ เห็นตัวเลขเป็นสี...ฟังดนตรีรู้สึกหวาน (ปรากฏการณ์ซินเนสทีเซีย) ซึ่งการฝันแบบรู้ตัวและชัดแจ้ง น่าจะเป็นเบื้องต้นของการเจริญสติ อีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากพระธิเบตก็ได้นำไปใช้ฝึกหัดโยคะความฝัน (dream yoga)

เท่าที่จำได้ การฝันแบบรู้ตัวนี้ได้เกิดขึ้นในวัยเด็กประมาณ 2-3 ครั้ง ตอนเด็กๆ จะฝันว่ารู้ตัวว่าฝัน (ขั้นต้นของ lucid dreaming) คือมีอะไรที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง จนเราจับได้ว่าฝันไปแน่นอน(ซึ่งก็น่าแปลกใจที่ โดยปกติ ฝันจะผิดเพิ้ยนจากความเป็นจริงอยู่แล้ว แต่เราไม่ยักจะรู้ว่าฝัน เราอาจจะโดนฝันหลอกได้เกือบจะทุกครั้งทีเดียว)

ในวัยเด็กนั้นหากรู้ตัวว่าฝัน ซึ่งขอเรียกว่า ฝันว่ารู้ตัวว่าฝัน เราจะบังคับฝันนั้นๆ ไปตามแรงกิเลสที่อยากจะทำ เช่นอยากได้ของที่อยากได้ ก็จะโลภมาก หากพบสาวงามก็จะทำอะไรมิดีมิร้าย เป็นต้น แต่หลังจากนั้นการรู้ตัวก็จะหายไป และจะฝันต่อไปตามเรื่องตามราวของมันจนกว่าจะตื่น 

ตรงนี้นี่เองทำให้เราคิดได้ว่า แม้แต่ความฝันแบบรู้ตัวยังหายไปหากเรามีกิเลสหนา จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชีวิตจริง ของดีจะตกไปอยู่ในมือของคนไม่ดี มิเช่นนั้นแล้วโลกนี้คงจะวุ่นวายน่าดู หากมีจอมโจรขมังเวทย์ได้ฌาณวิเศษขึ้นมา มันจึงเป็นกฎของธรรมชาติ ที่ของดีจะอยู่ักับคนดีเท่านั้น  

ภายหลังที่ได้เฉียดเข้ามาในทางธรรมบ้าง จึงได้มีโอกาศฝึกเจริญสติแบบเบื้องต้น จนกระทั่งโชคดีได้ฝันแบบรู้ตัวอีกครั้ง ตามประสบการณ์แล้ว ความฝันแบบชัดแจ้ง จะเกิดก่อนฝันแบบรู้ตัว และภายหลังหากฝันแบบชัดแจ้งและรู้ตัวอีก เราจะสามารถควบคุมฝันได้สมบูรณ์ขึ้น

ฝันแบบแจ้งชัดในที่นี้คือมีการรับรู้ที่ชัดเจน เช่นการได้กลิ่นแบบติดจมูก การเห็นสีที่สด การได้ยินเสียงที่ประทับจิต  

ฝันแบบแจ้งชัด+ฝันแบบรู้ตัวที่เกิดขึ้นกับตนเองครั้งแรกนั้น มิอาจจะลืมได้ เป็นโชคดีที่ได้ฝัน หากคืนไหนได้ท่องโลกสมมุติ(อินเตอร์เนต)จะนอนเอาช่วงใกล้สว่าง โดยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเขียนเว็บบล็อกและหาข้อมูลในเว็บที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา 

หลังกลับมาจากการไปช่วยพระอาจารย์จัดงานสมัชชาคุณธรรมและตลาดนัดคุณธรรมแห่งชาติที่ศูณย์ประชุมศิริกิติย์ได้ไม่กี่วัน  มีอยู่คืนหนึ่ง เข้านอนประมาณตีสี่ และได้ฝันไปว่า...

ขณะที่นอนอยู่ในห้องที่ทำด้วยไม้เก่าๆห้องหนึ่ง พระอาจารย์ท่านได้เมตตามาหา(ซึ่งปกติก็ไม่ได้ฝันเห็นพระบ่อยนัก) ขณะที่สนทนากับท่านในฝันเราก็แปลกใจว่า เหมือนกับท่านจะรู้ใจเราว่าคิดหรือจะตอบว่าอะไร แต่ทำไมท่านยังถามคำถามบางคำถาม ก่อนท่านจะกลับเราได้ก้มลงกราบท่าน ท่านได้ให้พร ในใจก็ทราบทันทีว่าท่านได้ให้ของดีของวิเศษอะไรบางอย่างแก่เราแน่นอน สิ่งที่แปลกมากๆตอนท่านกลับไป ก็คือเราได้กลิ่นธูปที่หอมติดจมูก (ซึ่งถือได้ว่าเป็นฝันแบบแจ้งชัด และยังไม่รู้ตัวว่าฝัน) หลังจากท่านกลับ เราก็มองไปเห็นผีตนหนึ่งนอนอยู่ แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจที่เราไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด หลังจากสอบถามไปก็ได้ความว่า ให้เราจัดให้มีงานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผีจำนวนมาก ซึ่งในฝันนั้นจะทราบว่าที่มีผีจำนวนมากนั้นเป็นเหมือนผีที่ตายในสนามรบอะไรสักอย่าง หลังจากลงจากบ้านไม้หลังนั้น และกลับขึ้นมาใหม่ก็รู้ว่า เหมือนมีการจัดอาหารหรือของทำบุญไว้เรียบร้อยแล้ว เราก็ไปรับผีที่มากันเป็นกองทัพที่หน้าบ้าน ซึ่งก็มากันมากจริงๆ หลังจากเข้ามาในบ้าน เราก็เดินไปดูผีกลุ่มนั้นใกล้ๆ เป็นที่น่าแปลกที่สภาพของผีเหล่านั้นไม่เหมือนผีในสนามรบแต่อย่างไร และเราก็ไม่มีความรู้สึกกลัวใดๆเลย กลับพยายามเข้าไปใกล้ๆด้วยซ้ำ และก็พบว่าผีเหล่านี้เหมือนจะเป็นผีที่ติดยาเสพติด ทั้งบุหรี่ ทั้งเหล้า เหมือนเราจะพยายามดีและยิ้มกับผีเหล่านี้ แต่รู้สึกว่าจะไม่มีตนไหนยิ้มตอบเลย จึงเริ่มที่จะใจเสียขึ้นมา ขณะที่เดินไปหาผีตัวอื่น ก็มองไปเห็นผีตนหนึ่งมีลักษณะหัวล้านล้อมรอบไปด้วยผีผู้หญิง จุดนี้ๆเองที่ทำให้เราคิดได้ว่า ท่านเป็นพระที่ปลอมมาแน่ๆ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่คิด มองดูอีกทีก็ทราบว่าเป็นพระที่ห้อมล้อมไปด้วยนางฟ้า จึงรู้สึกซาบซึ้งที่พระท่านเมตตาให้ของดีกับเรา ด้วยปิตินั้นเราถึงกับร้องให้ฟูมฟายอย่างหนักแทบเหมือนคนเสียสติเลยทีเดียว ร้องให้อยู่สักพักก็เหมือนท่านจะบอกให้รู้ และจุดนั้นเอง ที่ทำให้เรารู้ตัวว่าฝัน เมื่อรู้ตัวว่าฝัน จึงรู้สึกเหมือนร่างจะค่อยๆหมุนมาอยู่ในสภาพนอนและค่อยๆตื่น ตื่นทั้งๆที่หลับตาอยู่ แสงสีน้ำตาลยังติดตาเหมือนกับคนที่สายตาชินกับความมืด จึงค่อยๆลืมตาขึ้น 

การตื่นของเรานั้นจะเชื่อมสนิทเป็นเนื้อเดียวกับฝัน และฝันที่ชัดแจ้งนั้นมันชัดแจ้งจนทำให้แยกไม่ออกระหว่างโลกจริงกับโลกฝัน หลังจากตื่นขึ้นมา จึงได้กราบและระลึกถึงพระคุณของพระอาจารย์ที่ได้เมตตาทำให้เรารู้ว่าโลกจริงไม่ได้ต่างอะไรกับโลกสมมุติเลย หลังจากมองดูนาฬิกาจึงทราบว่านอนไปได้ประมาณชั่วโมงครึ่ง ตอนนั้นค่อนข้างอึ้งกับโลกจริงและโลกสมมุติที่เชื่อมกันสนิทจนแยกไม่ออก รู้สึกว่าตัวเองไม่กล้าที่จะนอนที่เดิม(ชั้นสองของบ้าน) จึงได้ขึ้นไปนอนชั้นสี่ และหลับไปอีกครั้งตอนใกล้จะสว่าง               

จากฝันครั้งนี้ ทำให้เราคิดได้ว่าการที่เราคิดดี และกระทำความดี ส่งผลให้เราประสบกับสิ่งดีๆ แม่แต่ฝันก็จะเป็นฝันที่ดีด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน ฝันแบบรู้ตัว+ชัดแจ้งก็ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง คราวนี้มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างชัดเจนจนทำให้เรารู้ตัวว่าฝัน เมื่อรู้ตัวว่าฝัน ก็ไม่อยากที่จะฝันต่อหรือควบคุมฝันใดๆทั้งสิ้น ความรู้สึกตอนนั้นก็คือ เหมือนจะรวมสมาธิ ในใจก็บอกกับตัวเองว่า จำสภาวะนี้ไว้นะ แล้วก็รู้สึกเหมือนร่างจะค่อยๆหมุนมาอยู่ในสภาพนอน และตื่นทั้งๆที่หลับตาอยู่ เชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกันระหว่างโลกฝันและโลกจริงเช่นเดียวกับฝันครั้งก่อน  

สุบินวิถี

สุบินวิถี คือ ความเป็นไปของจิตในเวลาฝัน ได้แก่ กามชวนมโนทวารวิถี ที่ เกิดขึ้นในขณะนอนหลับ
การฝัน ก็มีชัดมากและชัดน้อย ชัดมากก็มีถึงตทาลัมพนะได้ ชัดน้อยก็มีเพียง ชวนะเท่านั้น
เหตุที่ทำให้เกิดฝันขึ้นนั้น มี ๔ ประการ คือ
๑. บุพพนิมิต กรรมใด ๆ ที่ได้กระทำมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกุสลกรรม หรือ อกุสลกรรม กระตุ้นเตือนจิตใจให้ใฝ่
ฝันถึงกรรมนั้น ๆ
๒. จิตอารมณ์ จิตใจจดจ่อในเรื่องใดๆ เป็นพิเศษยิ่งก็ทำให้ใฝ่ฝันถึงเรื่องนั้นๆ
๓. เทพสังหรณ์ เทวดาดลใจให้ฝัน
๔. ธาตุกำเริบ เวลาที่ธาตุไม่ปกติ ก็ทำให้ฝันได้เหมือนกัน

ที่มา :  พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๔

ในภาษาพระแล้ว การที่เราขาดสติ รู้แต่สิ่งที่ทำอยู่ โดยไม่รู้ว่าจิตกำลังแอบหลงไปคิดเรื่องนั้นๆ ถือเป็นการหลง เป็นการลืม(หลับ-ฝัน)เช่นกัน ดังนั้นการฝันแบบรู้ตัวจึงเชื่อมโยงกับการฝึกเจริญสติอย่างไม่ต้องสงสัย และก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านยังได้เมตตาสั่งไว้ว่า อย่าได้ดำรงอยู่ในความประมาท ซึ่งก็หมายความว่า ให้เราพยายามเจริญสติ มีความรู้ตัวทุกขณะในชีวิตประจำวัน เพราะหากเราประมาทเผลอไม่มีสติ ก็จะทำให้เรามีโอกาศสร้างเวรสร้างกรรมเมื่อเราเผลอทำกรรมที่เป็นกรรมหนัก ก็เท่ากับว่าประตูแห่งอบายได้เปิดรับเราไว้แล้ว

ชีวิตจริงก็ไม่ต่างจากฝันมากนัก หากยังโลภมาก กิเลสยังหนา ผู้นั้นก็จะต้องฝันร้าย ซ้ำแล้วซ้ำอีก ชั่วกัปป์ชั่วกัลล์ และเป็นความฝันที่มิอาจตื่นขึ้นมาได้เลย

ที่สำคัญการไม่ฝันเลยนั้นเป็นสิ่งดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโลกฝันหรือโลกจริงเหนือสมมุติ 

 

เพิ่มเติม :  เปรียบเทียบฝันกับตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร?

 

  

หมายเลขบันทึก: 103933เขียนเมื่อ 16 มิถุนายน 2007 21:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 00:33 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท