เหินฟ้า มุ่งหน้าสู่นครหลวงเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม ในวันอังคารที่ 4 มีนาคม 2551 เมื่อเดินทางถึงสนามบินนอยไบ ได้มีไกด์จากประเทศเวียดนามชื่อว่าไกด์นิน แต่พวกเราเรียกกันว่าป้านิน (ชาวเวียดนาม อายุ 62 ปี ซึ่งดูแข็งแรง และพูดภาษาไทยได้ชัดเจนมากๆ) ไกด์นินเป็นผู้ที่ทำให้พวกเรารู้จักเวียดนามเพิ่มมากขึ้นอย่างละเอียด ระหว่างทางได้ชมทัศนียภาพ อันสวยงามของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง และหมู่บ้านชนบทระหว่างทาง กรุงฮานอยเป็นเมืองหลวงของประเทศที่ตั้งอยู่ภาคเหนือ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี อดีตเป็นเมืองหลวงที่สวยที่สุดในเอเชีย มีทะเลสาบมากกว่า 12 แห่ง และแม้น้ำล้อมรอบเมือง และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น อ่าวฮาลองเบย์ ได้รับการขนามนามว่า "สิ่งมหัศจรรย์ของโลก" ถ้ำสวรรค์ หุ่นกระบอกน้ำ อนุสรณ์สถานโฮจิมนท์ พิพิธภัณฑ์โฮจิมินท์ ทะเลคืนดาบ ตลาด 36 สาย และอื่นๆ อีกมากมาย และมีสถานที่หนึ่งที่ทางรัฐบาลได้จัดทำให้สำหรับวัยรุ่นคือ จัดมุมสำหรับหนุ่มสาว ถนนเยาวชน (จำชื่อไม่ได้ว่าชื่ออะไร) คล้ายกับสวนสาธารณะ คือ หนุ่มสาวสามารถมานั่งกันเป็นคู่และสามารถมานั่งจู๋จี๋กันได้ที่นี้ แต่ถ้าวัยรุ่นของเวียดนามไปทำที่อื่นจะถูกจับ เหมือนเป็นมุมสำหรับหนุ่มสาวโดยเฉพาะ ป้านินบอกว่าหนุ่มเวียดนามไม่เจ้าชู้และไม่ทำร้ายผู้หญิง หนุ่มเวียดนามจะเป็นคนซื่อสัตย์ต่อภรรยา ถ้าทำร้ายภรรยาจะผิดกฎหมายแต่ถ้าผู้หญิงเวียดนามสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และชาวเวียดนามจะไม่ค่อยกินเหล้าเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเบียร์ อาจจะเป็นเพราะเนื่องด้วยอากาศของที่นั่นทำให้กินเพื่อคลายหนาว
ป้านินบอกว่า คนเวียดนามอยู่กันแบบพอเพียงเมื่อท้องอิ่มก็ทำงาน ไม่กินจุกกินจิก และเงินเดือนที่ถือว่ามากที่สุด คือประมาณ 3,000 - 5,000 บาท (คิดเป็นเงินดองประมาณ 1,410,000 - 2,350,000 ดอง)ถือว่าเป็นคนรวยเลยก็ว่าได้ แต่พอฟังป้านินพูดก็เข้าใจว่า คนเวียดนาม ค่าน้ำ ค่าไฟ บ้าน ที่ดิน ไม่ต้องเสีย รัฐบาลออกให้ทั้งหมด
คณะนิติศาสตร์ได้มีโอกาสศึกษาดูงานต่างประเทศ ณ HANOI LAW UNIVERSITY ในวันที่ 6 มีนาคม 2551 โดยมีคณะผู้บริหารจากเวียดนามได้การต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งก่อนเดินทางก็ได้เดินทางโดยรถบัสได้เที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ตามข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตความเป็นอยู่ วิถีชีวิตต่างๆของชาวเวียดนาม
ก่อนจะเข้าไปศึกษาดูงาน ขอเก็บภาพสวยๆ จากเวียดนามมาฝากผู้อ่านทุกๆคน
ส้มตำเวียดนาม ต้มใส่มะเขือเทศ ก๋วยเตี๋ยวเฝอ
บรรเลงพิณสายเดี่ยว งานเย็บปักของชาวเวียดนาม
เพลงลอยกระทงที่คนไทยคุ้นหู
สินค้าและหัตถกรรมชาวเวียดนาม
วิถีชีวิตชาวเวียดนาม แวะทานก๋วยเตี๋ยวเฝอ ตกชามละ 20-25 บาท
(แต่กินฟรีเพราะเจอชาวเวียดนามใจดีเลี้ยง)
ร้านตัดผมเคลื่อนที่(เก๋ดี) ส้มของประเทศเวียดนามอร่อยดี
งานฝีมือของชาวเวียดนาม
(แต่คนปักเอ๊ะ! หน้าคุ้นๆ อิอิ พี่ปุ้ยนี่เอง)
โรงเรียนแห่งแรกของเวียดนาม
ถ่ายรูปร่วมกับคณบดี
อ่าวลองเบย์ บ้านพักของประธานโฮจิมินท์
สภาพการจราจรในเวียดนาม
เมื่อศึกษาดูงาน คณะผู้บริหาร HANOI LAW UNIVERSITY ได้กล่าวต้อนรับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และรู้สึกเป็นเกียรติที่ทางประเทศไทยได้มาเยี่ยมมหาวิทยาลัยของเค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีคณะศึกษาดูงานจากมหาวิทยาลัยนเรศวรได้มางานเหมือนกัน และหลังจากทางคณะของเรากลับก็จะมีคณะศึกษาดูงานจากมหาวิทยาลัยนเรศวรก็จะมีดูงานอีกเช่นกัน
ผู้บริหารของ HANOI LAW UNIVERSITY ผู้บริหารคณะนิติศาสตร์
คณบดีมอบของที่ระลึก ถ่ายรูปร่วมกัน
และทางคณะผู้บริหารของคณะนิติศาสตร์ก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน ซึ่งผู้เขียนก็ฟังๆ และจดจากล่ามที่แปลออกมา คำถามที่ทางคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรได้สอบถามเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการงานพัฒนา มีดังนี้
คำถามของผู้บริหารคณะนิติศาสตร์ : กฎหมายเวียดนามได้อิทธิพลมาจากที่ไหน
คำตอบของผู้บริหาร HANOI LAW UNIVERSITY : มหาวิทยาลัยกฎหมายนี้เริ่มต้นไม่ได้มีอิทธิพลมากจากจีนหรือฝรั่งเศส แต่ได้เอากฎหมายของทั่วโลกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ภายในประเทศ โดยเก็บเอาข้อกฎหมายหมายบางอย่างที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับสถานการณ์ของเวียดนาม
คำถามของผู้บริหารคณะนิติศาสตร์ : ระบบการเรียนการสอนของทางมหาวิทยาลัย เปิดสอนกี่สาขา
คำตอบของผู้บริหาร HANOI LAW UNIVERSITY : มหาวิทยาลัยได้มี 5 สาขาวิชา ประกอบด้วย กฎหมายศาลอาญา กฎหมายศาลแพ่ง กฎหมายพาณิชย์ กฎหมายแรงงาน และนักศึกษาจะเรียนหลักสูตร 4 ปี เมื่อจบแล้วจะเรียนสูงก็ต้องไปเรียนเพิ่ม และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนี้มีประมาณ 400 คน ซึ่ง 200 คนจะเป็นอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถเรียนจบมาจากต่างประเทศ
คำถามของผู้บริหารคณะนิติศาสตร์ : มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีนักศึกษาทั้งหมดกี่คน
คำตอบของผู้บริหาร HANOI LAW UNIVERSITY : นักศึกษาที่เรียนสาขาทางด้านกฎหมาย มีประมาณ 17,000 คน แต่ถ้านักศึกษาทั้งหมดของมหาวิทยาลัย ประมาณ 55,500 คน
คำถามของผู้บริหารคณะนิติศาสตร์ : ในระดับปริญญาตรีนักศึกษาเลือกเรียนสาขาวิชาใดมากที่สุด
คำตอบของผู้บริหาร HANOI LAW UNIVERSITY : ส่วนใหญ่จะเลือกเรียนกฎหมายพาณิชย์มากที่สุด การสอบจะต้องผ่านการทดสอบ ถ้าคะแนนสูงที่สุดจะได้เรียนกฎหมายเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
คำถามของผู้บริหารคณะนิติศาสตร์ : ถ้าอาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร อยากมาเป็นอาจารย์หรือทำงานวิจัยที่ประเทศเวียดนามในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มีอะไรแนะนำหรือไม่
คำตอบของผู้บริหาร HANOI LAW UNIVERSITY : ถ้าอาจารย์จากที่นี่มาทางเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่สำคัญอาจารย์ต้องมีความรู้เกี่ยวกับภาษาเวียดนามด้วยจะดีมากๆ
คำถามของผู้บริหารคณะนิติศาสตร์ : ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศกับทาง HANOI LAW UNIVERSITY มีหรือไม่
คำตอบของผู้บริหาร HANOI LAW UNIVERSITY : มหาวิทยาลัยมีความสัมพันธ์กับจีน เกาหลี และอยากทำความสัมพันธ์ร่วมกับทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และถือเป็นโอกาสที่ดี ซึ่งเร็วๆ นี้ ทางมหาวิทยาลัยจะจัดสัมมนาถ้ามีโอกาสก็ขอเชิญจะได้สร้างความสัมพันธ์กัน ในอนาคตมหาวิทยาลัยจะมีการแลกเปลี่ยนนักศึกษากับประเทศอังกฤษ ถ้าทางมหาวิทยาลัยนเรศวรต้องการทำความร่วมมือทางมหาวิทยาลัยก็ยินดี
คำถามของผู้บริหารคณะนิติศาสตร์ : ถ้าจะมีเป็นอาจารย์หรือนักศึกษาที่นี่จำเป็นต้องเป็นภาษาเวียดนามใช่ไหม
คำตอบของผู้บริหาร HANOI LAW UNIVERSITY : ถ้าเป็นนักศึกษา อยากจะมาก็ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาเวียดนามได้ แต่ขอให้รู้ภาษาอังกฤษ เพราะการเรียนการสอนจะเป็นภาษาอังกฤษก็มี
และได้เดินทางกลับประเทศไทย (7 มีนาคม 2551) สิ่งแรกที่ทำเมื่อเท้าเหยียบลงประเทศไทยคือ กินส้มตำปู-ปลาร้า เป็นอย่างแรก อิอิ เพราะว่าอาหารเวียดนามรสชาติจืดๆ ไม่มีน้ำปลา ไม่มีพริกป่น มีแต่พริกหยวกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และไม่ค่อยกินน้ำแข็งกัน สงสัยเป็นเพราะอากาศหนาว แต่คนไทย ต่อให้หนาวแค่ไหนก็ต้องมีน้ำแข็ง ส่วนตัวผู้เขียนเองจะเป็นคนกินรสจัด พอกินเหมือนร่างกายจะปรับไม่ทัน ท้องเสียเลย แต่ก็แซบอีหลีค่ะ หุหุ
ดีมากเลยค่ะพี่ อิอิ ชอบๆๆๆ อ่าน ได้ความรู้ดี ติ๊กล่ะอินตามเลยยยย อยากไปเที่ยวบ้างจัง
อย่างหลังสุดนี้ เป็นเรื่องปกติ ของคนที่ไปเที่ยว ตปท ครับ เวลากินอาหารที่นู้นแล้วจะคิดถึงอาหารไทยบ้านเราเป็นพิเศษ
สวัสดีครับ
สนุกไหมได้ไปเที่ยวอะ ถ่ายรูปมาเยอะป่าว เอามาให้ดูมั่งเน้อ อ่านดูแล้ว ประเทศเวียดนามเป็นอะไรที่น่าไปอยู่ดีเน๊อะ
แล้วสงสัยอยู่อย่างนึง ถ้าเราพูดถึงประเทศเวียดนามเนี่ย เราจะนึกถึงอะไร ที่มันเด่นๆอะ อย่างจีน เราก็จะนึกถึงกำแพงเมืองจีน นะ เวียดนามเนี่ย เค้านึกไม่ออกจิงๆ ได้ไปเที่ยวไหนของเวียดนามมามั่งอะ หรือนั่งประชุมเครียดเลย
สวัสดีครับ
เป็นสรุปรายงานที่ดีและสั้นดีครับ
การเยือนแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าส่งเสริมครับ เพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน รู้เขารู้เรามากเท่าไหร่ยิ่งดีครับ
คงต้องเริ่มเรียนภาษาเวียดนามกันแล้วนะครับ
ขอบคุณครับ
เข้ามาเที่ยวเวียตนามกับเธอ เมื่อไม่นานเพิ่มรู้ว่า ชาวเวียตนามเฉลี่ยอ่านหนังสือปีละ 50 เล่ม ในขณะที่คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 2 เล่ม (ไม่อ่านก็ได้เนาะ ขอให้เข้ามาใน gotoknow) วันละ 3 รอบๆละ 2 ชั่วโมง ขี้คร้านจะเก่งกว่าคนเวียตนามนะสิลุงว่า
ลุงเก
สงสัยจังเลยครับ ทำไมคนเวียตนามถึงเรียนกฏหมายกันมากมายขนาดนั้นครับ(เกือบจะเป็น 1 ต่อ 3 คนเลยนะเนี๊ยะ) แล้วเขามีปัญหานักกฏหมายว่างงานบ้างหรือเปล่าครับ
เพื่อนพยายามเขียนแสดงความเห็นหลายรอบแล้วแต่ไม่รู้ทำไมไม่ได้เลย.....ลองเครื่องนี้ดูแล้วกันเนอะ...!!
น่าสนใจจังเลยเนอะ.... เอารูปมาให้เห็นบรรยากาศหน่อยสิ ...
เย้ๆ ถึงเวียดนามแย้ววววววว
เป็นการศึกษาดูงานที่ได้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ และความบันเทิงเลยค่ะ หากมีโอกาสได้ไปประเทศอื่นๆ อีกก็นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังอีกนะคะ อย่างน้อยก็เป็นการเปิดหน้าต่างการเรียนรู้ให้กับคนที่ไม่มีโอกาสได้ไปค่ะ
Wow, the photos are quite nice. Sorry, I cant type in Thai na. Lucky you to go there. You are such a good note taker. Wrote down almost everything, didn't you. Thanks for inviting me to view your web blog...take care...
ชอบมากๆเลยครับกับการดำเนินชีวิตที่ยังมีการเกษตรเป็นพื้นฐาน ทำให้คนรู้จักทั้งงานหนักงานเบา และเข้าใจถึงธรรมชาติของสรรพชีวิต ไม่ใช่คิดแค่ความอยากได้ หรือผลกำไรด้านเดียว
เล่าเรื่องได้สนุกมากครับ จะเข้ามาติดตามอ่านบ่อยๆ นะครับ
เรื่องสนุก...และได้ความรู้ด้วยนะคะ