เพื่อนเล่าให้ฟังถึงความแตกต่างระหว่างวรรณกรรมกับวิชาการ เราคิดว่าเป็นมุมมองที่น่าสนใจมาก
ในโลกของวรรณกรรม มีเรื่องราว มีรายละเอียด.. มีความรู้สึกของคน การเคลื่อนไหวของใบไม้ใบหญ้า สายลม .. สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านการพรรณาแสดงความสัมพันธ์กันของทุกสรรพสิ่ง ..สายลมกับการแกว่งไหวของใบไม้ นำไปสู่ความรู้สึกสดชื่น หรือเศร้าสร้อยแล้วแต่เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นกับตัวละคร
รายละเอียดเหล่านั้น .. มีปัจจัยบางตัวเท่านั้นที่จะถูก "กรอง" ผ่านไปสู่ความเป็นวิชาการได้
ทั้งวรรณกรรมและวิชาการเป็นโลกของการเล่าเรื่องราว สื่อสารบางอย่าง หากแต่วรรณกรรมเป็นโลกของการ "บูรณาการ" ในขณะที่วิชาการเป็นโลกของการ "ลดทอน" เพื่อชี้เหตุปัจจัยบางตัวที่มี "นัยสำคัญ" เท่านั้น
คนที่อยู่ในโลกวรรณกรรม กับคนที่อยู่ในโลกวิชาการ จะคุยกันได้ดีแค่ไหน .....
เราคิดว่า ในมนุษย์แต่ละคนมีความเป็นวรรณกรรมที่เป็นเรื่องของความรู้สึกละเอียดอ่อนผสมอยู่กับวิชาการที่เป็นเรื่องของเหตุผล... ก็น่าจะพอคุยกันได้... ถ้าไม่ติด "เครื่องมือ" และ "อัตตา" มากเกินไป
สังคมเองก็ต้องการทั้งวรรณกรรมและวิชาการในฐานะเครื่องมือเพื่อสื่อสารเรื่องราวของสังคม ธรรมชาติ และมนุษย์ และสามารถนำไปสู่ทางเลือกที่ดีกว่า หรือ แย่กว่า ของสังคมได้
ประวัติศาสตร์บอกเราว่า วรรณกรรมชิ้นเอกที่กินใจ เปลี่ยนมุมมองของคน เปลี่ยนสังคมได้ เช่นเดียวกับงานวิชาการเด่นๆหลายชิ้น
ปัญหาคือสังคมนั้นให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ การอ่าน การเรียนรู้ผ่านวรรณกรรมและวิชาการมากน้อยเพียงใด
เรียน อาจารย์ปัทมาวดี ที่เคารพ
พอผมอ่านแล้วก็คิดออกเลยครับ ว่าต้องฝึกสร้างวรรณกรรมและงานวิชาการ ที่ตนเองชอบ จากนั้นค่อยๆเพิ่มทักษะ จนถนัดขึ้น แม้ว่าตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจว่าสังคมไทย และสังคมโลก จะเน้นการเรียนรู้ผ่านงานวิชาการ หรือ งานวรรณกรรมก็ตาม แต่สักวันหนึ่ง หากงานที่ผมทำมันเวิร์คนะครับ คงจะมีคนมาหยิบมันเป็นบทเรียนแก่ชีวิตของเขาเอง
ขอบคุณครับ
สังคมเองก็ต้องการทั้งวรรณกรรมและวิชาการในฐานะเครื่องมือเพื่อสื่อสารเรื่องราวของสังคม ธรรมชาติ และมนุษย์
..............................................
มาสนับสนุนคะ...
วิธีการ เป้าประสงค์ และมุมมอง ต่อวรรณกรรมและวิชาการอาจแตกต่างอย่างที่อาจารย์สวัสดิ์และอาจารย์ธรว่า (ซึ่งดิฉันคิดว่าน่าสนใจมาก)
แต่ดิฉันยังเห็นว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเป็นประโยชน์ จรรโลงโลกและสังคมให้น่าอยู่ และเป็นธรรมสำหรับผู้คน นั่นน่าจะเป็นความรับผิดชอบพื้นฐานของคนทำงานวรรณกรรมและงานวิชาการ (รวมทั้งงานอื่นๆ)
อาจารย์โชคธำรงค์คะ
เป็นกำลังใจให้กับการมุ่งมั่นฝึกฝนสิ่งที่ตัวเองรักและสนใจค่ะ
ดิฉันเคยทำงานทั้งสองอย่าง แต่พบว่ามันไปด้วยกันได้ไม่ดีเท่าไร เพราะเหตุผล "ตัดทอน" จินตนาการ ไปเยอะ แต่คนอื่นที่ทำทั้งสองอย่างได้ดีก็มีค่ะ
คุณดอกแก้วคะ
พี่คิดว่ากิจกรรมที่สร้างสรรค์ของเด็กรักป่ามีคุณค่าต่อสังคมไม่ต่างจากงานวรรณกรรมค่ะ ที่สำคัญคือ ต้องใช้จินตนาการ ศาสตร์ ศิลป์ พลังกาย และพลังใจมากทีเดียว
Cheers,
ชอบอ่านวรรณกรรมที่เป็นวิชาการครับ แบบอ่านง่ายสบายและเข้าถึงได้ง่าย
เรียน อาจารย์ปัทมาวดี ที่เคารพ
พอกลับอ่านบล็อกวันนี้สนุกมากเลยครับ
ขอบคุณครับ
แต่ความครึ่งๆกลางๆก็อันตรายนะคะอาจารย์เอก
อันตรายตรงที่คนอ่านต้องแยกแยะให้ออกว่า ตรงไหนคือข้อเท็จจริง ตรงไหนคือจินตนาการ ข้อเท็จจริงถูกทำให้อ่อน จินตนาการถูกทำให้แข็ง ... เพื่ออะไรก็เริ่มงงๆ....
เรียนทุกท่าน
อาจารย์ภีมเปิดบันทึกวิวาทะในประเด็นนี้ที่ blog / km4fc ลองเข้าไปอ่านดูนะคะ
ผมเคยคุยกับภรรยาที่สอนสังคมอยู่ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เธอพบปัญหาเรื่องการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ด้านสังคมและศิลปที่มีน้อยเกินไป เธอเป็นห่วงว่าเราจะสร้างนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหมือนหุ่นยนต์ทางวิชาการหรือเปล่า
และผมก็เห็นจริงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมีการแยกแผนก ระหว่างวิทย์และศิลป ทำให้ความสำคัญด้านศิลปถูกทิ้งไปในสายวิทย์ และวิทย์ก็ถูกทิ้งไปในสายศิลป์ ผมคงไม่พูดถึงคนเรียนศิลปที่ไม่ได้รู้เรื่องวิทย์นะครับ
ผมกำลังบอกว่า ผมอยากเห็นวิศวกร สถาปนิกที่ออกแบบโครงสร้าง และรูปแบบ อย่างเข้าใจประวัตฺศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม
ผมอยากเห็นนักวิชาการที่เขียนงานอย่างมีอรรถรสอย่างที่อาจารย์บอก
ระบบการศึกษาหรือเปล่าที่ทำให้เราลืมความเป็นคน ความเป็นมนุษย์ ลืมไปว่าเราทำงานเพื่อใคร สังคม ใช่ไหม เพื่อสนองจิตใจผู้คนใช่ไหมหนอ
ถ้าเราไม่เข้าใจ หรือรู้จักมันอย่างถ่องแท้แล้วเราจะทำอะไรได้อย่างถูกทางไหม..น่าสงสัย
ผมคิดว่าความรู้ด้านสังคม ศิลป ควรต้องศึกษาควบคู่ไปกับด้านวิทยาศาสตร์หรือวิชาการเสมอ
น่าจะมีใครคิดอย่างนี้บ้าง
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นดีๆนะคะ ดิฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ความรู้ด้านสังคม ศิลปะ ต้องควบคู่กับวิทยาศาสตร์ หรือ วิชาการเสมอ
เพื่อให้จิตใจ ชีวิตของคนเรามีความสมดุลมากขึ้น และสังคมก็คงสงบสุขมากขึ้น
ความจริง ความงาม ความดี.... เป็นชีวิตที่สมดุลค่ะ