สวัสดีครับทุกท่าน
บันทึกนี้ยังอยู่ในใจผมตลอดมา และเป็นบันทึกสุข ที่ยังไม่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นอักษร โดยจะขอย้อนพาทุกท่านย้อนกลับไปในอดีต สมัย พ.ศ. 2537-2538 แม้ว่าเวลาจะนานมาแล้ว แต่กระบวนการและวิธีการ อาจจะปรับใช้ได้กับปัจจุบัน และเป็นอีกโครงการหนึ่งที่ฝันไว้ในอนาคต
"วันเพ็ญ มีทีมติวในฝ่ายวิชาการของสโมสรนักศึกษาของคณะบ้างไหม ที่จะมาช่วยสอนติวเด็กๆ ในสตูล" อ.ท่านหนึ่งถาม
"มีนะค่ะ อาจารย์ แต่ว่าต้องขอไปปรึกษากับน้องเค้าก่อน" พี่เพ็ญตอบ
"เม้งพี่มีโครงการอันหนึ่ง พอดี อาจารย์ที่สตูลถามมา เผื่อเม้งสนใจ เป็นโครงการสอนติวน้องๆ ม.ปลาย นะ พอดีอาจารย์เค้าบอกมาว่าเด็กในจังหวัดสตูลทั้งจังหวัดสอบเอ็นท์ได้ไม่เกิน 5 คน ในแต่ละปี"
"หรือครับพี่"
"พี่มีเบอร์อาจารย์เค้านะ เดี๋ยวเม้งค่อยโทรไปหาอาจารย์คุยรายละเอียดอีกที"
ว่าแล้วเราในฐานะกรรมการฝ่ายวิชาการสโมสรนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วทท.) ก็เลยโทรศัพท์ไปหาอาจารย์ท่านนั้น
คุยไปคุยมา แนะนำตัว อาจารย์ชื่อ อ.วิธาน สุริยะกานนท์ อ้าวแล้วกันครับ ท่านอาจารย์เคยเป็นอาจารย์ผมมาก่อนสมัยสอนอยู่ที่ ร.ร. ควนเกยสุทธิวิทยา อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ทำไมโลกมันกลมจริงๆ ทำให้โครงการยิ่งเน่นมากขึ้น ไม่ต้องกังวลอะไรเลย
ปัญหาที่รับทราบตอนนั้น คือ อาจารย์ท่านบอกว่า จ.สตูล มี โรงเรียน ม.ปลาย อยู่ทั้งหมด 6 แห่ง และรวมทั้งจังหวัดแล้วแต่ละปี นร.สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่เกิน 5 คนเท่านั้น ทำให้ผมแปลกใจยิ่งนัก และเป็นสิ่งท้าทายให้กับพวกเรายิ่งนัก ที่จะทำหน้าที่ตรงนี้ ทั้งๆที่ยังไม่มีประสบการณ์ใดๆ ในการลงพื้นที่สอนเลย
สิ่งที่เราจะทำก็ต้องประสานงานฝ่ายติวเตอร์ จะหาจากไหนหล่ะครับ จะติววิชาอะไรดี แล้วจะติววิชาละกี่คน จะเน้นในส่วนใดเป็นสำคัญ และแล้วเราก็ประชุมกันในทีมงานสโมสร แล้วก็ประชุมในส่วนของฝ่ายวิชาการ
ตอนนั้นที่ทำคือทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ คนที่สนใจจะไปทำค่ายติวครั้งนี้ พวกเราวางแผนไว้แค่ 4 วันเท่านั้น เพื่อจะไปติวในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน เพราะว่า ทุกคนว่างกัน แล้วมีเวลาในการเตรียมตัวกัน
ประชุมฝ่ายวิชาการแล้วก็หาคนติวกัน ซึ่งการไปครั้งนี้ มีทั้งหมด สี่วิชาคือ คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ และภาษาอังกฤษ (ชีววิทยาเราไม่ติวเพราะให้น้องๆ ไปอ่านกันเอง) เป้าหมายของพวกเราคือ เน้นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับนักเรียน เพราะจากที่ทราบจากท่านอาจารย์ ท่านบอกว่า นร. ส่วนใหญ่ มาเรียนเพราะเป็นหน้าที่ มาเรียนเพราะได้เงินจากพ่อแม่ ไม่มาเรียนก็ไม่ได้เงิน กลับจากโรงเรียนก็จะเที่ยวเล่นๆ ไม่ได้ตั้งใจเรียนกันจริงๆ เพราะจบกันไปแล้วก็ทำนาทำสวนเหมือนที่พ่อแม่เป็นกันอยู่
เป้าหมายของพวกเราเพื่อตอบสนองตรงนี้ ที่มองได้ตอนนั้นคือการสร้างแรงจูงใจให้เกิด โดยใช้การติวเป็นเครื่องมือ และด้วยวัยที่ไม่ห่างกัน เสมือนพี่แนะนำน้อง ทำอย่างไรให้พวกเค้าหันมาให้ความสำคัญของการศึกษา โดยให้รุ่นของพวกเค้าพัฒนาไปไกลกว่ารุ่นของพ่อแม่ในเรื่องโอกาสทางการศึกษา
ก็ได้ประสานงานไปยังท่านอาจารย์เพื่อจะทำอย่างไรให้มีการสอนติวให้เด็กไปโรงเรียนในช่วงปิดเทอมได้ทั้งจังหวัด เรากะว่าจะติวกันทั้งจังหวัดเลย จำนวนที่สนใจเท่าไหร่ก็ได้ โดยให้ท่านอาจารย์เป็นผู้ประสานงาน นักเรียน และผู้ปกครอง
ส่วนพวกเราทาง มอ.ปัตตานี ที่ทำก็คือกำหนดคนสอนวิชาละ สามคน ประกอบด้วยผู้ประเมินผลและสังเกตการณ์อีกสองสามคน รวมๆ แล้วตอนนั้น กำหนดทีมไว้ 15 คน แต่ละทีมก็จะเตรียมทำหน้าที่เตรียมเนื้อหาของตัวเอง ในวิชาและตัวอย่างข้อสอบที่คิดว่าจะมีประโยชน์ และนำไปสู่การจูงใจที่ดีในการชักชวนให้น้องๆ สนใจการเรียน
และแล้วเวลาปิดเทอมก็มาถึง พวกเราทั้ง 15 คน (แต่ละคนก็มาจากคณะศึกษาศาสตร์บ้าง มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์บ้าง และคณะวทท.บ้าง พวกเราก็มาเข้าค่ายกันเองก่อนหนึ่งอาทิตย์ เพื่อทบทวนและเตรียมเนื้อหา ทำการบ้านกันอย่างดี เขียนข้อสอบลงกระดาษไขเพื่อไปโรเนียวที่ ร.ร. สตูลวิทยา
เมื่อวันเวลามาถึง ทาง ร.ร. สตูลวิทยาส่งรถตู้มารับพวกเราทั้ง 15 คนไปด้วยกัน สำหรับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการมีเพียงสองโรงเรียนเท่านั้น คือ ร.ร. สตูลวิทยา (ร.ร.ประจำจังหวัด ชายล้วน ม.ต้น สห ม.ปลาย) และ พิมานพิทยาสรรค์ (ร.ร.ประจำจังหวัด หญิงล้วน ม.ต้น สห ม.ปลาย) จำนวนนักเรียนทั้งหมด 80 กว่าคนที่เข้าร่วมโครงการ
ไปวันแรก เตรียมของไป มีบ้านพักรับรองให้หนึ่งหลัง อยู่กัน ทั้ง 15 คน เป็นบ้านสองชั้น มีข้าวแกงมาส่งตอนเช้าเย็นทุกวัน
พวกเราก็ไปเข้าห้องโรเนียวกัน โห สนุก มากๆ ครับ แบบว่าไม่เคยทำกันมาก่อนครับ โรเนียวด้วยมือ สนุกที่สุด แต่ละคนก็ช่วยกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็โรเนียว บ้างก็ใส่หมึก บ้างก็เตรียมกระดาษ บ้างก็เย็บข้อสอบ จัดข้อสอบ ทำไมทำงานกันเป็นทีมได้ดีอย่างนี้เนี่ย (แอบประทับใจลึกๆ แบบไม่ได้พูดออกมา ในฐานะคนนำโครงการ)
เมื่อวันติววันแรกมาถึง ช่วงเช้าพวกเราทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมกันก่อน พร้อมการลงทะเบียนว่าใครอยู่กลุ่มไหน อย่างไร พวกเราก็เตรียมเอกสารแจก กัน สอนกัน ตามตารางสอนที่เตรียมตัวไปอย่างดีตอนฝึกติวกันก่อน หนึ่งอาทิตย์ พวกเราก็จะมีอย่างน้อยหนึ่งคนทำหน้าที่นั่งประเมินผลคนสอน เพื่อเอาไปวิจารณ์ประเมินกันในช่วงหลังอาหารเย็นกันที่หอพัก วันแรกก็ผ่านไปได้ด้วยดีบ้างไม่ดีบ้าง ประสบการณ์ยังน้อยกันครับ
คืนนั้นพวกเราหลังทานอาหารค่ำเสร็จ ก็นั่งวิจารณ์ เสนอแนะผู้สอนแต่ละคน ว่าสอนกันเป็นอย่างไร สอนเร็ว ไม่สบตาผู้เรียน เขียนบังกระดาน พูดไม่ชัด เสียงเบา ไม่เร้าใจวัยรุ่น เขียนไม่ชัด สอนไม่ทันเวลา เกินเวลา ทีมประเมินนี่ซัดรวดเลยครับ อิๆ แต่หัวเราะขำกันตลอดเวลาครับ
หลังจากที่ประเมินผลกันในรอบวันแล้ว ใครเตรียมตัวสอนก็เชิญกันตามสบาย ใครอยากจะแก้เซ็งก็มาล้อมวงกัน ดัมมี่ กันก่อนนอน ฮ่าๆ ในบ้านพักมีห้องหลายห้อง ไม่มีปัญหาเรื่องแยกชายหญิง เราประเมินกันทุกวัน ทุกวิชา
ในที่สุดโครงการที่เตรียมไว้ สี่วัน ก็ไม่พอซะแล้ว เลยทำการขยายเวลากลางอากาศเป็น หนึ่งอาทิตย์ และเด็กๆ ก็สนุกกับพวกเราด้วย เด็กชักจะติดพี่ๆ ซะแล้วซิครับ คราวนี้
วันหนึ่งตอนเย็นหลังจากเลิกเรียน อาจารย์วิธาน ท่านได้พาพวกเราไปดูชีวิตของเด็กๆ ว่าทำอะไรกันบ้างหลักเลิกเรียน เพื่อให้รู้ว่าวิถีของเค้าเป็นอย่างไร สนใจการเรียนหรือว่าเที่ยวเล่นสนุกๆสนาน ตลอดจนพาไปดูดินถล่มด้วยครับ ที่สตูล ช่วงนั้น เป็นข่าวเลยครับ เพราะมีที่สูบน้ำบาดาล เชื่อไหมครับ ว่าเครื่องสูบน้ำบาดาล มันจมไปเลยในดิน ยอดมะพร้าวสูงยาวยี่สิบเมตร โผล่แต่ยอดครับ ทุกอย่างจมหายลงไปในดินเลย
การติวตอนนั้นมีการสลับที่กันเรียน คือ วันนี้สอนที่ สตูลวิทยา พรุ่งนี้ ก็ไปสอนที่พิมานพิทยาสรรค์ สลับกันเพื่อความเป็นธรรม แต่บ้านพักพวกเราอยู่ชานเมืองที่ ร.ร. สตูลวิทยา ส่วนพิมานจะอยู่ในเมือง
ตอนนั้นสองโรงเรียนนี้ แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดเหมือนกันก็ตาม แต่สภาพโรงเรียนต่างกันมาก ขณะที่พิมานพิทยาสรรค์ มีทีวีในห้องเรียน สไลด์แผ่นใสหมุนได้แบบแผ่นใสต่อเนื่อง ขณะที่สตูลวิทยาก็ยามฝนตก ผมเอื้อมมือไปจะปิดประตูเพื่อไม่ให้ฝนสาดเข้ามา ไม่มีประตู อ่ะครับ (เหตุผลคืออะไรไม่ทราบครับ)
และแล้วเมื่อวันสุดท้ายก็มาถึง วันแห่งการลาจาก ทุกคนก็เข้าไปยัง อาคารประชุมใหญ่ อำลากัน กล่าวขอบคุณกันจากทางโรงเรียนและนักเรียน ร้องเพลงอำลากัน โอ้โห น้ำตานี่ร่วงกันเป็นแถวทั้งพี่ทั้งน้องครับ หนึ่งอาทิตย์ก็ผูกพันหนักเลยครับ
ผมเองก็ได้รับเงินจากท่านอาจารย์ใหญ่ตอนนั้น ใส่ซองมาเรียบร้อย ท่านบอกว่าเป็นค่าตอบแทนเล็กๆน้อย ไม่เป็นเงินไรมาก ผมคิดในใจเอจะรับดีไหม งั้นรับแล้วกัน ส่วนรับแล้วเงินนี้คือเงินพวกเราแล้ว ผมจะทำอะไรก็ได้ อิๆ พวกเราก็เงินแล้วไชโย
คืนนั้นคุณเชื่อไหมว่า ถกกันแค่เรื่องเงินเนี่ย ว่าจะทำไงดี สุดท้ายคุณคิดว่าพวกเราเอาไปทำอะไรครับ เราได้เงินมา 4500 บาทครับ ผลที่ได้คือ เราจะเอาเงิน 500 บาทไปทำบุญงานศพพ่อของน้องคนหนึ่งเสียตอนที่เรามาถึงกันในวันแรก แล้ว 4000 ที่เหลือ ก็แบ่งเป็นทุนการศึกษาทุนละ 1000 บาท ให้เด็ก ร.ร.ละ 2 ทุน ให้กับเด็กที่เรียนดีแต่ยากจน โดยให้โรงเรียนพิจารณากันเอง และเป็นนักเรียนคนอื่นที่ไม่ได้มาเรียนกับเราก็ได้ แล้วแต่ตามโรงเรียน
วันสุดท้ายเราก็ไปงานศพพ่อของน้อง วันเผาพอดีครับ แล้วก็ลาน้องๆ เพื่อกลับ มอ.ปัตตานี ของพวกเรากันต่อไป รถตู้คันเดิมก็พาพวกเรากลับถึงปัตตานีโดยปลอดภัยและฝากความประทับใจเอาไว้ในใจพวกเราทั้ง 15 ดวง และก็ 80 กว่าดวงที่สตูล
พวกเรากลับมาก็ได้รับการติดต่ออยู่ตลอดเวลา
แล้วจะมาเล่าต่อในตอนต่อไปนะครับ ตอนนี้ชักยาวมากแล้วครับ เดี๋ยวท่านไม่ได้ทำอะไรกันพอดีครับ
ขอบพระคุณมากครับ
สมพร ช่วยอารีย์
ปล. อ่านตอนที่สองได้ที่นี่ เมื่อทีมติวสมัครเล่น บุกสตูล (ทำไมต้อง 2 ปีต่อเนื่อง) ตอนที่ 2 (อวสาน) ครับ
มาเยี่ยม...
เราจะเอาเงิน 500 บาทไปทำบุญงานศพพ่อของน้องคนหนึ่งเสียตอนที่เรามาถึงกันในวันแรก แล้ว 4000 ที่เหลือ ก็แบ่งเป็นทุนการศึกษาทุนละ 1000 บาท...
ขอชื่นชมและปรบมือให้ครับ...
ยิ่งให้ยิ่งได้...ฮา ๆ เอิก ๆ
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่าน " ความทรงจำ " ..กับ บอกว่ารูปใหม่หน้าเด็กดีค่ะ ^ ^
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ท่านพี่
สวัสดีครับ น้องบ่าว
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สวัสดีครับ คุณย่าม (ย่ามแดง) ตามสไตล์คนใต้ ชอบย่อชื่อ
เต็มอิ่ม , อ่านจบ มีรอยยิ้มอันงดงามประทับไว้ที่หัวใจของผม
นับถือครับ
ขอบคุณมากครับพี่แผ่นดิน ผมก็เข้าไปได้รับการแชร์ความรู้สึกในกิจกรรมที่พี่ทำเช่นกันครับ ดำเนินต่อไปครับ สร้างชุมชนเข้มแข็งครับ
นับถือครับ
เคยเป็นทั้งคนถูกติวและติวเตอร์ค่ะ อิอิ สนุกดีคนละแบบ
อ่านดีดีค่ะ อ.เม้ง เขาไม่ได้ปิ๊งส์พี่นะคะ พี่ต่างหากปิ๊งส์เขา อิอิ แม้ไม่ประสบผลด้านนั้น แต่ก็ทำให้พี่รู้เทคนิคการอ่านหนังสือของพี่หมอเยอะเลย จำแม่นด้วยเพราะตามไปฟังทั้ง 3 โรงเรียน 2 อำเภอ
สวัสดีค่ะ
21. Lioness_ann
สวัสดีครับพี่แอน