ยังไม่ทันที่พระอาทิตย์จะลับทิวไม้ฟากทิศตะวันตก โรงเรียนบ้านห้วยข่าเฒ่าก็ดูราวกับกำลังถูกห่มคลุมด้วยม่านหมอกหนาว บ่อยครั้งแว่วยินเสียงลมหนาวพัดมาไกลจากทิวเขาภูเขียวผ่านป่าโคกใกล้อาคารเรียนดังหวู่หวิว แต่บางครั้งก็กรรโชกแรงราวกับเสียงคำรามของสัตว์ป่า
สำหรับชาวห้วยข่าเฒ่าดูจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับสภาวะอากาศเช่นนี้ ความหนาวเย็นเป็นประหนึ่งเพื่อนบ้านคนสนิทที่เข้าออกประตูบ้านอยู่อย่างไม่รู้จบ แต่สำหรับชาวเรา มมส ดูอาจจะไม่คุ้นเคยนักกับความหนาวเย็นเช่นนี้ เพราะแต่ละคนก็เริ่มพูดถึงการอาบน้ำ ครีมถนอมผิว เสื้อกันหนาวและผ้าห่มกันอย่างยกใหญ่
ห้วยข่าเฒ่ามีสภาพไม่ต่างไปจากหมู่บ้านชนบทชายขอบทั่วไปในภาคอีสาน เกือบร้อยละ 50 ของประชากรในหมู่บ้านกรำงานเลี้ยงชีวิตอยู่ตามเมืองใหญ่และกรุงเทพฯ บรรดาผู้เฒ่าทั้งหลายถูกพันธนาการให้อยู่เหย้าเฝ้าถิ่น เลี้ยงเหลนหลานเฉกเช่นวาทกรรมที่กล่าวอ้างอย่างคุ้นชินว่า “ผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน” หรือ “ ผู้เฒ่ามีลูก”
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal">ครูสาวท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าบางครอบครัวพ่อและแม่ไปทำงานที่กรุงเทพปล่อยให้ลูกสาวในวัยประถม 6 อยู่ที่บ้านคนเดียวโดยมีเครือญาติช่วยดูแลอีกทอดหนึ่ง ในบางครอบครัวเด็กนักเรียนอยู่กับยายและตาที่อายุมากแล้ว ขณะที่บางครัวเรือนพ่อกับแม่ต้องออกจากบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตื่นนอนเพื่อไปรับจ้างตัดอ้อย และกลับเข้าบ้านอีกครั้งก็มืดค่ำ “กินข้าวแลง” เสร็จแล้วต้องรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำเพื่อตื่นไปสู่การงานอันรีบเร่งในย่ำรุ่งที่ยังมืดสลัว</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal"></p><p>สภาพชีวิตการไม่พร้อมหน้าในครอบครัวและการงานอันเร่งรีบเช่นนี้ ส่งผลให้เด็กนักเรียนหลายคนส่งการบ้านคุณครูในแบบ “ว่างเปล่า” เมื่อครูซักไซร้จึงรู้ว่าที่บ้านไม่มีใครมีเวลาพอที่จะสอนหนังสือและพาทำการบ้าน ท้ายที่สุด “การบ้าน” ที่ว่านั้นก็กลับมาเป็น “การโรงเรียน” โดยปริยาย </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal">ภาพชีวิตเช่นนี้, คือภาพชีวิตที่เกิดขึ้น ฝังตัวและดำเนินไปอย่างน่าเป็นห่วง เป็นปรากฏการณ์ของการอพยพแรงงานจากบ้านเกิดสู่เมืองใหญ่ และทิ้งร้างหมู่บ้านไว้กับบรรยากาศแห่งการรอคอย </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal">คนที่นี่จึงเข้านอนหัวค่ำเพื่อยันกายลุกในเช้ามืดสู่โลกแห่งการดิ้นรนเลี้ยงชีพทั้งในตัวเมืองและไร่นา บ้างลงแรงในฐานะเจ้าของงาน แต่บางคนก็ลงแรงในฐานะของลูกจ้าง</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: right 415.3pt" class="MsoNormal"></p><p>แต่สำหรับวันนี้, (27 มกราคม 2550) เย็นย่ำสู่ค่ำมืดรวดเร็วโดยไม่ทันได้เห็นการคล้อยลับของดวงอาทิตย์ หมู่บ้านเริ่มกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่ละครัวเรือนเริ่มทยอยเปิดไฟและไม่นานนักทั้งหมู่บ้านก็สว่างเรื่อไปด้วยแสงไฟจากหลอดนีออน </p><p> </p><p>แสงสว่างจากหลอดไฟไม่ได้ช่วยให้ความหนาวเย็นหลีกพ้นไปจากผู้คนได้เลยไม้แต่น้อย นิสิตชายหลายคนเริ่มขนท่อนฟืนมากองรวมไว้กลางสนามฟุตบอลเพื่อรอเวลาการสุมไฟลุกไล่ความหนาวเย็น และกองไฟนี่เองที่กลายมาเป็นสัญญาณบอกข่าวว่ากิจกรรมรอบกองไฟระหว่างเจ้าบ้านกับผู้มาเยือนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้า</p><p> </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมชอบบรรยากาศกองไฟในสายลมหนาวเสมอ คิดถึงห้วงชีวิตในค่ายลูกเสือ คิดถึงเกมส์สนุกรอบกองไฟในค่ายผู้นำและค่ายอาสาอีกหลายค่าย แต่ปัจจุบันก็ดูเหมือนว่ากองไฟจากท่อนฟืนได้ถูกแทนที่ด้วยหลอดไฟนีออนกันแล้วทั้งนั้น </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมคิดถึงกองไฟ เพราะกองไฟที่ลุกโชนนั้นช่วยขับไล่ความหนาวเย็นได้อย่างดียิ่ง การเก็บฝืนช่วยให้เราได้เรียนรู้วิธีการใช้ทรัพยากรไม้จากธรรมชาติ โดยการเก็บฝืนยังสอนให้เราได้เรียนรู้การทำงานร่วมกันในหมู่เหล่า เรียนรู้การแบ่งหน้าที่ รวมถึงการแบ่งปันเรี่ยวแรงและความรักระหว่างเพื่อน ซึ่งค่ายนี้ช่วยให้เรากลับไปสู่การเรียนรู้ดังกล่าวอีกครั้ง</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">กิจกรรมรอบกองไฟในค่ำคืนนี้เริ่มขึ้นทันทีหลังภารกิจเกี่ยวกับอาหารมื้อค่ำได้เสร็จสิ้นลง, ชาวบ้านทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่เดินทางมาร่วมกิจกรรมอย่างล้นหลาม ก่อนกิจกรรมนันทนาการจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการชาวค่ายก็ได้ชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะมีขึ้นต่อชาวบ้าน ขณะที่ผู้นำชาวบ้านและคณะครูก็หมุนเปลี่ยนออกมากล่าวต้อนรับชาวค่ายกันอย่างถ้วนทั่ว</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> </p><p> เป็นค่ำคืนที่ไม่พบบ่อยนักที่ชาวบ้านจะออกมาปฏิสัมพันธ์กันดึกดื่นเช่นนี้ เว้นเสียแต่เป็นงานบุญหรือวันสำคัญอันเป็นวิถีวัฒนธรรมของชุมชนเท่านั้น และก็ดูเหมือนว่าการมาเยือนของนิสิตเหล่านี้จะกลายเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของชาวบ้านไปแล้ว </p><p></p><p>กิจกรรมรอบกองไฟ เป็นเสมือนเวทีแห่งการสานสร้างความสัมพันธ์ของนิสิตกับชุมชน เป็นเวทีแห่งการทำความเข้าใจในแก่นงาน เป็นวงเสวนากาแฟนานาจิปาถะ รวมถึงเป็นเวทีของการนัดหมายการงานร่วมกันที่จะมีขึ้นในวันพรุ่ง...</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ชาวบ้านเกือบทุกครัวเรือนที่เคยนอนหัวค่ำก็กลับต้องนอนดึก บางคนละทิ้งละครหลังข่าวอันแสนรักของตนเองมาอยู่ในวงล้อมรอบกองไฟ ทั้งฐานะการมาเป็นเกียรติและการมาเพื่อผ่อนพักและรื่นเริง ส่วนเจ้าตัวน้อยทั้งหลายนั้นไม่ต้องสาธยายเลย เพราะพวกเขามารอตั้งแต่กองไฟยังเป็นแค่กองฟืนด้วยซ้ำไป</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>นานทีปีหนที่ชาวห้วยข่าเฒ่าต้องเข้านอนอย่างดึกดื่น เป็นค่ำคืนแห่งความสนุกสนานและรื่นรมย์ กระนั้นลมหนาวก็บังเสียดแทงอย่างเลือดเย็น <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> </p><p>ค่ำคืนนี้เป็นเหมือนมโหรีของหมู่บ้านที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยเจ้าบ้านและผู้มาเยือน เป็นค่ำคืนแห่งความรักและความหวังของชีวิตของเราและชาวบ้าน</p><p></p><p>และด้วยความสัตย์จริง, ผมหวังแต่เพียงว่ากิจกรรมรอบกองไฟในคืนนี้จะเป็นค่ำคืนแห่งการส่งต่อพลังใจจากชาวมหาวิทยาลัยไปสู่ชาวบ้านผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเงินภาษีของแผ่นดินได้รู้ว่า … “เรามาที่นี่ด้วยความรักและความปรารถนาดี..เรารักคนที่นี่ ๆ พอ ๆ กับรักประเทศไทย” </p><p></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เกือบเที่ยงคืนกิจกรรมรอบกองไฟยุติลงตามเจตนารมณ์ของทุกฝ่าย ชาวบ้านพร้อมใจเดินฝ่าลมหนาวกลับคืนสู่หมู่บ้าน บ้างกอดอกกระชับกายให้อกอุ่น บ้างกอดประคองลูกที่หลับพริ้มอย่างไม่รู้หนาวรู้เย็น….</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> </p><p>ดึกแล้ว, ม่านหมอกหนาวสยายปีกกว้างห่มคลุมหมู่บ้าน นิสิตหญิงเข้านอนในห้องเรียนอันโทรมอับ นิสิตชายหลายคนซุกตัวในเต็นท์เพียงไม่กี่หลัง และอีกเพียงไม่กี่คนกลับเลือกที่จะขดกายนอนอยู่ใกล้ ๆ กองไฟที่เริ่มโรยแรง </p><p></p><p>เช้าสาย ๆ ของพรุ่งนี้จะเป็นพิธีส่งมอบเครื่องกันหนาวและสื่อการเรียนการสอน </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ตรงกันข้ามกับชาวบ้านที่เพิ่งเข้านอนเมื่อครู่, อีกไม่นานกลับต้องตื่นนอนไปสู่การงานอันรีบเร่งอีกครั้ง</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>
อย่างที่คุณอัมพรว่าครับ
เหมือนได้ไปร่วมกิจกรรมด้วยเลย
ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆ มีกลิ่นอายและบรรยากาศเย็นๆ มาเล่าให้ฟังนะครับ
ถึง พี่พนัส
ถ้าจำไม่ผิดหลายบันทึกที่ผมได้อ่านของ "แผ่นดิน" จะมีบรรยากาศ เกี่ยวกับ "กองไฟ" ซึ่งแน่นอนไม่ใช่กองไฟที่จุดไว้เพียงเพื่อให้ความอบอุ่น หรือความสว่าง แต่นัยสำคัญ ผมเชื่อว่า เพื่อให้เกิด "ความสามัคคี สมานฉันท์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชุมชนท้องถิ่น" ครับ
ดีครับ ดีมากๆครับ
....
เอ...ผมควรจะเขียนอะไรต่อดี
ได้เห็นบรรยากาศดีๆ แล้วหวลคิดถึงตอนเด็ก ๆ ที่เล่นรอบกองไฟอีกครั้งก็บรรยากาศแบบนี้แหละ สนุกมากคับ
เรียนท่านอาจารย์อัมพร
สวัสดีครับน้องแจ๊ค
คุณแผ่นดิน ที่รักยิ่งครับ
จะมีสาวสวยจาก "หนองคาย" โทรไปหานะครับ อย่าได้แปลกใจ
แล้วเรื่องที่คุย...อาจจะได้แลกเปลี่ยนกันอีกครั้ง
อันนี้ลับกว่า Blog tag เสียอีกครับ