สวัสดีครับ
วันนี้เก็บมาเล่าจากเรื่องไม่ธรรมดาแต่เห็นจนเป็นธรรมดาแล้วนะครับ ก็คือการบริหารจัดตารางรถในประเทศเยอรมันตามเมืองต่างๆ ครับ ส่วนใหญ่ในแต่ละเมือง ก็จะมีรถเมล์ มีรถราง (รถรางคือลูกของรถไฟครับ สั้นกว่าเล็กกว่า) รถยนต์วิ่งใช้เส้นทางร่วมกัน เพราะว่ารางของรถรางก็เป็นรางแหล็กที่อยู่ในระดับเดียวกันกับพื้นถนน โดยฝังลงไปบนเลนทั้งสองเลน
การสร้างก็ไม่ได้ยากอะไรครับ เพียงแต่จะทำอย่างไรให้แข็งแรงและทนทานใช้ได้นาน แต่ก็จะมีการบำรุงเช็คสภาพอยู่ตลอด เช้าๆ ก็จะมีรถทำความสะอาดรางวิ่งมากวาดรางก่อนทุกๆ เช้า และรถรางก็จะมีสายไฟลอยอยู่ด้านบนรางเหนือตัวรถราง นั่นคือ รถรางจะวิ่งไปได้ก็ใช้ไฟฟ้าจาสายไฟที่อยู่เหนือหลังคาที่ขึงเอาไว้แล้ว (ไม่มีไฟฟ้าวิ่งบนรางเหมือนรถไฟฟ้าบีทีเอส ในเมืองไทยนะครับ) คนละระบบกันครับ
ปัญหาก็ไม่ใช่อยู่ที่การสร้างทางร่วมกันแล้วซิครับ คราวนี้ สิ่งที่น่าจะเป็นหัวใจของการให้รถทั้งสามประเภทนี้วิ่งร่วมกัน อยู่ที่ว่าจะบริหารเวลาอย่างไรให้รถวิ่งไปด้วยกันได้
ลองคิดกันเล่นๆ ดูครับ หากมีเงื่อนไขให้ดังต่อไปนี้
แล้วในเมืองไทยหล่ะครับ เราจะบริหารอย่างไรจากรถเมล์ที่เรามีอยู่หลายๆ สิบสาย ให้วิ่งได้
เมื่อก่อน เมืองไทยก็เคยมีรถรางครับ เสียดายจังที่ได้ยกเลิกไปเสีย ไม่งั้น กทม. คงคลาสสิคน่าดูครับ (ความเห็นส่วนตัว)
หากคุณเป็นนักบริหารรถดังกล่าวในเมือง คุณจะจัดการอย่างไร
รถทุกชนิดไม่มีคนขับคนเดียวในการจัดการขับรถ ไม่มีคนเดินตั๋ว ไม่มีคนเก็บเงิน คนเดินขึ้นรถ ขึ้นลงได้ตามสบาย บางเมืองอาจจะต้องแสดงตั๋ว แต่เมืองที่ผมอยู่ไฮเดลเบิร์ก ไม่ต้องแสดงตั๋วเลยครับ เพียงแต่หากมีคนขึ้นมาตรวจเจอแล้วไม่มีตั๋ว คงได้ขึ้นในบัญชีดำ หรือไม่ก็ปรับหนัก สองพันบาท (สำหรับค่าตั๋วขาเดียว ประมาณหนึ่งร้อยบาท ใช้ได้ภายในประมาณหนึ่งชั่วโมง)
หากคุณได้รับมอบหมายให้บริหารเมืองนี้คุณจะทำไงครับ ให้รถเดินทางไปได้สะดวก รถรางกับรถเมล์ รถยนต์ไม่ชนกัน
ลองเสนอความคิดกันดูนะครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ
สมพร ช่วยอารีย์
สวัสดียามเช้าครับพี่ อัมพร
สวัสดีครับอาจารย์สมพร
ผมว่าคำถามแรกก็คือว่า จำนวนรถในเมืองไทยจะยังเท่าเดิมไหมครับ??? ถ้ายังเท่าเดิมก็อาจจะลำบากนิดหน่อยครับ
ผมคิดว่า ระบบการขนส่งเมืองไทยที่ไม่ดีนั้นเพราะการไม่รู้จักรักษาเวลาครับ สมัยผมเรียนอยู่ลาดกระบังนะครับ จำได้ว่าตอนปีหนึ่งโดดเชียร์ ในตารางบอกว่าจะมาถึงลาดกระบังตอนเที่ยงมั้งครับ เชียร์ประชุมตอน 4 โมงครับ
พี่ครับ ผมได้กลับบ้านตอน 3 ทุ่มครับ เชียร์มาลากคอตอนรอรถไฟครับ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ารอรถไฟตอนโดดเชียร์ครับ
รถไฟจากหัวตะเข้ไปหัวลำโพงนั้นมาไม่ค่อยตรงเวลาครับ มีเที่ยวแรกเที่ยวเดียวครับที่ตรงเวลา นอกนั้นไม่เคยครับ ผมไม่แน่ใจว่า รฟท ปรับปรุงหรือยังนะครับ ถ้าปรับปรุง ผมก็ขอประทานโทษมา ณ ที่นี้ด้วย
ผมเชื่อว่าถ้าระบบขนส่งทางราง เอาแค่รถไฟนั้นตรงเวลา เราก็น่าจะแก้ปัญหาไปได้หลายอย่างแล้วครับ
เรื่องระบบรถเมล์นั้น ผมเคยคิดไว้เล่นๆว่า เราน่าจะออกแบบระบบรถเมล์ใหม่ครับ คือให้รถเมล์นั้นวิ่งระยะสั้น ทำให้สามารถกำหนดเวลาได้แน่นอนครับ ถ้าทำได้ เราอาจจะสามารถลดจำนวนรถเมล์ลงได้บางส่วนครับ ทำให้รถราสามารถเคลื่อนตัวไปได้ดีขึ้นครับ
แต่ท้ายที่สุดผมมองว่า เราต้องสร้างระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ครับ แต่นั่นคงไม่พอครับ เพราะบ้านเมืองของเรานั้นดูมันชอกไชไปตามหลืบตามซอยซะจริงๆ ผมมองว่าระบบรถเมล์สายสั้นๆ เข้าออกตามซอย ตามหมู่บ้านที่คนเยอะๆ คงจะพอช่วยทำให้คนสะดวกสบายไนการไปต่อระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้หน้าหมู่บ้านหรือปากซอยได้ครับ
ผมเชื่อว่า ถ้าเราคิดเรื่องขนคนจากในหลืบซอย มาขึ้นรถไฟฟ้าได้ ต่อให้สร้างอีก 10 สายก็ไม่น่าจะลดปริมาณการใช้รถครับ
อ้ออีกอย่างครับ เมืองไทยนั้นเมืองร้อนชื้นครับ อากาศคงไม่เหมาะกับการเดินเท่าไรมั้งครับ
มากนะครับ
สวัสดีอีกรอบครับอาจารย์
เรื่องการกระจายความเจริญนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำครับ แต่ใช่ว่าทำแล้ว ทุกอย่างจะไม่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพครับ
ผมยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ เมื่อโลกแห่งเทคโนโลยีก้าวหน้า เมืองใหญ่ๆอย่างเช่นนิวยอร์ก ที่ขายแต่การบริการ ก็น่าจะมีคนลดลงใช่ไหมครับ
แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับอาจารย์ คนส่วนมากก็ยังอยากมาอยู่ที่นิวยอร์กอยู่ดี เพราะว่ามันเป็นมหานครแห่งความฝัน คงไม่ต่างอะไรจากกรุงเทพในประเทศไทยมั้งครับ
การกระจายความเจริญนั้นจำเป็นที่จะต้องสร้างระบบสาธารณูปโภคและ infrastructure ที่เหมาะสมและสอดรับกับเมืองแต่ละเมืองครับ
สังเกตไหมครับว่า เมืองใหญ่สมัยก่อน จะตั้งติดแหล่งน้ำ ต่อไปพอทุกอย่างเจริญขึ้น เมืองไหนที่มีสถานีรถไฟ เมืองนั้นก็จะเป็นมีความเจริญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือ infrastructure ที่รองรับการเจริญเติบโตของเมืองในสมัยก่อนทั้งนั้นครับ
ประเทศไทยถ้าจะกระจายความเจริญได้ ก็ต้องการ infrastructure ไปรองรับการขยายตัวก่อนครับ ซึ่งนั่นก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น
ปัญหาและคำถามก็คือ
ขอบพระคุณมากครับ
ปัญหาในประเทศไทย คงจะเกิดจาก ขาดระเบียบวินัย และ คนมีระเบียบวินัยซึ่งเป็นคนส่วนน้อยอยู่ไม่ได้
เทคโนโลยีอาจจะต้องเข้ามาพร้อมวินัยด้วย เดี๋ยวนี้เห็นคนขึ้น BTS เข้าแถว !!! ตกใจมาก แต่ก็ดี :-)
มากครับ
มากครับ
เป็นอีกเรื่องที่ผมประทับเรื่อง public trans.
ที่โน้นดูมันแสนจะเรียบง่าย แต่บ้านเราต้องลงทุนกันเยอะมาก ไม่รู้ว่าผลประโยชน์ที่แท้มันไปตกอยู่ที่ใคร
และที่ประทับใจอีกเรื่อง คือ ระบบประกันสุขภาพ ที่เน้นสวัสดิการ ความมั่นคงในสวัสดิการ บ้านเราหากทำประกันจะเบิกประกันได้ก็ต้อง admit เข้าไปนอนในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่อยู่ที่โน้นผมเป็นหวัดไปหาหมอที่คลินิก โดยที่ไม่ต้องใช้เงินก็ทำได้ สุดยอดการบริการสวัสดิการให้ประชาชนจริงๆ อย่างไอ้ 30 บาทรักษาทุกโรคเนี่ย อันนี้สำหรับเป็นสวัสดิการคุณภาพเกรดต่ำ ที่สร้างความลำบากใจให้กับหมอและพยาบาล กรรมเวรตกมาที่คนไข้ คนได้ประโยชน์แบบเต็มๆ คือ พรรคการเมือง ประโยชน์ในรูปของ เสียงของคนยากคนจน คนที่จะเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐานได้ยาก
มาเยี่ยม...
สบายดีนะครับ...
อ่านแล้ว...ผมนึกถึง ถนนในเมืองพาราณสีที่เคยไปอยู่มา...ช่วงจราจรติดขัด...ผมติดอยู่ในนั้นซึ่งมีทั้งวัว ทั้งคนเอางูพันคอถือกลองก็มะลุมมะตุ้มโกลาหนกันอยู่กลางถนนนั้น..
ฮา ๆ เอิก ๆ แต่สุดท้ายทุกสิ่งก็จัดการไปตามทางของใครของมันเป็นธรรมชาติดีครับผม...
สวัสดีครับอาจารย์สมพร และท่านอื่นๆด้วยครับ
ระบบการจราจรเป็นระบบที่ต้องวางแผนพร้อมกับผังเมืองครับ ควบคู่ไปกับการวางแผนของการเติบโตของจำนวนประชากรให้สอดคล้องด้วยครับ
เชื่อไหมครับว่า สิ่งที่ผมอยากมองเห็นก่อนการที่ กทม หรือ รัฐบาลจะเริ่มลงทุน โครงการหลายหมื่นล้านอย่างระบบรถไฟใต้ดิน คือการพัฒนาระบบรถไฟที่เข้ามาสู่หัวลำโพงครับ
ผมอยากรู้ว่าถ้ามันตรงเวลา แล้วจะเป็นอย่างไร มันทำอะไรได้บ้าง ผมอยากเห็นคนไทยใช้ทรัพยากรที่มีอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะไปหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยอะไรใหม่ๆครับ
การสร้างวินัยให้แก่คนในชาตินั้นจำเป็นอย่างยิ่งครับ สิ่งเหล่านี้เราคงจะค่อยๆเห็นกันเรื่อยๆครับ
เรื่องระบบสวัสดิการสังคม เป็นระบบที่เกิดปัญหามากครับ ไม่ว่าจะเป็นที่อังกฤษหรืออเมริกา ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยกับระบบสวัสดิการสังคมนะครับ
แต่ระบบสวัสดิการสังคมสมควรที่จะถูกออกแบบให้เหมาะสมกับความคิด ค่านิยม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมของประชากรในชาตินั้น
ระบบสวัสดิการที่อเมริกา ทำให้คนส่วนหนึ่งที่ตกงานไม่อยากทำงาน เพราะทำแล้วหลังจากหักภาษี ก็แทบจะได้เงินเท่ากับคนที่ไม่ได้ทำงาน
สิ่งที่ผมอยากเห็นในประเทศไทย ก็คือรัฐทำตัวเหมือนบริษัทประกันขนาดใหญ่ ที่กำหนดไว้ว่า ประชาชนสมควรจะจ่ายภาษี (ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือเบี้ยประกัน) ชั้นต่ำเท่าไร (ต่ำนี่คือต่ำจริงๆที่ประชาชนส่วนใหญ่จ่ายได้) เพื่อที่รัฐจะรับรองสวัสดิภาพขั้นต่ำให้
ถ้าไม่จ่าย รัฐก็อาจจะต้องใจแข็งไม่ให้ หรือว่าอาจจะคิดในอัตราที่สูง เมื่อเทียบกับไม่คิด ถ้าจ่ายภาษี
ทำไมผมถึงคิดแบบนั้น เพราะผมกลัวว่าด้วยนิสัยรักสบายของคนไทย เราจะเกิดช่องโหว่ในระบบประกันสังคมครับ
เรื่องสุดท้ายครับ ทั้งหมดที่กล่าวมา รัฐบาลให้ความสำคัญกับคำว่า ประชากรศึกษา มากขนาดไหนครับ เพราะ ประชากรศึกษาจะเป็นคำตอบของคำถามหลายๆคำถามที่หลายๆท่านได้พูดถึง ผมอยากเห็นรัฐบาลวางแผนเพื่ออนาคตไปในอีกหลายๆสิบปีข้างหน้าครับ วางแผนแค่ 5-10 ปั เดี๋ยวนี้สั้นไปแล้วครับ
ขอบคุณพี่ธวัทมากๆ ครับ
ขอบคุณมากครับ ท่านอาจารย์อุทัย
ขอบคุณมากๆ นะครับ ที่ให้แนวทางที่ดีตลอดครับ