ทุกความคิดถึง


Country road take me home

      Country road....... take me home  ...to the place.....  I belong ...

           หลายคนคงเคยได้ยินเพลงลูกทุ่งอเมริกันเพลงนี้นะครับ เนื้อหาพูดถึงการกลับบ้านของชายคนหนึ่ง การเดินทางบนถนนที่จะนำเขากลับไปสู่บ้านดูช่างอบอุ่นและมีเรื่องราว 

             เคยรู้สึกไหมสำหรับคนที่จากบ้านไปนาน หรือไปไกล แล้วได้กลับบ้าน  พอเราเดินทางถึงถนนสายหนึ่ง เส้นทางที่เราคุ้นเคย ภูมิประเทศ บ้านเรือน สายน้ำ ภูเขา สองข้างทาง มันอบอุ่นคล้ายกับว่าเรามาถึงอ้อมกอดของบ้านเราแล้ว

              ชีวิตด้านที่อยู่กับความจริงมันช่างวุ่นวายยุ่งเหยิงสิ้นดี เคยไหมกลับไปดอมดมกลิ่นอายของความฝันเรื่องราวสมัยเด็ก ๆ ในบ้านหลังเก่า โรงเรียนเก่า ย่านตลาดเก่า บนสะพาน ลานวัด  หรือรถเมล์สายเก่า ผู้คนเก่าแก่ที่นั่น

              แค่แรกสัมผัสพลันเรานึกภาพถึงเด็กน้อยในวัยเยาว์ที่วิ่งเล่น หรือร้องไห้ นั่งนอนยืนเดิน อยู่แถวนั้นเมื่อในอดีต แล้วเราก็รู้ว่าเรามาไกลจากสถานที่และผู้คนเหล่านั้นแม้แต่ตัวเราเองเมื่อในอดีต ไกลจนบางคนไม่อาจหาทางกลับไปที่เดิมได้ แต่ โชคดี หลายอย่างหรือบางอย่างไม่ได้เดินไกลจากเราไปไหน ยังอยู่ที่นั่นรอเรากลับไปอย่างเฝ้าคอยและไม่คาดหวัง  การได้กลับไปที่เหล่านั้น เหมือนการกลับสู่จุดเริ่มต้น และหยุดเรื่องราวแห่งปัจจุบันไว้ชั่วขณะ อย่างน้อยโลกไม่ได้หมุนเร็วอย่างที่เราเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ ที่นั่นเวลาไปอย่างเชื่องช้า แต่แสนปลอดภัยและมั่นคง 

              ชีวิตผู้คนมากมายกำลังถูกฉุดให้เดินหรือวิ่งไปอย่างรวดเร็วจนทำให้หลายคนเหนื่อยล้า อ่อนแรงลงทุกขณะ  ........กลับไปเถิดครับ จุดเริ่มต้นของชีวิต ที่นั่นไม่ได้ทำให้เราถอยหลัง แต่กลับทำให้เรามีพลังที่จะกลับออกมาใช้ชีวิตในกาลปัจจุบันอย่างเข้มแข็งและมีสติได้อย่างไม่น่าเชื่อ..... 

หมายเลขบันทึก: 90181เขียนเมื่อ 13 เมษายน 2007 15:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:56 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)
  • สวัสดีครับ
  • สวัสดีปีใหม่สงกรานต์ไทยนะครับ
  • ขอเป็นกำลังใจในการเดินทาง บนเส้นชีวิตนี้ อย่างมีสติครับ
  • ขอบคุณมากครับ และยินดีที่ได้รู้จักครับ
ขอบคุณครับคุณมิสเตอร์ช่วย Have a good trip
  • ยังสำนึกรักบ้านเกิดครับ
  • คงได้ไปบ้านเกิดบ่อยๆๆ
  • ขอบคุณครับ
P
             ครับผมท่านอาจารย์   ผมก็พยายามกลับบ้านให้บ่อยขึ้นครับ

               อาทิตย์หน้าผมจะกลับบ้านอีกแล้วครับ งวดนี้ลาพักผ่อนซักอาทิตย์ จะไปตราดด้วย มีงานแต่งงานของรุ่นพี่ที่สนิทกันอยู่ที่นั่น

          ช่วงวันเข้าพรรษา มีวันหยุดนะครับ เชิญชวนคนทำงานกลับบ้านพาครอบครัวไปทำบุญกุศลที่วัดระลึกถึง ศาสนา พ่อแม่ ผู้มีพระคุณตลอดจน  ญาติมิตร ที่รักและเคารพนะครับ

           ส่วนผมก็แน่นอน บ้านมีไว้ให้กลับ

           ขอให้เดินทางปลอดภัยนะครับ

ผมจะเดินทางกลับบ้านอีกแล้ว  ขนาดว่าพึ่งกลับมาตอนต้นเดือน ก็ยังคิดถึงมาก 

          ตอนแรกว่าจะกลับไปวันที่ 19 ลงประชามติด้วย แต่ผมก็ต้องไม่ได้กลับ ยอมรับว่าเสียดายที่ไม่ได้ลงประชามติทั้ง ๆ ที่หมายมั่นมาก ๆ เป็นความผิดส่วนตัว ผิดต่อหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ แทบไม่อยากพูดให้ใคร ๆ ฟังเลย ในขณะที่ผมเรียกร้องและชนฝากับเรื่องนี้มาก   แต่ครั้งนี้พลาดจริง ๆ กับการลงประชามติครั้งแรกของประเทศเรา

           หลาย ๆ คน ทุกคนคงจะตำหนิผมพองามนะครับ   ยอมรับครับ 

           แต่กลับบ้านงวดนี้ผมคงต้องวุ่นวายต้องเอาหมาขึ้นรถกลับด้วยอีก เพราะมันสร้างปัญหาล่าไก่น้อยของชาวบ้านแถวนี้  คงต้องทุลักทุเลพอสมควร หลังจากที่ตอนแรกก็ขนมันมาจากบ้านเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว แต่ตอนนี้มันตัวใหญ่มากขึ้น

           อืม....ใช้ชีวิตให้ช้า สบาย ห่วงใยพ่อแม่ต้องไปดูแลท่านครับ

เท่าที่สังเกตคุณสุมิตรชัยมีความผูกพันธ์กับบ้านมากทีเดียวครับ กลับบ้านแทบทุกเดือน ....บ้านมีไว้ให้กลับ...เป็นเรื่องที่ดีครับ

ผมชอบวาทะเหล่านี้ครับ สะท้อนคุณธรรมและเคล็ดลับการในการใช้ชีวิตให้มีความสุขภายใต้ภาวะเร่ง

  • กลับไปเถิดครับ จุดเริ่มต้นของชีวิต ที่นั่นไม่ได้ทำให้เราถอยหลัง แต่กลับทำให้เรามีพลังที่จะกลับออกมาใช้ชีวิตในกาลปัจจุบันอย่างเข้มแข็งและมีสติได้อย่างไม่น่าเชื่อ..... 
  • ใช้ชีวิตให้ช้า สบาย ห่วงใยพ่อแม่ต้องไปดูแลท่านครับ...รบกวนขยายความเพิ่มเติมหน่อยได้ไหมครับ ผมสนใจการใช้ชีวิตให้ช้าครับ

สวัสดีค่ะ

อืม....ใช้ชีวิตให้ช้า สบาย ห่วงใยพ่อแม่ต้องไปดูแลท่านครับ

ชอบประโยคนี้ของคุณสุมิตรจัง

ดิฉันเป็นคนที่ ใช้ชีวิตตั้งแต่เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก เลี้ยงลูก ไปเรียนต่ออีก กลับมาทำงานธุรกิจส่วนตัว จนกระทั่งบัดนี้ ใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างเร่งรีบมาตลอดค่ะ

คิดเร็ว พูดเร็ว เดินเร็ว ทำงานอย่างหนึ่ง พร้อมๆกับ พูดธุระอีกเรื่องหนึ่งไปด้วย

ถามว่า เหนื่อยไหม ต้องตอบว่า ไม่เหนื่อย แต่ หาคำตอบไม่ได้ว่า จะรีบไปทำไม หนักหนา

รีบแล้ว ทำอะไร ได้ดีกว่าเดิมไหม

ตอบว่า ไม่ดีกว่า ดูเหมือนทำเร็ว แต่ บางที คิดน้อยไปหน่อย ตรึกตรองน้อยไปหน่อย มีผิดพลาด อย่าง ไม่ควรผิด

ถ้าย้อนเวลาได้ คงต้องทำชีวิตให้ช้าลง สุขุมขึ้น ทำอะไร คิดมากๆกว่าที่เคยสักหน่อย น่าจะดีขึ้น

แต่ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ไม่อ้อยอิ่งกับมันอีกค่ะ

ตอนนี้ ปรับใหม่ ชีวิตเดินช้าลง แต่มีความสุขมากขึ้นค่ะ

ขอบคุณที่ให้ข้อคิดค่ะ ยังไม่สาย.....

มอบแด่คนรักบ้านครับ

จากมานานคิดถึงจังเลย
หอมเจ้าเอยละออท้องถิ่น
อยากกลับไปแนบซบไอดิน
บ้านรำพึงคิดถึงเสมอ

อัสดงอาทิตย์กล่าวลา
คืบคลานมา คือ คิดถึงเธอ
คืนเหน็บหนาวอีกแล้วซิเออ
บ้านรำพึงคิดถึงไม่สร่าง

กี่ร้อนกี่หนาวกี่หมื่นร้าวราน
ไม่เคยสะท้านทุกเส้นทาง
สู้ทนสร้างฝันถึงวันรุ่งราง
จะแบกไปถมความทุกข์ระทม

ไม่จำเป็นดอกคำสัญญา
รั้วชายคาที่แสนรื่นรมย์
ผ่านผุพังเซซังทรุดโทรม
จะกลับไปเอาใจซ่อมแซม

เพลงคิดถึงบ้าน....พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ

สวัสดีครับคุณพี่P

           ขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนคิดเห็นครับ

ที่จริงอาจจะเป็นเรื่องของคนที่ไม่ค่อยขยันอย่างผมส่วนหนึ่งนะครับในเรื่องการใช้ชีวิตให้ช้า  เพราะผมรู้สึกเป็นแบบนี้มานาน

           ตอนวัยรุ่นเคยไปสอบเรียนต่อในกรุงเทพฯผมเห็นชีวิตที่เร่งขนาดนั้นผมนึกเสมอว่าอยากไปเรียนต่างจังหวัดไกล ๆ ไปเลย

          ผมเห็นผู้คนแย่งกันเบียดขึ้นรถเมล์  ผมมักจะบอกเพื่อนเสมอว่าไม่เป็นไรรอขึ้นคันต่อไปก็ได้ช้าออกไปอีกไม่กี่นาที ( แต่รอแล้วก็แน่นทุกเที่ยวอยู่ดีเลยจำต้องตัดสินใจขึ้นไป )

           ชีวิตคุณพี่ดูกระฉับกระเฉงมากกว่าครับคงไม่ใช่การเร่งเพราะสิ่งที่ได้มาถึงวันนี้ผมว่าคุณพี่ต้องเป็นผู้ประสบความสำเร็จมาก ๆคนหนึ่ง  เป็นในด้านของการทำงานอย่างมีพลังและมีสติมากกว่าครับ ( ถ้ามีสติผมว่าไม่ใช่ความเร่งร้อน ) 

             แต่ที่จะรู้สึกว่าเร็ว ก็คงเป็นเพราะตอนนี้คุณพี่มีเวลามากขึ้น แล้วก็มีเวลาใช้ความคิดตรึกตรองและมองรอบกว้างขึ้น  แล้วก็เห็นว่ารอบตัวมันหมุนเร็วและไม่มีใครหรือช่วงไหนได้หยุดมองดู ความงดงามของชีวิตที่เรียบง่ายและมีสติเลย 

            ใช่ครับไม่สาย...และพี่โชคดีครับที่ได้ใช้ชีวิตให้ช้าลงแล้ว  แต่ผมเองแม้จะชอบการช้าแต่บางครั้งก็ต้องเร่งเร็วเพื่ออะไรบางอย่างที่อาจไม่จำเป็นกับชีวิตผมเลย ( แต่จำเป็นสำหรับคนอื่น ๆ หรือสถานะหน้าที่การงานในสังคม ซึ่งมันก็ไม่มีทางเลี่ยงออกไปตอนนี้ )  

            ขอบคุณครับ ผมติดตามบันทึกของคุณพี่ที่บอกได้ถึงความเข้มแข็ง มีพลัง และเห็นครอบครัวที่อบอุ่นอยู่เสมอครับ

สวัสดีครับคุณข้ามสีทันดรP

            ผมกลับจากบ้านวันจันทร์เมื่อวันครับ  ก็เลยตอบช้าไปหน่อย

            ขอบคุณครับที่เห็นด้วยกับการกลับบ้านและการใช้ชีวิตให้ช้า  ที่จริงถ้าขยายความแล้ว ผมเขียนไว้ในบันทึก"ว่าด้วยความช้า"ครับ ( ขออภัยไม่ได้ลิงค์ ) แต่ความคิดรวบยอดแล้วผมว่า เป็นเรื่องการใช้สติดำเนินชีวิตน่ะครับ  คุณข้ามฯมีความรู้ในเรื่องนี้ดีกว่าผมอยู่แล้ว

           แต่พูดถึงความช้าในภาวะโลกที่เร่งอย่างนี้ ก็น่าสนใจสำหรับผมที่ออกแนวอนุรักษ์นิยมอยู่บ้าง เช่นเรื่องฟาสฟู้ดที่ไม่มีผลดีต่อสุขภาพเราเลย เรื่องรถยนต์เครื่องยนต์ที่ทำออกมาให้วิ่งเร็ว ๆ ก็ไม่มีผลดี การเร่งอาหาร พืช สัตว์ ให้เติบโตทันการกอบโกยกำไร หรือพวกนอกฤดูกาลอะไรเงี้ย  ผมว่ามันไม่ส่งผลดีน่ะครับ  ( ในทางเทคโนฯ หรือชีวภาพ ไม่ทราบคิดเห็นอย่างไรนะครับ ขออภัยที่พาดพิง )

              ขอบคุณที่นำบทเพลงกวีสวย ๆ มีความหมายของพงษ์เทพมาฝาครับ  ผมชอบเพลงนี้มาก ๆ เช่นกัน  และเพิ่งได้พิจารณาว่าเนื้อเพลงเป็นกลอนแปดที่ลงตัวถูกต้องตามฉันทลักษณ์ หายากครับเพลงที่เป็นเนื้อหาของบทกวีที่ครบถ้วนแบบนี้  ...อืม..เพลงถึงเพราะมาก ๆ น่ะครับ

              ฝากคำคมที่จำเขามาอีกที

      "หากเราเดินทางไปอย่างเร็วเราจะไม่มีทางมองเห็นความสวยงามระหว่างทาง"  ประมาณนี้ล่ะครับ

                ขอบคุณครับผม

            การกลับบ้านของผมในอีกครานี้คงเป็นความรู้สึกที่เจือปนไปด้วยความรักอาลัยและนอบน้อมต่อความรักความอบอุ่นในครอบครัว  ที่ลูก ๆ หลาน ๆ ญาติ ๆ ทุกคนรวมไปถึงคนที่รัก มีให้ต่อ "ย่าวงษ์"  หญิงชราอายุ กว่า 70 ปี ที่ใช้ชีวิตด้วยหน้าที่แห่งความเป็นแม่ของลูก ๆ  เป็นยาย เป็นย่า ของหลาน ๆ  เป็นภรรยาของปู่  เป็นเพื่อนบ้าน ญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพของใคร ๆ

           เวลาที่นานเนิ่น ความอ่อนล้า  ร่วงโรย และการรอวันกลับคืนสู่อ้อมกอดของผืนดินใหญ่  แม้เป็นสิ่งที่เกิดวนเวียนและจากไปอย่างวนเวียน แต่การเปลี่ยนแปลงจากลา ก็พาให้หัวใจที่ผูกพันธ์คุ้นเคย อ่อนแออาลัย

            ห้วงเวลาสุดท้ายไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนเมื่อไร แต่ เพียงหวังว่า  ย่า จะมีกำลังใจที่ดีและ สงบได้

           ไม่ใช่ง่ายเลยกับการที่คนเรารู้ว่าคนที่รักนับถือกำลังจะจากไป  ทั้ง ๆ ที่ ความรับรู้สึกต่อกันยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์  ย่าผมอยากจะพูดคุย อยากจะสื่อสาร และย่าก็ทำได้ตลอดเวลา  เพียงแต่ติดที่ท่อหายใจที่ต่อเข้าทางปากจนถึงหลอดลม   กระนั้นย่าก็พยายามบอกทุกคนว่าอยากจะเอาท่อออกและจะกลับไปที่บ้าน แม้จะรู้ว่าการทำอย่างนั้น ย่าจะหายใจไม่ออกและต้องจากไป

            หมอที่รับผิดชอบดูแลย่า บอกว่าเป็นไปไม่ได้แน่  แต่ด้วยเจตนาที่แน่วแน่และเต็มไปด้วยความสมบูรณ์แห่งการรับรู้ของย่าเอง  ผมให้ย่าเขียนข้อความที่อยากเขียน  ย่าเขียนตัวอักษรอย่างลำบากแต่อ่านได้ชัดเจนว่า "ย่าอยากกลับบ้าน"  หมอรู้เจตนาและเห็นข้อความ  และเคารพในการตัดสินใจของผู้ป่วยในที่สุด

            ผมพาย่ากลับบ้าน  ย่าดีใจที่ได้กลับมาที่บ้านที่เคยอยู่มา 80 ปี ย่ายังรับรู้ในขณะเวลาที่ผมตัดสินใจดึงท่อหายใจของย่าและให้ออกซิเจนทางจมูก แม้จะรู้ว่ามันไร้ผล  แต่ย่า และลูก ๆ รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างดี

            ยากยิ่งกว่าลูก ๆ หลาน ๆ และคนที่รักย่าทั้งหมด ก็คือการที่ตัวย่าเอง แม้จะรับรู้ว่าจะต้องพ่ายแพ้ต่อสังขารในเวลาอีกไม่กี่อึดใจต่อไปนี้  แต่ย่าได้จากไปอย่างมีสติ และไม่คิดคาดหวังกับชีวิตอีกต่อไป  ย่าเข้มแข็งกว่า ใคร ๆ ย่าไม่ร้องไห้ การรับรู้สุดท้ายแม้ย่ากระทำด้วยความลำบากเพียงแค่สื่อให้รู้ว่า ย่าอยากพลิกตัวนอนตะแคงเท่านั้น คำพูดสุดท้ายผมพูดกับย่าว่า "ให้ย่าหลับตา" นะ    ย่าไม่ได้พยักหน้ารับรู้เหมือนคราก่อนหน้านี้แล้ว   ย่าผมจากไปด้วยอาการสงบ แม้ร่างกายร่ำร้องทำหน้าที่ยื้อชีวิตเพียงใด  แต่ย่าละลาด้วยความตั้งใจและการรู้ว่า  ไม่มีผลใดที่จะดึงดันลมหายใจเอาไว้   การจากไปครั้งนี้ ย่าเตรียมการไว้ทุกอย่างแล้ว   ก่อนหน้านี้ขณะนอนบนเตียงที่โรงพยาบาลผมเคยบอกให้ย่านึกถึงบทสวดมนต์และพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์  ย่าพยักหน้าเข้าใจ 

             ขอให้ย่าไปสู่ภพที่ดี  ย่าเป็นคนดีและทำความดีมาตลอด  ย่าเป็นผู้มีบุญคุณสำหรับผมและลูกหลานทุกคน  ย่าจะมีคนคิดถึงความดีและการปฏิบัติของย่า

             จะมีคนนึกถึงและจำได้ว่า ย่าเข้มแข็ง และตั้งใจดีจนกระทั่งถึงคราสุดท้าย

เมื่อวันที่ 30 พ.ย. - 3 ธ.ค. 50 ที่ผ่านมา

              ผมกลับบ้านด้วยคิดถึงบ้านเป็นปกติอยู่แล้ว  แต่มีโอกาสพิเศษที่เวียนมาครบอีกคืองานเลี้ยงรุ่นของผมและเพื่อน ๆ สมัยมัธยมครับ

              เดี๋ยวจะมีภาพมาฝากด้วย   งานเลี้ยงรุ่นของพวกเราจัดกันต้นเดือนธันวาคมทุกปี จัดมาได้ 4 ครั้งแล้ว โดยกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ทำงานในจังหวัดนครนายกกลุ่มหนึ่งที่ช่วยกันวางแผนจัดงานและลงมือลงแรงช่วยเหลือกันจนงานออกมาได้หลายครั้งแล้ว

               ผมเองก็พยายามไปช่วยเพื่อน ๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

               งานที่แม้จะช่วยกันและกลุ่มก็เป็นเพื่อน ๆ กันทั้งนั้น  กระนั้นก็เกิดปัญหาขึ้นบ้าง  แต่ด้วยพื้นฐานความสัมพันธ์ของเพื่อน ๆ เราก็สามารถฟันฝ่าไปได้

                ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่เสียสละหลายอย่างทั้งเงินและความรู้สึก และแรงกาย  ที่ทำให้งานของพวกเราสร้างความสุขกำลังใจที่ดีให้พวกเราเพื่อน ๆ ทุกคน  ภายใต้ความรักเคารพของอาจารย์และสถาบันของพวกเรา

ปีใหม่ที่บ้าน

          เช้าวันปีใหม่ 2551 ปีชวด ผมตื่นเช้าเพื่อเตรียมตัวไปทำบุญที่โรงเรียนเก่า ได้คุยกับคุณครูผมที่เคยสอนสมัยประถมปีที่ 1 ไว้แล้วว่าวันนี้ จะไปมอบทุนการเรียนการศึกษาให้น้องนักเรียนรุ่นน้อง

           ผมมักเดินทางไปถึงที่หมายไม่ว่างานแบบใดสายกว่าผู้คนส่วนใหญ่เสมอ  ไม่ใช่สิ่งที่ดีนักแต่ผมก็ชินกันมันจริง ๆ ...เช่นเดียวกัน วันปีใหม่ กับงานยิ่งใหญ่ของผมในวันนี้ผมก็สาย แต่ไม่เกินไป....คุณครูท่านใจดีออกตังค์ใส่ซองไปให้ก่อนแล้ว ผมไปถึงมอบให้เด็กรุ่นน้องทันเวลาพอดีเป๊ะ  อาจารย์ท่านรู้ใจกระซิบบอก "ครูเอาตังค์ใส่ซองไปก่อนแล้ว"  ผมรู้สึกดีใจ เกรงใจ และขอบคุณ ท่านคุณครูของผมที่ท่านเชื่อมั่นกับลูกศิษย์ของท่านว่าจะไม่มีเบี้ยว  มอบเสร็จผมรีบนำเงินไปให้คุณครู  คุณครูยังขอบคุณผมอีกและบอกว่าหากมีโอกาสก็มาอีกนะปีหน้า

           ....เวลาช่วงระหว่างกิจกรรมมอบทุนการศึกษาเหลือบไปเห็น พี่สาวท่าทางใจดีคนหนึ่งเข้ามาใกล้ เรียกชื่อผมด้วยสีหน้าแปลกใจ  คงไม่ต่างจากผมที่งง ๆ แต่ก็แปลกใจว่าทำไมถึงแน่ใจว่าพี่สาวคนนี้น่าจะใช่พี่ naree ที่ผมรู้จักผ่านการสื่อสารในบันทึกหลายเรื่องทั้งของพี่และของผมด้วย

          มีใครต่อใครพูดกันว่าการที่เราพบเจอใครโดยบังเอิญไม่คาดคิดมาก่อน ในสถานที่หนึ่งเวลาหนึ่งที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้  ว่านอกจากแปลกใจ แบบว่าเซอร์ไพรซ์  แล้วยังบอกอีกว่าโลกมันกลม  แต่ผมจะบอกกับใครคนนั้นว่าโลกไม่ได้กลมหรอกครับแต่โลกมัน"วกวน"ต่างหากเล่าครับ

           การกลับบ้านของผมปีนี้มีความหมายมาก ๆ ทุกวันเวลาที่อยู่บ้าน รอบบ้าน สถานที่อื่น ๆ ที่คุ้นเคยไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนเก่า วัด ร้านกาแฟใหม่ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเก่า ๆ ผู้คนแถวนั้น คนแก่ วัยกลางคน หนุ่มสาว เด็ก ๆ คุณครูคนแรกในชีวิต  คุณครูคนที่สองที่เคยสอนตอนป.1

           สิ่งเก่า ๆ ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกนึกคิด ของคนเราถูกฉุดรั้งไว้กับภาพทรงจำอดีตหรอกครับ  แต่มันผลักดันให้ใจเรามีพละกำลังอันแกร่งกล้าที่จะใช้ช่วงเวลาของชีวิตต่อไปให้มีความหมายต่อตัวเองและคนอื่น ๆ มากขึ้นไปอีกต่างหาก

            และปีนี้ ไม่น่าเชื่อว่า การที่ผมกลับไปยังที่เก่า ๆ จะทำให้ผมได้รู้จักกับพี่สาวคนใหม่ที่เป็นคนเก่า ๆ ( ฮา...เอ๊ะ..ไม่เข้าใจ )

           ครับ  มีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นบนโลกนี้ทุกวัน  สิ่งเก่า ๆ ก็กลายเป็นอดีตและเลือนหายไปในที่สุด  แต่ก็มีเรื่องของความเป็นเพื่อน ความผูกพัน ความรัก มิตรภาพ ความปรารถนาดี  ไม่เคยเก่าลงไป  หากแต่มันพร้อมจะใหม่อยู่เสมอ เพียงแค่เราให้เวลากับสิ่งเหล่านั้นอีกนิดแค่ช่วงเวลาเช้าของวันปีใหม่  .....แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว    สวัสดีปีใหม่ครับ

บันทึกนี้ของผมครบรอบหนึ่งปีพอดีพอดิบ

ในโลกแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้บางขณะเราก็ว่ามันช้า บางทีก็ว่ามันเร็ว

บางทีก็ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็ว่า ไม่เห็นมีอาไรที่เปลี่ยนไป พัฒนาไปเสียเลยย่ำอยู่กับที่

ไม่รู้ว่าอะไรแน่นะครับ แต่ผมว่า มันเปลี่ยนไปทุกขณะทุกเวลาทุกการหายใน อะไรทั้งหมดล่ะครับ เปลี่ยนไปเป็นนิรันด์ยิ่งกว่า

แต่ผมก็ยังอยากให้อะไร ๆ มันเปลี่ยนไปให้ช้าที่สุด อยู่ดี ไม่อยากเร็ว ไม่อยากแข่งขัน ไม่อยากพ่ายแพ้ และไม่อยากบังคับ หรือแก้แค้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท