ถนนลูกรังแกรน ๆ ระยะทางร่วม 10 กิโลเมตรตัดผ่านทุ่งนาและป่าโคกที่ปราศจากหมู่บ้านและชุมชน... นั่นคือเส้นทางที่รถตู้คันเก่าโทรมของเราควบตะบึงผ่านเส้นทางอันวิบากเพื่อไปเยือนค่ายอาสาพัฒนาสู่ชนบทไทย ของ ชมรมอาสาพัฒนา ณ โรงเรียนบ้านคำบอน ตำบลโคกศิลา อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">วันนั้นผมออกเดินทางจากมหาสารคามตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกาเศษ มุ่งสู่ตัวเมืองกาฬสินธุ์และตรงดิ่งขึ้นเทือกเขาภูพาน ซึ่งกว่าจะไปถึงค่ายเวลาก็ล่วงเข้า 11 นาฬิกาเศษ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เส้นทางอันวิบาก หมู่บ้านอันไกลโพ้น โรงเรียนเล็ก ๆ ที่ขาดเขินทางการศึกษา คือภาพลักษณ์อันเป็นต้นฉบับของชาวชมรมอาสาพัฒนาที่ยึดปฏิบัติสืบมาตั้งแต่เมื่อแรกเริ่มตั้งชมรม และเมื่อพิจารณาจากแวดล้อมชุมชนในครั้งนี้ก็ยืนยันได้ว่า ชาวอาสาพัฒนา ยังคงรักษา “จุดยืน” ไว้อย่างเข้มแข็ง</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ชมรมอาสาพัฒนาของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม แตกหน่อก่อร่างมาจากชมรมบำเพ็ญประโยชน์ในยุคที่ยังเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม โดยแยกตัวออกมาจัดตั้งเป็นชมรมฯ เมื่อปี 2527 ภายใต้การขับเคลื่อนของ “พี่ติ๊ก ภูวดล” จากนั้นก็มีค่ายเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม ณ บ้านหนองหว้า ต.โหรา อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เป็นการสร้างอาคารแฝดสองจั่วขนาด 5 x 10 เมตร ต่อจากนั้นชมรมอาสาพัฒนาก็ได้เติบโตและหยัดยืนเป็นองค์กรหลักของการออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทสืบมาอย่างไม่รู้จบ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ค่ายครั้งนี้,… ชมรมอาสาพัฒนาได้รับงบประมาณสนับสนุนหลักจาก สสส. และกองทุนโกมลคีมทอง ขณะที่รูปแบบกิจกรรมได้เปลี่ยนแปลงไปจากปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก กล่าวคือ การเปลี่ยนจากการสร้างตัวอาคารอเนกประสงค์มาเป็นสร้างสนามกีฬาอเนกประสงค์ขนาด 12 x 21 เมตร </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">นางสาวฝนทิพย์ บุญโท ประธานชมรมฯ บอกเล่ากับผมว่า เหตุที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบอันเป็นวัฒนธรรมค่ายของชาวอาสาจากการสร้างอาคารอเนกประสงค์มาเป็นสนามกีฬาแทนนั้น สาเหตุหลักมาจากการขาดแคลนงบประมาณ จึงจำต้องเปลี่ยนแปลงสถานที่จากจังหวัดมุกดาหารที่เดิมจะสร้างอาคารฯ มาสู่จังหวัดสกลนคร กอปรกับจังหวะที่โรงเรียนและชุมชน </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ก็กำลังขาดแคลนเรื่องสนามกีฬาอยู่พอดี</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> </p><p>ค่ายครั้งนี้ มีนิสิตเข้าร่วมประมาณ 75 คน จากการสังเกตของตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นจำนวนคนที่มากมายพอสมควรเมื่อเทียบกับปริมาณ หรือขนาดของงานภาคสนามที่ดูไม่ใหญ่โตนัก</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมให้คำแนะนำคณะกรรมการค่ายว่าควรให้ความสำคัญเรื่องการ “เรียนรู้ชุมชน” เพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่ มิใช่จมปลักและจ่อมจมอยู่กับงานปรับพื้นสนามและเทปูนเท่านั้น ! ซึ่งต้องให้ความสำคัญต่อการศึกษามิติชุมชนทางสังคมวิทยาและมนุษย์วิทยาให้มากขึ้น โดยให้ใช้เทคนิค “การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม” เป็นตัวเคลื่อนขับระหว่างนิสิตกับชาวบ้าน และนำข้อมูลดังกล่าวมาจัดเก็บ รวบรวม สังเคราะห์และร่วมแลกเปลี่ยนกับชาวค่ายกันทุกคน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมถามแม้กระทั่งว่า “ตำนานชื่อบ้านนามเมือง” ของที่นี่เป็นมาอย่างไร โรงเรียนตั้งขึ้นเมื่อไหร่ ? ใครคือผู้บุกเบิกสร้างหมู่บ้าน ? ฮีตคองเป็นอย่างไร ? ภูมิปัญญาท้องถิ่นและมรกดทางวัฒนธรรมมีบ้างหรือเปล่า ? วิถีการกินอยู่และการรักษาโรคเป็นเช่นไร ? แลอื่น ๆ อีกมากมายจิปาถะ ซึ่งก็ดูเหมือนว่า “คำตอบบางอย่างยังคงล่องไหลอยู่ในสายลม !”</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">สิ่งเหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบอันสำคัญของการออกค่ายอาสาพัฒนา บางเรื่องอาจต้องชัดเจนตั้งแต่ก่อนการลงพื้นที่ ! บางเรื่องอาจต้องเป็นข้อมูลในการปฐมนิเทศค่าย ! บางเรื่องอาจจะมาเรียนรู้จริงในชุมชน ! ซึ่งทั้งปวงผมได้ฝากประเด็นตั้งแต่การประชุมเตรียมความพร้อมแก่ทุกองค์กรแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>กระนั้นผมก็ยังไม่ลืมที่จะปลุกปลอบอย่างจริงใจว่า “ไม่เป็นไร….ยังพอมีเวลา” </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">แต่ที่ผมประทับใจเป็นที่สุดในการสังเกตการณ์ห้วงสั้น ๆ ก็คือกิจกรรม “พัฒนาเด็กและเยาวชน” ซึ่งชาวค่ายได้นำ “คนแห่งความหวังของชุมชน” มาอยู่รวมกันและร่วมทำกิจกรรมกับชาวค่ายอย่างคึกคัก ราวกลับว่าโรงเรียนไม่ได้ปิดเทอมเลยทีเดียว</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">กิจกรรมหลัก คือ การสร้างเจตคติที่ดีในการศึกษาและดำเนินชีวิต การมุ่งรณรงค์เรื่องปัญหายาเสพติด โดยการให้เด็กและเยาวชนได้ถ่ายทอดจินตนาการเกี่ยวกับ “เมืองน่าอยู่” ที่ปราศจากอบายมุขผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งภาพวาด ป้ายรณรงค์ ฯลฯ รวมทั้งการจัดขบวนรณรงค์จากโรงเรียนเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน - จากหมู่บ้านกลับเข้าสู่โรงเรียน ตลอดจนการกลับไปสู่ครอบครัวของแต่ละบุคคล ซึ่งมีชาวค่ายติดตามกระบวนการนี้อีกขั้นในฐานะของ “ลูกฮัก” </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">นอกจากนี้กิจกรรมก็ยังเน้นเรื่องนันทนาการต่าง ๆ ทั้งในรูปของการชมวีดีทัศน์ การเล่นเกมส์ละลายพฤติกรรมและส่งเสริมการกล้าแสดงออกทางความคิดของเด็กและเยาวชน </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ประเด็นของเด็กและเยาวชน, ผมเสนอแนะให้นิสิตได้ลองสร้างกิจกรรมที่ทดสอบความรู้หรือทัศนคติของเด็กที่มีต่อ “บ้านเกิด” ของตนเองในแง่มุมต่าง ๆ เช่น ให้พวกเขาได้เล่าเรื่องนานาชีวิตที่เกี่ยวข้องกับชุมชนของพวกเขา หรือไม่งั้นก็ให้พวกเขาพาเที่ยวท่องในชุมชนของพวกเขาเองแล้วประเมินดูว่าเด็กเหล่านี้รู้รากเหง้าบ้านเกิดตนเองสักแค่ไหน? จากนั้นจึงนำเข้าสู่กระบวนการสร้าง “สำนึกรักบ้านเกิด” อีกครั้ง</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมเห็นความพยายามที่ฉายฉานในแววตาของคณะทำงาน พอ ๆ กับเห็นกระบวนทัศน์ที่ยังไม่แน่นปึ๊กของการจัดการและบริหารค่าย (เบิ่งบ่ซอด) แต่ก็ยังมีจุดแข็งที่น่ายกย่องก็คือสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของบรรดารุ่นพี่ชาวอาสาทั้งเก่าใหม่ต่างสัญจรจากทั่วสารทิศกลับมาช่วยค่ายครั้งนี้อย่างมากมายไม่ต่ำกว่า 10 คน ซึ่งยังไม่นับงบประมาณอีกจำนวนหนึ่งที่นำมาสมทบจัดกิจกรรมเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมให้กำลังใจคณะกรรมการชมรมฯ ว่าเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะประสบปัญหาเรื่องกระบวนทัศน์การบริหารงาน (เพราะยังอยู่ในชั้นปีที่ 2 กันทั้งนั้น) แต่เมื่อผ่านพ้นกับปัญหาเหล่านี้ไปได้ ผลึกทางปัญญาก็จะอัดแน่นอยู่ในตัวเรา รอวันถ่ายโยงไปสู่รุ่นน้อง เฉกเช่นกับที่รุ่นพี่ของชาวอาสาได้สืบปฏิบัติกันมาในทุกยุคสมัย</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">อย่างไรก็ดี ผมไม่ลืมที่จะชื่นชมว่าค่ายในปีนี้มีรูปแบบที่หลากหลายกว่าทุกปีและมีลักษณะของการเป็นค่ายบูรณาการที่ชัดแจ้งขึ้น รูปแบบเช่นนี้จะกลายเป็นการนำร่องถากถางไปสู่เส้นทางสายใหม่ในเรื่องรูปแบบค่ายของชมรมอาสาในอนาคต แต่ก็ควรต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงบนพื้นฐานการตกผลึกทางความคิดที่มีต่อกิจกรรมและสังคม มิใช่เปลี่ยนภาพลักษณ์หน้าตาของกิจกรรมไปตาม “สปอนเซอร์” แต่ปราศจากองค์ความรู้ที่ชัดเจนในตัวตนของตนเอง</p><p> </p><p>ผมจะกลับไปค่ายที่นั่นอีกครั้งเพื่อมอบค่ายในวันที่ 21 มีนาคม 2550 และเชื่อว่าจะได้พบเจอกับพัฒนาการที่ดีของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> </p><p></p>17 มีนา 2550 <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">การเดินทางร่วม 500 กม.</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">แดดร้อน, ทางไกล ภูเขาสูง</p> และชุมชนอันไกลโพ้น <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p>
ขอบคุณ อ.ติ๋วมากครับ..
ช่วงนี้การงานรัดตัวจนแทบหายใจไม่ทัน ! ไม่มีเวลาแม้แต่จะเขียนบันทึกและมีเรื่องอีกหลายเรื่องที่ค้างสต๊อกในหัวสมอง
กรณีชมรมอาสาพัฒนา, ปีนี้ต้องยอมรับว่ากระบวนการจัดการอ่อนด้อยลงกว่าปีที่แล้ว แต่ก็เชื่อว่าหลังมีการสรุปบทเรียนแล้ว น่าจะมีความชัดเจนในการทำงานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
ขอบคุณอีกครั้ง, ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คุณพิชชา
ช่วงนี้ยุ่งมากครับ..แทบไม่มีเวลาแวะเวียนไปแลกเปลี่ยนกับกัลยาณมิตร เหมือน ๆ จะบอกกับตัวเองว่า เอาบันทึกตังเองให้รอดไว้ก่อน...(ยิ้ม ๆ )
ผมสนใจประเด็น "สำนึกรักบ้านเกิด" มานานแล้ว...พยายามที่จะค่อยฝากแนวคิดเหล่านี้ลงในนิสิต ผมไม่อยากสั่งว่า "ต้องทำ" เรื่องนี้ แต่อยากให้เขารู้สึกรักที่จะทำกิจกรรมในประเด็นนี้...
และวันนี้ก็ยังมีแรงที่จะรอผลึกความคิดของนิสิตอย่างไม่เบื่อหน่าย
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีครับ อ.ขจิต
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีทักษะการจัดกิจกรรมชั้นเลิศขนาดนี้ ที่ไหนได้ ฝึกปรือมาจากการเป็น "คนค่าย" ด้วยนี่เอง...
นั่นแสดงว่า มาเฟียกิจกรรมอย่าง อ.ขจิต นี้ต้องทำกิจกรรมรอบด้านและจัดจ้านมากสิท่า....
ยอดเยี่ยมครับ...
และขอให้มีความสุขกับการรำลึก "วันชื่นคืนสุข" ในค่ายนะครับ..
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
ชอบความคิดที่ให้ถามถึงทัศนคติ ความรู้ที่มีต่อบ้านเกิด ก่อนจะถึงสำนึกรักบ้านเกิด..เยี่ยมจริงๆค่ะ
ขอบคุณมากครับที่แวะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ผมชอบคำที่ว่า "กิจกรรมค่ายอาสา ไม่มีวันล้าสมัย เพียงแต่อาจแปลงไปเป็นชื่ออื่น"
เพราะสื่อสะท้อนให้เห็นว่าผู้กล่าวมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการเคลื่อนตัวของค่ายอาสา
ล่าสุดผมประเมิน พบว่า นิสิตจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าค่ายอาสา หมายความแต่เฉพาะการไปสร้างวัตถุ โดยเข้าใจว่าที่เหลือนั้นไม่ใช่ค่ายอาสา
ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงผันผวนสักแค่ไหน...ผมก็ยังศรัทธาอยู่เสมอว่า ค่ายอาสาพัฒนาชนบทของนิสิตนักศึกษาจะเป็นกลไกสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้นิสิตนักศึกษาได้เข้าใจความเป็น "สังคม" มากยิ่งขึ้น เมื่อจบไปแล้วก็จะสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข
อีกอย่าง...สำหรับผมแล้ว "กิจกรรมนิสิต คือรสชาติชีวิตปัญญาชน" เสมอ ..ครับ !
อ. ย่ามแดง |
น่าสนใจมากครับ, สำหรับค่ายที่ อ.จะนะ...
แต่สำหรับ มมส ปีนี้ถือว่ามีค่ายเยอะจริง ๆ ..และเมื่อลงทุนไปเยี่ยมเกือบทุกค่าย เราก็เห็นว่า มีหลายอย่างที่ต้องนำกลับมาถกคิดและสร้างกระบวนการใหม่กันอีกครั้ง
ขอบคุณมากครับ
เช่นกัน คือ ขอบพระคุณข้อสังเกตและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการทำกิจกรรมนะครับ
ค่ายครั้งต่อไป...ผมกำลังมองไปประเด็นค่ายเยาวชนสำนึกรักบ้านเกิด...กำลังจะเปิดโต๊ะระดมความคิดทำโครงร่างกับนิสิตดูสักยก เผื่อนิสิตอาจจะสนใจ
อ.แป๋วครับ...
งานค่ายที่ผมอยากทำ และทำไม่ได้ แต่อยากให้นิสิตได้ทำมากในขณะนี้ก็คือ ..ค่ายสร้างศูนย์เลี้ยงเด็ก หรือไม่ก็ปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อม - สื่อสำหรับศูนย์เลี้ยงเด็กครับ...
ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปค่ายที่เชียงรายเลย
ภาคเหนือล่าสุดก็แถวอุตรดิตถ์เองครับ....
นิสิตมาขอไปทำค่ายภาคเหนือเหมือนกัน.แต่เห็นว่าไกลเกินไป ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงก็สูง.....อีกทั้งอยากให้เขาดูแลภาคอีสานให้เต็มที่ รวมถึงมหาวิทยาลัยแถบภาคกลางก็ไปค่ายภาคเหนือค่อนข้างเยอะ จึงอาจจะยังไม่จำเป็น ... เว้นเสียแต่การไปร่วม และไปสมทบนั้นผมเห็นด้วย ซึ่งล่าสุดกลุ่มชมรมครูอาสา..ก็ไปร่วมกับกลุ่ม NGO ช่วยชาวเขา....เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ
ค่ายนี้ดีนะคะ
จัดมานานยังเอ่ย
อยากเป็นหนึ่งในชาวค่ายนะคะ
สวัสดีครับ คนเป็นตาแพง
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ
ค่ายนี้ จัดเมื่อปี 50 ครับ...
ผมไปเยี่ยมและไปมอบค่ายเอง..
โดยปกติ ปิดเทอมเดือนตุลาคมและเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี
ที่มหาวิทยาลัยจะมีค่ายเยอะมากครับ...
แทบจะเรียกว่าคราวละไม่น้อยกว่า 20 ค่ายเลยทีเดียว..
ค่ายเป็นเรื่องชวนฝันสำหรับคนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยเสมอ...
ผมเชื่อเช่นนั้น ครับ
สวัสดีครับ คุณวัชระ บัติโยธา
ผมเข้าไปเยี่ยมชมข้อมูลแล้วนะครับ...
และขอเป็นกำลังใจอย่างมากมายในเส้นทางของการสร้างสรรค์สังคม...
อย่าท้อนะครับ..